พุทธวจนธรรมะยามเช้า
การปฎิบัติตัว เมื่อใส่บาตร ฟังธรรม
การละชั่ว กลัวบาป
เจริญพรญาติโยมทุกคน วันนี้ได้มีโอกาสมาให้ข้อธรรมของตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าของพวกเราในพุทธศาสนา เป็นข้อธรรมที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระองค์โดยตรง ภิกขุจะใช้ความทรงจำ คำของตถาคตแล้วก็มาถ่ายทอดให้พวกเรา จะไม่ใช้คำอธิบายหรือการปรุงแต่ง เราจะได้ฟังเฉพาะคำของพระศาสดา
อันดับแรก แล้วดูพระสูตรในในเสขิยกัณฑ์ เรื่องของการแสดงธรรม เพราะบางที่ผู้ฟังธรรมใหม่ๆ อาจจะไม่คุ้นเคยว่า ฟังธรรมต้องถอดรองเท้า จริงๆมันเป็นบัญญัติพระศาสดา พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติ แต่ตอนใส่บาตรต้องถอดมั้ย? ไม่ต้องถอดนะ พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ การถอดรองเท้าตอนใส่บาตร เห็นมั้ยเราจะทำกลับกัน ในเสขิยกัณฑ์ 75 ข้อ ในปาติโมกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัส เวลาภิกขุออกเดินบิณฑบาต ข้อวัดจะมาจับที่ตัวภิกขุ แต่จะไม่ไปจับตัวที่ฆราวาส ว่าภิกขุจะต้องไม่ได้ แกว่งแขน อย่าเอาผ้าโพกหัว มีสายตาทอดลงตํ่า มีเสียงน้อยไปในละแวกบ้าน คือตัวภิกขุจะต้องสำรวมแบบดีมากเลย เพื่อให้เป็นมารยาทและโคจร และเกิดความเลื่อมใสแก่คนที่ยังไม่เลื่อมใส และเลื่อมใสยิ่งขึ้นกับคนที่เลื่อมใสแล้ว ที่คือเหตุผลในการบัญญัติศีลที่ว่าด้วยมารยาทและโคจร และการแสดงธรรมก็เป็นหนึ่งในมารยาทและโคจรด้วย แต่การแสดงธรรมนั้น ผู้ฟังมารับธรรมะจากภิกขุ ก็จะมีเงื่อนไขอีกแบบหนึ่ง แต่ตอนที่ภิกขุไปขออาหารกับฆราวาสจะมีเงื่อนไขอีกแบบหนึ่ง เวลาภิกขุไปขออาหารจากฆราวาสจะไม่ตั้งเงื่อนไขกับฆราวาสเลย เงื่อนไขจะมาตั้งทีตัวภิกขุ ว่าจะต้องสำรวมทุกอย่างเลย ตามที่พระถชพุทธเจ้าทรงบัญญัติ
ในการแสดงธรรม พระพุทธเจ้าให้ภิกขุสังเกตุฆราวาส ถ้าฆราวาสมีอาการแบบนี้ คือ สวมรองเท้า ถือไม้พลอง ถือศาสตราวุธ ถืออาวุธ ผ้าโพกหัว มือกางร่ม นั่งที่สูงกว่า นอนบนเตียง ไปในยาน เรายืนเขานั่ง พระพุทธเจ้าบอกว่า อย่าแสดงธรรมให้ แต่ตอนบิณฑบาต โยมจะถือ ไม้พลอง ถืออาวุธ ผ้าโพกหัว กาวร่ม ยืนสูงกว่า ก็รับบิณฑบาตได้หมด ไม่มีข้ออ้าง
ในการบิณฑบาต ถามว่ามีความจำเป็นต้องถอดรองเท้ามั้ย ไม่มีความจำเป็น ส่วนการฟังธรรมะนั้น สวมรองเท้า ถืออาวุธ ผ้าโพกหัว กางร่ม นั่งที่สูงกว่า อันนี้พระพุทธเจ้าบอกภิกขุห้ามแสดงธรรมให้
ไม่ได้ห้ามฆราวาสแต่กลับมาห้ามภิกขุ เพราะภิกขุเป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้า นี้เป็นศีลว่าด้วยมารยาทและโคจรในการเข้าละแวกบ้าน
ลับดับการสืบทอดพุทธวจน ว่าข้อมูลที่ใช้มาจากไหน คำสอนพระพุทธเจ้ามาอย่างไร สืบทอดยังไง ในพระไตรปิฎกจะมีคำพระพุทธเจ้าเยอะที่สุด และก็จะมีคำอธิบายแต่งใหม่เพิ่มเติมเข้าไปด้วย ทีนี้คำพระพุทธเจ้าที่อยู่ในพระไตรปิฎกมาจากไหน พระไตรปิฎกในสำนักทุกสำนักในประเทศไทยในปัจจุบันทุกฉบับใช้ข้อมูลจากไหน จากสมัยรัชกาลที่ ๕ พระไตรปิฎกอักษรสยาม จปร 112
รัชกาลที่ ๕ นิมนต์ภิกขุมา 100 กว่ารูปทั่วประเทศ มาประชุมกันที่วัดพระแก้ว เพื่อช่วยกันเปลี่ยนอักขระขอม มาเป็นอักขระสยาม ใช้เวลาทำ 5 ปี ตั้งแต่ปี 2431 – 2436 จากนั้นก็มีก่ีเปลี่ยนวรรณยุกต์นิดนึง เป็นฉบับสยามรัฐ ในปีประมาณ 2468 แล้วเราก็ใช้ฉบับสยามรัฐเป็นต้นฉบับมาเรื่อยๆ
รัชกาลที่ ๕ เอาข้อมูลหลักฐานมาจากไหน เอามาจากรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๑ เป็นผู้เริ่มดำริธรรมตรงนี้เอง พอกอบกู้บ้านเมืองได้ หลักฐานทางพุทธศาสนาไม่มี ก็ยืมพระไตรปิฎกประเทศลาวกับรามัญมา แล้วนิมนต์ภิกขุ 200 กว่ารูป นั่งลอกใหม่หมดเลย ใช้เวลาทำอยู่ 5 เดือน ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์ พระไตรปิฎกตัวนี้ปัจจุบันยังมีอยู่ที่หอมณเฑียรธรรมที่วัดพระแก้ว หลักฐานตัวนี้ตกมาถึงรัชกาลที่ ๕ ร.๕ เปลี่ยนเป็นอักขระสยาม ตกมาถึงช่วง รัชกาล ๗-๘ ตั้งคณะทำงาน เปลี่ยนเป็นภาษาไทย เป็นพระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย และ ฉบับหลวง ดังนั้นเป็นข้อมูลเดียวกันตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ปั 2331 ดังนั้นข้อมูลที่เราได้ดู เก่าแก่ที่สุดแล้ว เก่าแก่กว่าภิกขุทุกรูปในยุคนี้ เพราะว่าภิกขุไม่ใช่ผู้บวชคนแรก คนบวชคนแรก พระอัญญาโกณฑัญญะ ที่พระพุทธเจ้าบวชให้แล้วก็สืบทอดกันมา แล้วภิกขุทุกรูปต้องขอบวช ดังนั้น มีภิกขุบวชมาก่อนเรา มีธรรมวินัยมาก่อนเรา 2000 กว่าปี แล้วก็ลืบทอดมาเรื่อยๆ
ดังนั้น ธรรมวินัยถ้าเกิดการผิดเพี้ยน ให้ตรวจสอบที่ พุทธวจน วจน แปลว่า คำพูด พุทธ แปลว่า ชื่อของพระพุทธเจ้า พุทธวจน เป็นคำที่พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ เราอนุญาตให้ภิกขุทั้งหลายลอกเลียนพุทธวจนตามภาษาเดิมของตน
ข้อมูลหลักฐานในสมัยรัชกาลที่ ๑ ในดินแดนสุวรรณภูมิ เอามาจากไหน เอามาจากสมัย พระเจ้าอโศกมหาราช หลักฐานไปอยู่ที่นั้น ในสมัยพระเจ้าอโศกมีการกระจายคำสอนไปประมาณ 9 ตำแหน่งทั่วโลกที่สำคัญ มาในดินแดนสุวรรณภูมิและศรีลังกา ดินแดนสุวรรณภูมิแต่ละประเทศที่นับถือศาสนาพุทธ สืบสาวไปแล้วหลักฐานทางประวัติศาสตร์อยู่ที่อินเดีย ว่ามีการกระจายคำสอนนี้มา ในสมัยยุคพระเจ้าอโศก ในยุคพระเจ้าอโศกนั้น มีการใช้อักษร อักษรพราหมี ภาษาปรากฤต หลักฐานยังมีอยู่ในปัจจุบันอยู่ 3 ลักษณะ คือ ในถํ้า ก้อนศิลา และเสาหิน ถ้าใครไปอินเดีย ก็จะเจอเสาหินอโศกที่มีการเขียนอักขระ ซึ่งอักขระนี้จะถูกเรียกว่า อักษรพราหมี ภาษาปรากฤต
ที่นี้เรามาดูว่า พุทธวจน หลักฐานเนี่ยในยุคต่างๆ มีการพูดถึงอยู่ตลอดเวลา ในสมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นพงศาวดารในสมัย กรุงศรีอยุธยา ก็มีการพูดเรื่อง พุทธวจน ว่าพุทธวจน ก็เริ่มเสื่อมสูญไป เพราะว่าคนไม่ค่อยรู้จัก มาสมัยรัชกาลที่ ๔ มีพระราชนิพนธ์ของท่านเอง แปลโดย สมเด็จพระสังฆราช ก็พูดเรื่องพุทธวจน แล้วก็สมัยรัชกาลที่ ๕ ก็มีพระราชนิพนธ์ของท่านเอง และในสมัย รัชกาลที่ ๗ ก็มีประกาศเป็น ราชกิจจานุเบกษา ว่าประเทศสยามจะเป็นคลังพระธรรมของโลก รักษาซึ่งพุทธวจนซึ่งการหาที่สุดมิได้
บรรยายธรรมโดย พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
ประธานสงฆ์ วัดนาป่าพง คลองสิบ อำเภอลำลูกกา จังหวัดปทุมธานี