คนที่ถูกทิ้ง

คนที่ถูกทิ้ง


คนที่ถูกทิ้ง

อาตมาขอพาพวกเราทุกคน ย้อนกลับไปยังเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล ครั้งหนึ่งในสมัยพุทธกาล มีพระรูปหนึ่งมาบวชอยู่กับพระพุทธองค์ ท่านก็ไม่ใช่คนอื่นคนไกล ท่านคืออดีตมหาดเล็ก ผู้ถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท ท่านมีนามว่า พระฉันนะ พระฉันนะนั้น ก่อนที่พระพุทธองค์จะทรงผนวช จะทรงตรัสรู้ เมื่อครั้งยังเป็นเจ้าชายอยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ พระฉันนะ ก็คือ นายฉันนะ เป็นมหาดเล็กประจำพระองค์ คอยถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท มีความสนิทสนมคุ้นเคยส่วนพระองค์มาก ต่อมาเมื่อเจ้าชายสิทธัตถะได้ออกผนวช ตรัสรู้ เป็นพระอรหันต์ติสสสัมพุทธเจ้า เจ้านายในศากยะวงค์ทั้งหลายก็ได้ออกบวชด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีนายฉันนะ เมื่อบวชแล้ว นายฉันนะ ก็ได้เป็น พระฉันนะ พอมาเป็นพระฉันนะ ท่านก็ลืมไปเลยว่าได้เปลี่ยนสถานะภาพจาก ปุถุชน เป็น กัลยาณชน ผู้ทรงศีล 227 ข้อ ทีนี้ด้วยความลืมตัว ท่านก็เลย หยิ่งยะโส โอหัง ฉันนี้นะเคยอดีตมหาดเล็ก เคยถวายงานรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาท แทบจะเป็นเงาตามตัวของพระองค์ และด้วยทรงจำเก่าๆ ด้วยความภาคภูมิใจ มันได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมา เป็นกลุ่มของ อัตตาก้อนหนึ่ง อีโก้ก้อนหนึ่ง ซึ่งทำให้ท่านฉันนะ รู้สึกว่าท่านไม่ใช่คนธรรมดา ท่านเป็นคนพิเศษ ท่านเป็นคนผู้ที่เคยถวายงายรับใช้ใกล้ชิด ส่วนพระทั่วๆไปนั้น เป็นใครก็ไม่รู้ เป็นลูกชาวบ้าน เป็นหลานชาวเมือง ส่วนฉันเป็นชาววัง และไม่ใช่ชาววังธรรมดานะ ฉันนี้ชาววังระดับคนสนิทส่วนพระองค์เลย กลุ่มของอีโก้ กลุ่มของอัตตา ที่มันก่อตัวขึ้นในจิตในใจของพระฉันนะ ทำให้พระฉันนะปล่อยไม่ลง ปลงไม่เป็น ผลก็คือท่านได้แยกตนเองออกมา จากพระภิกษุรูปอื่นๆ ท่านมีชีวิตอยู่ ในวงล้อมของสถานะภาพพิเศษ ซึ่ง เกิดจากความหลงผิด ยึดติด ถือตัวของท่าน ว่าท่านนั้นเป็นคนพิเศษ เป็นผู้ที่เคยถวายงานรับใช้ และด้วยสถานภาพพิเศษ ที่ท่านสร้างขึ้นมานั้นเอง ทำให้ท่านฟังใครไม่ได้ หรือท่านไม่จำเป็นที่จะต้องฟัง แม้กระทั่ง พระพุทธองค์ และนั้ันเป็นเหตุให้แม้ท่านจะบวช และท่านก็ไปอยู่ในวัดเดียวกับพระพุทธองค์ แต่ท่านไม่ฟัง แม้กระทัั่งพระพุทธองค์ เมื่อไม่ฟังแม้กระทั่งพระพุทธองค์ก็ไม่จำจะต้องกล่าวถึง ว่าท่านจะต้องฟังใครที่อยู่ในวัด ท่านไม่ฟังพระสารีบุตร ท่านไม่ฟังพระมหาโมคลานะ ท่านไม่ฟังพระสาวกชั้นผู้ใหญ่ ใดๆๆทั้งสิ้น ทั้งๆที่ว่ารายล้อมตัวท่านนั้น หนึ่งคือพระพุทธองค์ หนึ่งคือพระอริยสาวกระดับพระอรหันต์ชั้นผู้ใหญ่แทบทั้งนั้น ท่านเป็นเพียงพระปุถุชน แต่เพราะกลุ่มก้อนของอัตตานั้น เป็นเมฆหมอกที่หนาทึบ บดบังดวงตาของท่าน ก็ทำให้ท่านเห็นว่า ฉันยังคงเป็นคนพิเศษ ฉันไม่ใช่พระธรรมดา ฉันเป็นพระที่เป็นผู้รับใช้ใกล้ชิดเจ้าชายสิทธัตถะและบัดนี้แม้จะเป็นเป็นพระสัมมาสัมพุทธะเจ้า ฉันก็ยังเป็นคนพิเศษอยู่ดี ด้วยความหลงผิดท่านไม่ฟังใครใดๆทั้งสิ้น เมื่อพระพุทธองค์ทรงแสดงธรรม ท่านก็ไปเตร่อยู่หน้าวัด เมื่อพระสงฆ์ทั้งหลายซึ่งเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ปาฐกถาธรรม ท่านยิ่งไม่สนใจใหญ่ ที่ๆท่านอยู่ก็คือ บริเวณหน้าวัด หน้าวัดจะมีศาลาหลังหนึ่ง ท่านชอบห่มจีวรใหม่ ไปนั่งวางมาด เหมือนเจ้ากูชั้นผู้ใหญ่อยู่หน้าวัด เวลาพุทธบริษัทญาติโยม มาวัด เวลาพระสงฆ์จากทิศทั้ง 4 เดินทางมาเฝ้าพระพุทธองค์ ทุกคนก็จะต้องพบกับพระฉันนะ มีอยู่วันหนึ่ง กลุ่มพระมหาเถระกลุ่มหนึ่ง ซึ่งเป็นพระชั้นผู้ใหญ่ เดินทางมาเฝ้าพระพุทธองค์ พอมาถึงหน้าวัดเห็นพระฉันนะนั่งอยู่ตรงนั้น มีกิริยาสงบ สง่า วางมาดประหนึ่งพระมหาเถระที่บวชมาแล้วได้ตั้งหลายร้อยพรรษา พระภิกษุกลุ่มนั้ันพอเดินทางมาถึงหน้าวัด เชตวัน พากันตรงเข้าไปที่ศาลาน้อมกายน้อมใจ ก้มตรงกราบพระฉันนะ ด้วยความเคารพ เพราะเห็นว่าที่นี้ เป็นที่ประทับของพระพุทธองค์ สงสัยว่าพระรูปนี้คงเป็นพระมหาเถระ ที่ทรงมอบหมายให้มาต้อนรับแขก พอกราบพระฉันนะเสร็จแล้ว หนึ่งในกลุ่มพระเถระรูปนั้นก็ได้สนทนาปราศัยไปกับพระฉันนะว่า ท่านผู้มีอายุ ท่านชื่ออะไร พระฉันนะก็ตอบว่า เราเองคือฉันนะ เป็นอดีตข้าชบริพารในพระองค์ ขอโทษนะครับ หลวงพ่อฉันนะ ท่านได้กี่พรรษา พระฉันนะก็ตอบว่า อาตมายังไม่ได้สักพรรษาเลย พอพระเถระทั้งหลายได้ยินอย่างนี้ ก็เลย ตกใจกันหมดเลย ว่า บวชมายังไม่ได้สักพรรษา แต่มานั่งวางมาดให้พระเถระทั้งหลายกราบ ไม่น่าเชื่อว่าทำได้ยังไง ทำไมไม่ละอายแก่ใจบ้าง พระทั้งหลายก็พากันเบือนหน้าหนีพระฉันนะ ลุกออกจากศาลาไปเฝ้าพระพุทธองค์ และนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรก ที่พระฉันนะไม่มีความละอายแก่ใจ ไปนั่งอยู่ในจุด
ต้อนรับอาคันตุกะ ให้คนนั้ันมากราบ ให้คนนี้มาไหว้ ทั้งๆที่ตัวเองนั้น เพิ่งบวชมาใหม่ๆแท้ๆแต่มีความปรารถนาในทางมักใหญ่ใฝ่สูง พระฉันนะทำตัว ประหนึ่งมดแดงที่แฝงมะม่วง แค่แฝงแค่เฝ้าแต่ไม่ได้ลิ้มรสมะม่วงหรอก ท่านทำตัวไม่ต่างจากกบนั่งเฝ้ากอบัว พระพุทธองค์ทรงเป็นดอกบัวที่แย้มบาน แต่ว่า พระฉันนะก็เป็นแค่กบเฒ่าเท่านั้ันเองที่เฝ้ากอบัวอยู่ริมบึ้ง ท่านเฝ้าอยู่อย่างนั้น ชั่วนาตาปี ปล่อยให้พุทธบริษัทญาติโยม พระสงฆ์ ภิกษุ ซึ่งป็นเหมือนแมลงผู้แมลงผึ้ง บินมาจากที่ไกลมาตอม พระฉันนะยังคงทำตัวเป็นกบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัวอยู่ตรงนั้นชั่วนาตาปี ไม่ใช่แค่วันสองวัน ไม่ใช่แค่ปีสองปี แต่ท่านยังคงเป็นกบเฒ่านั่งเฝ้ากอบัวอยู่อย่างนั้นวันแล้ววันเล่า คืนแล้วคืนเล่า จนกระทั่งพระพุทธองค์ดับขันธปรินิพพานไป ก่อนจะดับขันธปรินิพพานไปนั้น พระพุทธองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อพระฉันนะ เรียกพระอานนท์ไปเฝ้า ในฐานะข้าเก่าเต่าเลี้ยง ในฐานะมหาดเล็ก ทรงสงสารเขา เรียกพระอานนท์ไปเฝ้ามีรับสั่งว่า อานนท์หลังจากที่เราตถาคตล่วงลับไป ช่วยดูแลฉันนะด้วย ประการหนึ่งฉันนะอยากทำอะไรให้เธอทำนะ คณะสงฆ์ไม่ต้องสนใจเธอ ปล่อยเลยนะ เธออยากนั่งให้เธอนั่ง เธออยากนอนให้เธอนอน เธออยากเดินให้เธอเดิน เธออยากหลับให้เธอหลับ เธออยากเทศให้เธอเทศ สงฆ์ทั้งปวงไม่ต้องข้องแวะ สงฆ์ทั้งปวงคลุกคลีตีมอง สงฆ์ทั้งปวงไม่ต้องให้ความสำคัญ ฉันนะอยากใช้ชีวิตยังไงปล่อยให้เธอใช้อย่างนั้น อย่าลืมนะอานนท์ ฝากดูแลฉันนะด้วย สิ่งที่พระพุทธองค์ทรงทำกับพระฉันนะนี้ ภาษาพระวินัย เรื่องว่า การลงพรหมทัณฑ์ คือ การลงโทษแบบผู้ดี กล่าวคื ถ้าใครคนใดคนหนึ่ง ไม่อยู่ในโอวาท มีวิธีเดียวเท่านั้นที่จะบริหารจัดการคนเช่นนี้ นั้นก็คือ ต้องลงพรหมทัณฑ์ กล่าวคือ ปล่อยให้เขามีชีวิต แต่ไม่มีตัวตน ดั่งคนที่ตายไปแล้ว พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ไม่มีใครเห็นหัวเขาอีกต่อไป เมื่อสั่งความเสร็จแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพานไป หลังเสร็จงานถวายพระเพลิงพระพุทธสริระ สงฆ์ทั้งปวงก็เหมือนลูกที่ขาดพ่อขาดแม่ ความสนใจทั้งหมดมารวมอยู่กับพระอานนท์ ซึ่งเป็นพระพุทธพระอนุชา พระฉันนะนั้น ตอนที่พระพุทธองค์ยังทรงอยู่ ท่านก็รู้สึกว่าท่านสำคัญมาก ท่านยิ่งใหญ่มาก ใครจะสำคัญยิ่งไปกว่าท่านในวัดนั้นเป็นไม่มี ทีนี้เมื่อพระพุทธองค์ทรงดับขันธปรินิพพานไปแล้ว พระฉันนะจะเชือมโยงกับใครได้อีกในวัดนั้น ท่านก็เป็นดั่งหนึ่งลูกนก ที่ถูกพายุฝนโหมกระหนํ่า ไร้ซึ่งความหวัง มองไปทางไหนไม่เห็นใครที่จะเมตตากรุณาต่อท่าน ไม่ใช่ว่าสงฆ์ทั้งปวงไม่มีเมตตากรุณา แต่เป็นเพราะว่า สงฆ์ทั้งปวงพร้อมใจกัน ลงพรหมทัณฑ์ แก่ท่านนั้นเอง พระฉันนะอยู่ในวัด แต่ท่านรู้สึกว่าเหมือนอยู่คนเดียว ท่านอยู่ท่ามกลางฝูงชนแต่ท่านรู้สึกเหมือนท่านกำลังติดเกาะอยู่กลางทะเล ทั้งๆที่มีผู้คนมากมาย แต่กลับไม่มีใครมองเห็นท่าน ทั้งๆที่มีญาติโยมเดินเข้าเดินออกวัด เหมือนกับพระพุทธองค์ทรงพระชนน์อยู่ แต่ดูเหมือนว่าไม่มีใครจะมองเห็น พระฉันนะ เมื่อท่านพูดไม่มีใครฟัง เมื่อท่านสนทนา ไม่มีใคร คอยเป็นคู่เจรจาปราศัย ท่านเดินไปทางไหน ดูเหมือนฝูงชน จะแตกออกเป็นห่าง ไม่มีใครกราบไหว้ ไม่มีใครให้ความสำคัญ ไม่มีใครแม้แต่จะมองท่าน พระฉันนะก็รู้สึกว่า นี้มันเกิดอะไรขึ้นกับฉัน ทำไมเหมือนกับโลกนี้ทั้งโลก มีตัวฉันอยู่คนเดียว ก่อนหน้านั้น ท่านมีแต่ความรุ้ว่าท่านเป็นอดีตข้าราชบริพารรับใช้ใกล้ชิด เกิดมาพร้อมกับเจ้าชายสิทธัตถะ และฉันนี้แหละพาพระองค์ออกบวช ความคิดแบบนี้เองที่มันลงลึกกลายเป็นทฤษฎี กลายเป็นองค์ความรู้ ที่ฝังอยู่ในรากแก้ว แห่งความทรงจำของพระฉันนะ และเมื่อมันแฝงฝังอยู่ลึกมาก ตัวท่านเองกับความคิดแบบนี้ ก็กลายเป็นเนื้อเดียวกัน ทำให้ท่านสูญเสียความรู้สึก ฉะนั้นทันทีที่ถูกลงพรหมทัณฑ์ ท่านมองไปทางไหนไม่มีใครพูด ไม่มีใครทัก โลกของท่านเหมือนกับคนที่ติดเกาะ นาทีนั้นท่านเกิดความรู้สึกตัวขึ้นมา ว่า นี้ไม่ใช่สถานการณ์ปกติ ทำไมทั้งๆที่เรายังคงอยู่ แต่ไม่มีใครให้ความสำคัญกับเรา ทำไมเมื่อเราพูดจึงไม่มีใครฟัง นี้ต้องไม่ใช่สถานการณ์ปกติแน่นอน เมื่อความรู้สึกนี้เกิดขึ้น จนสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจน จึงยอมลดทิฐิเดินเข้าไปหาพระอานนท์ ท่านได้เรียนถามว่า ท่านอานนท์นี้มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมไม่มีใครคุยกับผมเลย ทำไมสงฆ์ทั้งปวงทำดั่งหนึ่งผมนี้ ไม่มีตัวตน ท่านช่วยบอกได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้น พระอานนท์ยิ้มด้วยความเมตตา และท่านก็บอกว่า ฉันนะมาก็ดีแล้ว เรามีเรื่องจะบอกท่านนะ ก่อนจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทรงสั่งความว่า เมื่อเราตถาคตล่วงลับไปแล้ว ฉันนะอยากทำอะไรก็ทำ ฉันนะอยากพูดให้พูด ฉันนะอยากนอนให้นอน ฉันนะอยากเดินให้เดิน ฉันนะอยากทำอะไรให้ทำปล่อยฉันนะ ไปตามสบาย สงฆ์ทั้งปวงไม่ต้องเกี่ยวข้อง ไม่ต้องผูกพัน ฉันนะอยากใช้ชีวิตอย่างไรปล่อยตามใจฉันนะ ท่านฉันนะนี้แหละคือข้อความที่พระองค์ทรงฝากเรามาถึงท่านโดยเฉพาะ ทันที ที่พระฉันนะฟังพระอานนท์เล่าถึงพุทธกระแสรับสั่ง พระฉันนะเกิดความรู้สึกขึ้นมาในทีนั้นเองว่า ท่านถูกลงพรหมทัณฑ์ นี้หรือคือสิ่งที่บุคคลอันเป็นที่รักยิ่งที่สุดทรงกระทำต่อท่าน ไม่น่าเชื่อว่านี้คือสิ่งที่ฉันได้รับจากพระพุทธองค์ ผู้เป็นที่รักยิ่งดังแก้วตาดวงใจ ฉันนะรับไม่ได้ ไม่น่าจะเป็นไปได้ พระอานนท์ก็บอกว่า ฉันนะ เรารับรับสั่งมาแต่เบื้องพระพักตร์ ทรงสั่งความมาอย่างไร เราเล่าถวายท่านตามนั้นทุกอย่าง พระฉันนะเกิดความรู้สึกนาทีนั้นเองว่าท่าน ถูกลงพรหมทัณฑ์จากคนที่ท่านเคารพนับถือมากที่สุด เมื่อรักมากก็ผิดหวังมาก เคารพมากก็เสียใจอย่างลึกซึ่ง เกิดสภาวะอกหักทางจิตครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตของท่าน นาทีนั้นพระฉันนะรู้สึกว่าพระพุทธองค์ไม่ทรงเยื่อใยในตนเอง พอเกิดความรู้สึกอย่างนี้ ท่านสลบเป็นลมลงไป ต่อเบื้องหน้าพระอานนท์ นาทีที่ตัวตนของพระฉันนะถูกกุศโลบายของพระพุทธองค์ตแตกกระจายนั้ันเอง เห็นมั้ยว่าการกอดในอัตตานั้นรุนแรงเพียงใด พออัตตานั้นสลาย ก็เหมือนกับชีวิตของคนๆหนึ่ง พลอยดับสลายไปด้วย พระอานนท์ช่วยกันประคับประคองพระฉันนะ จนฟื้นขึ้นมา ท่านค่อยๆลืมตาขึ้นมา เมื่อได้สติ พระฉันนะถามพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ขอรับ ท่านช่วยยืนยันหน่อยซิว่า สิ่งที่ท่านพูดมาทั้งหมดเป็นพุทธกระแสรับสั่งจริงๆ พระอานนท์เล่าซํ้าอีกครั้งหนึ่ง พระฉันนะฟังจบ เป็นลมครั้งที่สอง พระอานนท์ช่วยอภิบาลฟื้นขึ้นมา พระอานนท์ขอรับช่วยยํ้ารับสั่งอีกทีซิ พระฉันนะได้ฟังซํ้าเป็นครั้งที่สาม เป็นลมอีกครั้งหนึ่ง เกิดความเชื่อมั่นอยากแน่นแฟ้นแล้วว่า บัดนี้ เราเป็นผู้ที่พระพุทธองค์ทรงทิ้ง คุณโยมทั้งหลาย ถูกแฟนทิ้งคงไม่เจ็บขนาดนี้นะ ถูกพ่อทิ้งแม่ทิ้ง คงเป็นเรื่องที่น่าจะพอรับได้ ในชั่วชีวิตหนึ่งคุณโยมได้มีโอกาสไปใช้ชีวิตอยู่กับคนสำคัญของโลก คือ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้า เคยเป็นข้าเก่าเต่าเลี้ยง เคยเป็นพระสหาย เติบโตขึ้นมากับพระองค์ ซํ้ายังได้บวชในวัดเดียวกับพระองค์ท่าน แต่แล้วท่านมีมากมายขนาดนี้ ก็ไม่สามารถทำให้ท่านบรรลุธรรมก่อนคนอื่น กลับกลายเป็นว่า ต้นทุนดังกล่าวมาทั้งหมด ทำให้พระฉันนะกลายเป็นบุคคลที่ถูกทิ้ง พระฉันนะเจ็บ อย่างถึงที่สุดไม่สามารถประคองกายประคองใจให้นั่งตรงๆได้ นอนเหมือนคนหมดสภาพ มองไม่เห็นว่าชีวิตนี้ของฉันจะเชื่อมโยงกับใครได้อีกในโลกนี้ พระฉันนะรู้สึกว่าท่านถูกทิ้ง นาทีที่เกิดความรู้สึกว่าท่านถูกทิ้ง เกิดปฎิกิริยาบางอย่างขึ้นมาในใจของท่าน โดยฉับพลันทันที ตลอดเวลาที่ผ่านท่านมองออกไปข้างนอก เห็นแต่คนอื่น นาทีน้้นท่านหันมามองข้างในจิตใจตัวเอง ท่านเริ่มเห็นตัวเอง ท่านเริ่มถามว่า ทำไม คนที่เรารัก คนที่เราบูชา คนที่เรายกย่องสูงสุด อย่างพระพุทธองค์ จึงทรงทำกับเราได้ ทำไมจึงทำกับฉันได้ ทำไมจึงทรงทิ้งเราได้ พระฉันนะ หันกลับมามองข้างในจิตใจตัวเอง นาทีนั้นท่านค้นพบคำตอบ ค้นพบว่า ก็เพราะเรามันอวดดื้อ ถือดี ก็เพราะมันหยิ่งยะโสนัก พอค้นพบคำตอบด้วยตัวเองแล้ว กลุ่มก้อนแห่งอัตตาของพระฉันนะ ค่อยๆสลายลง กำแพงแห่งทิฐิอันหนาพังครืนลงมา พระฉันนะไปหาพระอานนท์ พระอานนท์ขอรับ ฉันนะสำนึกผิดแล้ว ฉันนะรู้แล้วว่าทำอะไรลงไป ฉันนะมองเห็นเหตุปัจจัยทั้งหมดทั้งมวลแล้ว ข้าแต่ท่านพระอานนท์ ได้โปรด เป็นที่พึ่งให้ฉันนะเถิด คำว่าข้าแต่พระอานนท์ เป็นคำที่ไม่เคยหลุดออกจากปาก พระฉันนะ พระอานนท์ยิ้มอยู่ในความเงียบ พระฉันนะไปหาพระมหาเถระรูปอื่นๆ ข้าแต่หลวงพ่อ ข้าแต่หลวงพี่ ข้าแต่พระเดชพระคุณ ข้าแต่สงฆ์ทั้งปวง ข้าแต่ครูบาอาจารย์ที่เคารพ ข้าแต่พระมหาเถระ ได้โปรดอนุเคราะห์ พระฉันนะด้วยเถิด พอจิตของท่านนุ่มนวลอ่อนโยน เพราะว่า อัตตามันพังครืนลงมา สงฆ์ทั้งปวงนำโดยพระอานนท์ เห็นว่า บรรนี้ฉันนะได้พังทลายกำแพงแห่งทิฐิ เมฆหมอกแห่งอัตตาหนาทึบ หายไปแล้ว พระอานนท์ก็มองเห็นว่า ฉันนะ ท่านจึงอาศัยความเมตตากรุณาเรียก พระฉันนะมาใกล้ๆ แล้วก็ให้กุศโลบายธรรม ฉันนะ เธอลองปฎิบัติดูนะ เจริญสติปฐาน ตามดูรู้เท่าทันกาย ตามดูรู้เท่าทันจิตนะ ตามดูรู้เท่าทันธรรมนะ เดินก็ให้รู้ นั่งก็ให้รู้ กินก็ให้รู้ คิดก็ให้รู้ ทุกเรื่องที่คิดทุกกิจที่ทำทุกครั้งที่พูดก็ให้ท่านพยายามตระหนักรู้ไว้นะ พยายามระลึกรู้ไว้นะ พระฉันนะรับกุศโลบายธรรมจากพระอานนท์ รับกุศโลบายธรรมจากพระอนุเถระทั้งหลาย ปล่อยวางตัวตนหมดสิ้น นาทีนั้นท่านเป็นหนึ่งลูกนกลูกกา ที่ไม่มีความสำคัญใดๆทั้งสิ้น ท่านคือชนชั้นรากหญ้า ในหมู่พระมหาเถระ ท่านปลีกตัวออกไปจากหมู่คณะใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งเดือน อดีตพระฉันนะหัวดื้อ ก็ถึงที่สุดแห่งธรรม กลายเป็นหนึ่งในพระอรหันต์พุทธสาวกบรรลุถึงประโยชน์สุขที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้ในพระพุทธศาสนาได้สำเร็จเหมือนกัน ในวันที่ท่านบรรลุถึงมรรคผลนิพพานชั้นสูงสุด พระฉันนะปิติตื่น นํ้าตาไหลพราก ไม่ใช่นํ้าตาแห่งความสำนึกผิด เป็นนํ้าตาแห่งการปิติ เป็นนํ้าตาแห่งความสุข อย่างสูงที่สุดในชีวิต แล้วท่านก็มองดูตัวเอง ด้วยความสมเพชเวทนา อดีตพระฉันนะหัวดิ้อรูปนั้น ช่างไม่รู้อะไร ช่างน่าอาย อยู่กับพระพุทธองค์นะ แล้วถูกพระพุทธองค์ทิ้ง ในโลกนี้มีใครตํ่าต้อยกว่าฉันอีกมั้ย ฉันเคยเป็นคนที่ถูกทิ้ง พระฉันนะมองเห็นอดีตของตัวเองแล้วก็หัวเราะออกมาให้กับความไร้เดียงสา ให้กับความโง่เขลา ให้กับความหลงผิดของตัวเอง แล้วท่านก็ยิ้มเบิกบานให้กับตัวเอง นาทีนั้นท่านได้ย้อนกลับไป พิจารณาพรหมทัณฑ์ ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งลงต่อท่านในครั้งหนึ่ง แล้วท่านจึงตระหนักรู้ว่าทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อตัวเองเพียงใด พระฉันนะหันไปทางทิศที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ก้มลงกราบทั้งกายทั้งใจ กราบแบบคนที่ไม่มีอัตตาหลงเหลืออยู่ กราบแบบคนที่ไม่มีทิฐิมานะ ชีวิตที่เหลือจากนั้นท่านก็ได้อุทิศให้กับพระธรรมวินัย เป็นหนึ่งในพระสงฆ์สาวกที่ออกเดินสายบรรยายธรรมไปทั่วชมพูทวีปเช่นเดียวกัน เรื่องราวของพระฉันนะ ที่อาตมานำมากล่าวเป็นธรรมะรับอรุณในช่วงเช้าวันนี้ อยากจะให้เราทั้งหลาย ลองนำไปพิจารณาว่า ทำไม พระฉันนะจึงกลายเป็นคนที่ถูกทิ้ง ทำไมพระฉันนะทั้งๆที่มีต้นทุนทางสังคมดีกว่าพระสงฆ์ทั้งปวง จึงไม่ได้บรรลุมรรคผลนิพพาน ทั้งๆที่ยังทรงพระชนอยู่ และทำไมหลังพระพุทธเจ้าดับธปรินิพพานไปแล้ว ได้ฟังพรหมทัณฑ์ พระฉันนะจึงบรรลุนิพพาน

คนที่ถูกทิ้ง โดย ท่าน ว.วชิรเมธี


ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *