เสียงธรรมเทศนา “หลวงพ่อไพศาล วิสาโล”
หัวข้อธรรมเรื่อง มีปัญหาอย่าถอยหนี
เทศน์โปรดญาติโยม ณ วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ
วันนี้ได้อ่านหนังสือพิมพ์ได้เจอข่าวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากกรรมต่างวาระกัน เช่น รถชน รถควํ่า อย่างที่ได้ยินในช่วงปีใหม่ ถ้าเราพิจารณาข่าวเหล่านี้ เราจะพบว่า “สติ” สำคัญมาก มันสำคัญขั้น ความเป็น ความตาย เลยทีเดียว แต่พอไม่มีสติ มันก็อาจทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องโต ถึงขั้นล้มหายตายจากได้ แต่ถึงแม้ว่าคนเราจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์แบบนั้น อาจจะไม่ได้เจอเหตุการณ์แบบนั้น แต่ว่ามันจะมีเหตุการณ์ใหญ่น้อยมากมายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเราซึ่งทำให้เรา เกิดความทุกข์ ความกลัว ความกลุ้มใจ บ้างครั้ง สติที่มี มันก็มีไม่พอเหมือนกันกับการที่จะรับมือกับเหตุการณ์เหล่านั้นไม่ว่าจะเป็นเรื่องคอขาดบาดตายหรือร้ายแรงอะไร ยิ่งคนเราถ้าหากตระหนักว่า เหตุการณ์ที่เป็นวิกฤตหรือคอขาดบาดตาย อาจจะเกิดขึ้นกับเราไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ได้ และถ้าเราตระหนักว่าสติสำคัญ เราก็ต้องหมั่นฝึกฝน การเอาตัวเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่ทำให้ตื่นตระหนกตกใจ บางทีมันก็จำเป็นเหมือนกันนะ ในการที่เราได้ฝึก ในการที่จะตั้งสติ เพราะคนเราถ้าจะตั้งสติโดยอัตโนมัติมันยาก มันต้องผ่านการฝึกฝน มีความคั้นเคยกับเหตุการณ์ทำนองนี้มาก่อน มันถึงจะตั้งสติได้ทัน เหมือนคนที่ต้องขึ้นไปพูดในที่ชุมชน คนฟังเป็นพันเป็นหมื่น เป็นใครก็ประมาททั้งนั้นแหละ แต่ว่าถ้าหากได้พาตัวขึ้นไป ขึ้นพูดในที่ชุมชนในสถานการณ์ที่อาจจะนำวิตกน้อยกว่านี้ เช่น พูดต่อหน้าคน 10-20 คน ใหม่ๆก็ประมาทแต่พอพูดไปมันก็เริ่มมีสติสามารถจะรับมือกับความประมาทได้ แต่บางคนจะไม่ยอมเลยนะ พอรู้ว่าถ้าไปพูดต่อหน้าผู้คนจะตกใจ ก็ไม่ยอมเลย แล้วถ้าเป็นอย่างนั้น เจาจะสามารถรับมือกับความประมาทได้อย่างไร เพราะว่า ไม่วันใดก็วันหนึ่งก็ต้องเจอ แต่ถ้าหากที่จะลองที่จะพาตัวไปอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้เกิดความประมาทและก็ไม่หนีไม่ท้อและต่อสู้กับมัน เราก็จะเรียนรู้วิธีที่จะรับมือกับความประมาทได้ พอถึงเวลาที่จะต้องไปพูดในที่ชุมชนที่คนเยอะแยะเป็นพันคน ถึงแม้ว่าจะไม่เคยพูดในที่แบบนั้นมาก่อน แต่ว่าประสบการณ์ที่มี ได้เคยรับมือกับความประมาท ในเหตุการณ์ที่เล็กๆ ที่เคยผ่านมาแล้ว มันก็คอยควบคุมจิตใจได้ พอที่จะตั้งสติ แล้วก็สามารถที่จะพูดให้มันจบได้ด้วยดี ความกลัว ก็เหมือนกันนะ หลายคนก็เวลาอยู่ในเหตุการณ์อะไรที่น่ากลัว ที่จริงมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไร เช่น ความมืดหรือการอยู่คนเดียว พอกลัวแล้วนี่ ก็หนีเลย ก็เลยไม่เรียนรู้ที่จะรับมือกับความกลัว ไม่เรียนรู้ว่าเราจะตั้งสติยังไงเมื่อความกลัวเกิดขึ้น พอถึงเวลาไปอยู่สภานการณ์ที่มัน เรียกว่า สะเทือนขวัญ น่ากลัว ถึงขั้นชีวิต จะรับมือกับมันอย่างไร ส่วนใหญ่ก็สอบตกแล้ว ถ้าสอบตกในเหตุการณ์แบบนั้น บางทีมันเสียหายร้ายแรงนะ กว่าเหตุการณ์เล็กๆที่มันสามารถจะเป็นแบบฝึกหัดให้กับเราได้ การที่เราพาตัวเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์ที่เราไม่ชอบ ไม่ว่าที่จะทำให้เกิดความประมาท ที่จะทำให้ตื่นตกใจ หรือว่าทำให้ความทุกข์ เช่น เจ็บปวด สิ่งพวกนี้มันก็เป็นสิ่งที่เราไม่ควรหนีนะ เราควรเข้าไปเผชิญกับมัน คือ ว่ามันเป็นแบบฝึกหัด เป็นเครื่องฝึกให้เราเนี่ยมีภูมิคุ้มกันต่ออารมณ์ที่เกิดขึ้นต่อเหตุการณ์ที่ปรากฎ จะเป็นความกลัว จะเป็นความประมาณ ความเจ็บปวด หรือแม้กระทั่งความโกรธ แบบนี้จะถือว่าเป็นการปฎิบัติธรรมอย่างหนึ่งก็ได้ ถ้าเราปฎิบัติธรรมในที่ๆสบาย ไม่มีอะไรที่จะมาคุกคามให้เรากลัว ไม่มีอะไรที่จะมาบีบคั้นให้เราเป็นทุกข์ หรือไม่มีสิ่งยั่วยุให้เราโกรธ พอเราไปเจอเหตุการณ์เหล่านี้จริงๆ ก็จะตกม้าตายได้ง่าย และบางทีสิ่งที่เกิดขึ้นมันร้ายแรง อย่างเช่น เจอเหตุการณ์ที่มันถึงขั้นร้ายแรงถึงชีวิต ก็ตกใจทำอะไรไม่ถูก สิ่งที่ทำไปมันกลับทำให้เหตุการณ์มันรุนแรงขึ้น ถ้ามีสติก็จะไม่ทำอย่างนั้น หรือคนที่เวลาไฟไหม้ ส่วนใหญ่เวลาตกใจก็วิ่ง พอวิ่งแล้วเกิดอะไรขึ้น ก็เหยียบกันตาย ก็ธรรมชาติมันต้องทำอะไรซักอย่าง ถ้าใช้สติก็จะรู้ว่า การทำอะไรอย่างนั้นมันกลับทำให้แย่ลง บางทีกรู่กันไป มีไฟไหม้ก็วิ่งกรู่กันไป แล้วคนที่เค้ามีประสบการณ์ เขาก็จะบอกเลยนะว่า อย่าวิ่งตามไป ปล่อยให้คนที่วิ่งไปก่อน แล้วก็คอยดูว่าคนกลุ่มนั้นวิ่งกลับมาหรือป่าว ถ้าวิ่งกลับมา แสดงว่า ทางตัน ถึงตอนนั้นก็ต้องพยายามหลบ อย่าไปยืนขว้างทาง เดี๋ยวก็จะโดยเหยียบ ต้องยืนแอบๆข้างฝาไว้ แล้วถ้าเกิดตนที่กรู่กันไป เขาไปแล้วไม่กลับ แสดงว่า เขาเจอทางออกแล้ว เราก็วิ่งตามทางนั้น จะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีสตินะ เพราะว่า ธรรมชาติของคนที่เจอเหตุการณ์ตกใจ ก็จะวิ่งกรู่กันไป พอมีคนนำคนหนึ่งก็วิ่งตามโดยที่ไม่รู้ว่า ที่ตามไปมันปลอดภัยหรือเปล่า สัญชาตญาณฝูงมันก็จะเริ่มทำงานเวลาตกใจ มันก็จะตามกันไป ตามคนที่เป็นคนนำไฟ ซึ่งคนนำมันก็ไม่ได้รู้อะไรนะแต่ก็วิ่งไปตามสัญชาตญาณ มันก็เหมือนกับผู้ที่เวลาหุ้นราคาตกก็พากันเทขาย ไม่รู้อะไรทั้งสิ้นก็เทขายไปก่อน เพราะตกใจ คนอื่นขาตัวเองก็เทขายบ้าง พวกแมลงเม่าเป็นอย่างนั้นนะ เพราะความตกใจ เห็นใครทำอะไรก็ทำตามทันที มันก็ยิ่งทำให้สถานการณ์เลวร้ายขึ้น ก็ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ หรือว่าพอเศรษฐกิจไม่ดีคนเริ่มถอนเงินจากธนาคาร คนหนึ่งก็ตามมั้ง ก็ถอนบ้าง ทำให้ธนาคารมันเจ๊งภายในเวลาไม่นาน ก็ทำให้ซํ้าเติมเหตุการณ์ที่รุนแรงมากขึ้น ธรรมชาติคนเราพอไม่มีสติแล้วนี้นะ หรือพอมีความกลัวครอบงำ ความตื่นตกใจ มันก็ทำตามสัญญาญาณหมู่ เป็นเพราะว่า ไม่เคยที่จะฝึกใจรับมือ เพราะความตื่นตกใจที่เกิดขึ้น แต่ถ้าเราลอง พาตัวเข้าไปในการที่เราทำให้ เราตื่นตกใจบ้าง มันก็จะฝึกให้เราได้รู้วิธีตั้งสติกับเหตุการณ์เหล่านี้ เหมือนกับโกรธก็เหมือนกัน ความโกรธเนี่ย บางคนพอเจอเหตุการณ์ที่ทำให้โกรธจนลืมตัว ก็เลยทำร้ายข้าวของ หรือ ทำลายคน ที่อยู่ใกล้ตัว แต่ถ้าเกิดเราได้ลองเจอกับความโกรธดูบ้าง แล้วก็ดูว่า เรารับมือกับันได้มั้ย สติตามทันหรือป่าว ถึงแม้ว่าเราจะเผลอ แต่เราก็ได้เรียนรู้ ที่เราพลาดไป สติเรายังอ่อนอยู่ ก็กลับมาฝึกเจริญสติให้มากขึ้น ถ้าเรามองแบบนี้ แม้แต่เหตุการณ์ที่แย่ๆที่มันทำให้เรากลัว ทำให้เราทุกข์ ทำให้เราโกรธทำให้เราขุ่นเคือง มันก็จะกลายเป็นของดี เพราะว่าเราก็ถือว่า เป็นแบบฝึกหัดซะเลย ไหนๆมันเกิดขึ้นแล้ว ทั้งที่เราไม่ได้ตั้งใจ มันเกิดขึ้นมาแล้ว เราก็รู้จักใช้ประโยชน์จากมัน เรียกว่า ฉวยโอกาส หลวงพ่อท่านสอนเสมอ นักปฎิบัติธรรมต้องรู้จัก ฉวยโอกาส ฉวยโอกาสที่ว่านี้ ไม่ใช่เฉพาะมีเวลาว่างก็มาเจริญสติ หรือฉวยโอกาสในอิริยาบภในกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น ล้างหน้า แปรงฟัน อาบนํ้าฯลฯ นี้เป็นการฉวยโอกาสอย่างหนึ่ง แต่ว่า เราต้องฉวยโอกาสในเวลาที่เกิดเหตุการณ์แย่ๆ ที่มันมากระตุ้นให้เราโกรธ หรือว่ามาคุมคามเราให้เราเกิดความตื่นตกใจ ให้ถือว่าเป็นของดี จะมาฝึกให้เรารู้จักตั้งสติ ให้เจอเหตุการณ์บ่อยๆ ถ้าหากว่าเราใช้ให้เป็นประโยชน์ สติเราก็จะดีขึ้น สติเราก็จะไว้ขึ้น เราจะมีภูมิคุ้มกัน ต่อเหตุการณ์เหล่านี้มากขึ้น แต่ก่อนก็เคยตกใจ แต่ตอนนี้ก็ไม่เคยตกใจ เพราะว่า เราคุ้นเคยมันแล้ว แต่ก่อนกลัว แต่ตอนนี้เราไม่กลัวแล้ว เพราะว่า เราคุ้นเคยกับมัน เรารู้ช่องทางที่จะรับมือกับมัน แต่ก่อนเจอแค่นี้ก็โกรธแล้ว แต่ว่าเดี๋ยวนี้มันไม่โกรธ เพราะว่า เรารับมือกับมันได้ ซึ่งที่จริงหลักมันก็คือ ฝึกสติให้รู้จักเห็นมัน เมื่อเราเห็นนะ ในอารมณ์เหล่านี้