การอยู่แบบมีความสุขภายในจิตใจ

การอยู่แบบมีความสุขภายในจิตใจ

การอยู่แบบมีความสุขภายในจิตใจ

 ในสังคมปัจจุบันซึ่งมีการแข่งขันกันสูง ทำให้เราต้องรีบเร่งทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อให้ได้ชัยชนะและรับผลสำเร็จ สิ่งนั้นนำมาซึ่งความเครียดมากมายมหาศาล ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชรา เป็นบ่อนทำลายทั้งสุขภาพจิตและสุขภาพกายรวมทั้งยังทำให้สังคมเป็นมลพิษ คนสมัยนี้มีความเครียดกันมากขึ้น เหตุผลหนึ่งก็คือการตกหลุมพลางแห่งความสำเร็จทางวัตถุ คนทุกวันนี้มองความสำเร็จไปที่วัตถุสิ่งของ ตำแหน่งหน้าที่ การงาน เรื่องผลตอบแทนที่เป็นตัวเงินและไขว้คว้าหาวัตถุมากขึ้น ที่ต้องการตอบสนองตัวเองทางวัตถุเพิ่มสูงขึ้น ถ้าหากว่าเป็นไปตามที่คาดหวังเอาไว้ ความเครียดก็จะน้อยลง แต่ไปไม่เป็นอย่างนั้น ส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้ตามที่หวังไว้ เนื่องจากหวังมากเกินไป หรือมองแต่ความหวังทางด้านวัตถุมากเกินไป ก็เลยส่งผลให้เราเกิดความเครียดกันมากขึ้น วิธีเอาชนะความเครียด ยิ่งไปกว่านั้นความล้มเหลวในจิตใจจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วคนที่อาจจะเกิดความเครียดขึ้นมาได้สูงกว่าคนอื่น จริงๆไม่ใช่คนที่ประสบความล้มเหลว แต่เป็นคนที่ประสบสำเร็จ เพราะมีความสำคัญ เลยเกิดหลุมพลาง เข้าใจว่าตัวเองน่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ตัวเองเพอร์เฟคมาก เกิดในตระกูลที่ดี เรียนหนังสือดี เล่นกีฬาก็ดีมาตลอด ไม่เคยผิดหวังเลย ความล้มเหลวเป็นยังไงไม่รู้จัก คนกลุ่มนี้ไม่เคยไปเจอสถานการณ์จริงโลกแห่งการแข่งขัน คนที่มีทักษะมากกว่า โดยเฉพาะทักษะในการยืนอยู่ในสังคม หรือในการทำงานซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องกับความเก่ง สุดท้ายเมื่อไปเจอความล้มเหลว คนกลุ่มนี้จะมีความเครียดสูงกว่าคนอื่น คนบางคนมีปัญหายิ้มสู้ แต่บางคนมีปัญหาแล้วหลบหนีปัญหา เพราะฉะนั้นความเครียดก็มีแตกต่างออกไป ความเครียดเกิดจาก 2 ปัจจัย สาเหตุของความเครียด
1.) ยึดติดกับอดีต 2.) กังวลกับอนาคต 
ปกติชีวิตมนุษย์มีแต่เดินหน้าไม่มีถอยหลัง เดินไปล้มบ้างลุกบ้าง หยุดอยู่กับที่บ้าง แต่ชีวิตมันเดินไปเรื่อยๆเพราะฉะนั้น อย่าไปกังวลกับอดีต มนุษย์ทุกคนต้องมีความฝัน ถ้าไม่มีความฝัน เราไม่ควรทำอะไร ควรอยู่เฉยๆ แต่ความเพ้อฝัน กับความใฝ่ฝัน มีความแตกต่างกัน ความเพ้อฝันเป็นอะไรที่เกินตัว เหมือนคำบอกว่า ถ้าหวังผิดย่อมจะผิดหวัง แต่ความใฝ่ฝันมันคือเป้าหมายที่เราจะไปได้และไปได้จริง แสวงหาหนทางที่จะไป เพราะฉะนั้น ถ้าเรากังวลกับอนาคตมากเกินไปเหมือนการเพ้อฝันว่าจะได้โน่นได้นี้ ชีวิตอยู่ท่ามกลางความสุข สิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่างในชีวิตต้งพร้อม แต่ถ้าไม่ได้ก็ทำให้เกิดความเครียดว่าทำไมเราทำงานเต็มที่แล้วยังไม่ได้ ระดับของความเครียดขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่เราเอาใจไปผูก หรือปล่อยให้ความเครียดอยู่ในจิตใจของเรา ความเครียดเหมือนกระแสเงิน ถ้าหากว่าอยู่ในหัวเรานานแค่ไหน มันจะสร้างมูลค่าเพิ่มในตัวเอง การแก้ไขปัญหาต้องใช้สติปัญญา ถ้าปล่อยให้กระแสความเครียดอยู่ มันจะสร้างมูลค่าเพิ่ม

 เพราะฉะนั้น ต้องดึงความเครียดออกและอยู่กับปัจจุบัน ไม่ต้องไปนึกถึงอดีตกับอนาคต ต่างประเทศแยกความเครียดไว้ เป็น เครียดดี กับ เครียดไม่ดี 

เครียดดี ที่ทำให้สร้างสรรค์ เช่น เครียดที่ต้องไปสอบ ต้องอ่านหนังสือสอบ เพราะความเครียดบางอย่างก็ทำให้เรามุ่งมั่น

ความเครียดไม่ดี ทำให้เสียสุขภาพ เช่น บั่นทอนจิตใจ เช่น รู้สึกอกหัก เศร้าใจ ผิดหวัง สะเทือนใจ ดูข่าวในสังคมอนไลน์ ดูคนวิพากษ์วิจารณมากไป 

เครียดดี หรือ เครียดไม่ดี  ขึ้นอยู่กับแง่คิด เพราะบางคน เครียดแล้วดี บางคนเครียดแล้วไม่ดี ผลของความเครียดที่สะสมต่อร่างกายทำให้ปวดศรีษะ เรื้อรัง ปวดตา ปวดท้องน้อย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตัว คนที่เครียดมากจะปากแพรก คอแห้ง นํ้าลายเหนียว มีกลิ่นปาก เพราะร่างกายเผาตลอดเวลา พอเผามากๆ กล้ามเนื้อก็โดนเผาไปด้วย ในที่สุดกล้ามเนื้อก็จะแห้งกลายเป็นเส้นเอ็นตึง เส้นยึด ผลกระทบทางจิตใจ มีอาการใจเต้นง่ายมือสั่นง่าย เริ่มหงุดหงิดง่าย ขี้โมโห เป็นคนอารมณ์แปรปรวน นอนไม่หลับ

เทคนิคการแก้ปัญหาความเครียด
1. รู้สาเหตุความเครียด 2. มีจิตเป็นบวก มองปัญหาทุกอย่างมีทางออก 3. มองความเครียดคือการท้าทาย 4. อย่าเอาใจไปผูกกับปัญหา 5. ดูแลสุขภาพกายและใจ

เมื่อไรก็ตามที่มีความเครียดเกิดขึ้นอย่าไปเครียดเพิ่ม ให้อภัยตัวเองว่าเรายังไ่ม่เก่ง อย่าไปคิดว่าทำไมเราต้องมาเครียดเรื่องนี้ เพราะฉะนั้น ถ้าเราจะพิชิตความเครียด เราต้องพิชิตใจตัวเองให้ได้ และในส่วนนี้คือ ส่วนของโลก ส่วนของทางธรรม โดยหลัก ความเครียด มักเกิดเมื่อตอนที่เรา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา แล้วก็ทุกข์ ตกงาน ธุรกิจจะยํ่าแย่บ้าง เป็นต้น รวมทั่งความทุกข์ ซึ่งมาจากเรื่องสุขภาพ ภัยอันตราย ต่างๆ ที่มาคุกคามตัวเรา ก็เกิดความเครียดขึ้น มาด้วยสิ่งเหล่านี้ เราจะเอาชนะความเครียด ก่อนอื่นเราต้องตระหนักก่อนว่า ความเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา มันเป็นธรรมะ ที่มีอยู่คู่โลก ไม่มีใคร หลีกเลี่ยงได้ ลาภยศมันมีขึ้นมีลง เป็นจังหวะของมัน นินทายิ่งชัด ที่ท่านบอกว่า แม้พระองค์ปฎิมายา ยังราคิน เรามนุษย์เดินดิน ไหนจะสิ้น ซึ่งนินทา ไม่มีใครซึ่งรับการชมสิ่งเดียว อย่าว่าแต่เราเลย ยิ่งคนที่อยู่สูงเท่าไหร่ เป็นที่รู้จักของคนมากเท่าไหร่ ก็มี ทั้งคนชอบ คนไม่ชอบ นี้คือ ธรรมดาของโลก ความป่วยไข้ไม่สบาย ภัยอันตรายที่คุกคามในรูปแบบต่างๆ ใครก็มีสิทธิเจอทั้งนั้น เริ่มต้นเราต้องเข้าใจก่อนว่า เป็นของธรรมดาคู่โลก ที่ใครก็เลี่ยงไม่พ้น ขอเข้าใจอย่างนี้จะได้เลิกคิดว่า ทำไมถึงต้องเป็นเรา คิดไปแล้วก็ยิ่งกลุ้ม ยิ่งเครียด คิดแบบเข้าใจว่า มันก็อย่างนี้แหละ ใครเขาก็เจอ เมื่อคิดอย่างนี้จะเริ่มทำใจได้ผ่อนคลาย แต่ไม่ใช่ทำใจได้แล้วปล่อยให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น เมื่อใจโปร่งจะมีอานุภาพ ในการแก้ไขปัญหาต่างๆ จากนั้นให้หาโอกาสสวดมนต์ นั่งสมาธิ เครียดเมื่อไร กลุ้มเมื่อไร เรามีทางออก สวดมนต์ให้ใจสบาย ทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เอาเทปมาเปิด ดูหนังสือ แล้วก็นั่งสมาธิ เมื่อใดใจอยู่นิ่ง จิตเราก็จะคลาย ไม่ว่าจะเครียดมากเครียดน้อย แม้คนทั่วไปในเวลาปกติที่ไม่ได้เจอวิกฤต ก็มีความเครียด จากหน้าที่การงานที่กดดัน ทั้งการ เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ คนเราทุกคนมีความเครียดเล็กๆ ที่อยู่ในใจทุกวัน แล้วพอเจอหนักๆ เข้า มันก็เกิดความเครียดที่หนักขึ้นมา ถ้าเราสวดมนต์ นั่งสมาธิ อย่างสมํ่าเสมอ เอาใจมาอยู่ที่ศูนย์กลางกายเมื่อไร ใจจะมีการคลายตัว เมื่อความเครียดหายไป ความสุขก็เข้ามาแทนที่ ทำให้เราไปปฎิบัติหน้าที่ สามารถใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหาได้อย่างเต็มที่มากขึ้น เพราะใจพอเครียด ก็จะเกร็ง ทำอะไรก็ไม่ได้ผลเท่าที่ควร พอใจโปร่งสบาย จะมีอานุภาพบุญมาล่อเลี้ยงแล้ว สติปัญญาทุกอย่างเกิด ก็สามารถคลี่คลายปัญหาได้อย่างดี ทำให้ความกดดันเราเองลดลงไปใจเราก็ยิ่งโปร่งมากขึ้น บุญก็หล่อเลี้ยงมากขึ้น เราก็ใช้สติปัญญาได้มากขึ้น ทุกอย่างก็ดีขึ้นตามลำดับ 
เพราะฉะนั้น เราชาวพุทธทุกคนถือว่า เรามีบุญมาก โชคดีมากที่เรามียาวิเศษอยู่กับตัว คือ การปฎิบัติธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนเราไว้ ดังนั้น เจอปัญหา เจออุปสรรค อย่าไปนั่งเครียด แต่ให้รู้ว่านี้คือ เรื่องคู่โลกที่ใครก็ต้องเจอ  แล้วก็ใช้วิธีการคลี่คลายด้วยสติด้วยปัญญา ด้วยสมาธิ
มนุษย์เรานี้มีข้อเสียประการหนึ่ง คือ ว่าชอบเก็บทุกอย่าง วัตถุก็เก็บ อารมณ์ก็เก็บ มีอะไรผ่านมาก็เก็บใส่กระเป๋าเสียเรื่อยๆ เอาไปกองไว้เยอะแยะในที่ๆจะกองได้ ถ้ามีทางพอที่จะวางของได้ มันก็ค่อยมากขึ้นมากขึ้น ถ้าเราเก็บไว้ด้วยอารมณ์หวงแหน เก็บไว้ด้วยความโลภ ความตระหนี่ อันนั้นมันก็เป็นกิเลสมากขึ้นในใจ ทำให้เป็นภาระ เป็นกังวลด้วยประการต่างๆ นิสัยของมนุษย์ก็ชอบเก็บอย่างนี้ เพราะฉะนั้น จึงเก็บไปถึงอารณ์ เรียกว่า เป็นสิ่งที่ไม่มีตัวตนอะไร มันเป็นนามธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แต่ว่าเราไม่ให้มันดับไปเอามาเก็บไว้ ทุกคนลองคิดดูว่า ในชีวิตของเรานี้เก็บอะไรไว้บ้าง เรื่องเก่าๆแก่ๆ ตั้งแต่สมัยก่อนๆ สมมุติว่าสมัยเด็กๆ เรายังจำไว้ว่า อะไรเกิดขึ้นในชีวิตเรา ถ้าเพียงนึกแล้วหัวเราะ ตนเองก็ไม่เป็นไรหรอก แต่ว่าบางทีเรานึกแล้วเศร้าใจ น้อยใจ ในโชคชะตาของตนเอง ว่าเรานี้เกิดมาไม่เหมือนเขา เขาสะดวก เขาสบาย เขามั่งมีก้าวหน้า แต่ว่าเรานี้ไปไม่รอด เกิดความน้อยเนื้อตํ่าใจขึ้นมาในตัวเองว่ามีสภาพ เช่นนั้น อันนี้ก็เป็นทุกข์ ทุกข์เพราะอะไร ทุกข์เพราะว่าไปเอาของเก่ามาดู มาดูไม่ได้ดูด้วยปัญญา แต่ดูด้วยความหลงผิด ความเข้าใจผิด จึงได้เกิดทุกข์ ความเดือนร้อนด้วยประการต่างๆ คนบางคนมีอายุมากแล้ว ถ้ายังคิดถึงความหลัง ซึ่งทำให้เศร้าเสียใจ ของเก่าที่ผ่านพ้นไปแล้ว แล้วเอามาคิดให้มันเป็นทุกข์ มันไม่ดีแน่ อย่าคิดอย่างนั้น ถ้าเอาคิดแต่เพียงเพื่อชีวิต เพื่อให้เห็นว่า ชีวิตเรานี้มันผ่านอะไรมามากมาย ดีบ้างชั่วบ้าง สุขบ้างทุกข์บ้าง ได้บ้างเสียบ้าง ขึ้นและลงมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึป่านนี้แล้ว แล้วเราก็จะมองเห็นความจริงอันหนึ่งว่า บรรดาสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้นแล้ว มันก็หายไปแล้ว ไม่มีอะไร เหลืออยู่กับเราอีกต่อไป มันกลายเป็นความหลัง ขอให้มันกลายเป็นความหลังไปเสีย อย่าให้มันเป็นความหวังเลย แต่ถ้าเราปล่อยให้เป็นความหลังผ่านพ้นไปแล้ว ก็แล้วกันไปมันไม่มีเรื่อง แต่ถ้ามีความหลังอยู่แล้วมันก็วุ่นวายสับสนด้วยประการต่างๆ นี้คือ ความยุ่งในชีวิตที่เป็นสันดานก็ว่าได้ เพราะเราเกิดมาก็ต้องมีการสะสมมาเรื่อยๆ เป็นทุกข์มาเรื่อยๆ ทีนี้เรามาศึกษาธรรมะ มารู้ความจริงว่าการเก็บอารมณ์ไว้นั้นไม่ดีเราก็หัดปล่อยวางของเก่า แล้วก็อย่าเอาของใหม่เข้ามาอีก ให้เหมือนกับบทสวดมนต์บทหนึ่ง ว่า 
ภารา หะเว ปัญจักขันธา ขันธ์ทั้งห้า เป็นภาระหนัก
ภาระ หาโร ปุคคะโล บุคคลนั้นแหละเป็นผู้แบกของหนักพาไป
ภารา ทานัง ทุกขัง โลเก การยึดถือของหนักไว้เป็นความทุกข์ในโลก
ภาระนิกเขปะนัง สุขัง การสลัดของหนักลงเสียได้เป็นความสุข
นิกขิปิตวา คะรุง ภารัง พระอริยเจ้าสลัดทิ้งของหนักลงเสียแล้ว
อัญญัง ภารัง อะนาทิยะ ทั้งไม่หยิบฉวยเอาของหนักอันอื่นขึ้นมาอีก
สะมูลัง ตัณหัง อัพพยหะ เป็นผู้ถอนตัญหาขึ้นได้กระทั้งราก
นิจฉาโต ปะรินิพพโต เป็นผู้หมดสิ่งปรารถนาดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ

หมายความว่า จิตมันว่างพอปล่อยว่างอันเก่าแล้ว อย่าไปเอาอันใหม่เข้ามาอีกให้จิตมันว่างจากความอยากในเรื่องนั้น เที่ยงแท้ที่จะดับทุกข์ได้ คือ ถึงพระนิพพาน นี้คือการสอนให้ปล่อยวาง เพราะว่าคนเราไม่ชอบปล่อยวางจึงเป็นทุกข์ ที่นี้หัดปล่อย หัดวางเสียบ้าง เรื่องอะไรที่มันกลุ้มอกกลุ้มใจ เอามาคิดแล้วมันไม่สบายใจ วางๆเสียบ้างอย่างคิดถึงสิ่งนั้น การที่จะไม่คิดถึงสิ่งนั้น ก็ต้องควบคุมจิตใจของเราไว้ เวลามันเกิดความคิดในเรื่องอะไร ซึ่งเป็นเรื่องประวัติศาสตร์ซํ้ารอย คิดแล้วมันกลุ้มทุกที เดือนร้อนทุกที นํ้าตาไหลทุกที ก็พอรู้บ้าง มีประสบการณ์มาเยอะ พอสิ่งนั้น แวบเข้ามาก็ให้รู้ทัน แล้วก็ไล่มันออกไป ด้วยการพูดกับตัวเองว่า เอาอีกแล้ว จะโง่อีกแล้ว โง่ทีไรจะยุ่งทุกที อย่างโง่เลย ปล่อยมันไปเถอะ บอกกับตัวเองอย่างนั้น บอกแบบนี้บ่อยๆ มันค่อยฉลาดขึ้น การปล่อยวางก็จะเกิดขึ้นในใจเรา เพราะเรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่วุ่นวายหนักหนา คอยดูคอยว่าตัวเองไว้ อย่างนี้เขาเรียกว่า กำหนดความคิดของเราเอาไว้ในใจ เราก็จะสามารถเอาชนะสิ่งนั้นได้ ใครเกิดความทุกข์อะไร ขึ้นในใจ ก็ใช้วิธีนี้ ขับไล่มันออกไปแต่ว่าขับมันออกไปแล้ว มันไปแล้ว เราก็ต้องคิดอีกหน่อย คิดว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไร ทำไมมันจึงได้เกิดอย่างนั้น สิ่งนั้นคืออะไร มันมีคุณค่าอะไรหนักหนาที่ทำให้เราต้องคิด ต้องนึกถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ มองให้ดี พิจารณาให้รอบคอบ ให้เห็นว่า สิ่งนั้นเป็น อนิจจัง ทุกข์ขัง อนัตตา ไม่มีอะไรที่เรียกว่า เที่ยงแท้ ไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นสุข สนุกสนานไม่มีอะไรที่เรียกว่า เป็นเนื้อแท้ในตัวมันเอง มันเป็นแต่เพียงอาศัยอะไรหลายอย่าง ปรุงแต่งรวมกันเข้า แล้วแสดงให้เราเห็นเป็นภาพมายา ทั้งภายนอก ทั้งภายใน คล้ายกับว่าเวลาแดดร้อนจัด ตาลายไป มองเห็นเป็นภาพอะไรๆ พอเข้าใกล้มันหายไป หรือว่า ภาพมายา ประเภทต่างๆ ที่เราเห็นแล้วมันก็หายไป เราก็เอามาบอกตัวเองว่า นี้มันเป็นเรื่องมายาทั้งนั้น ไม่มีอะไรที่เที่ยงแท้แน่นอน ทำไมไปคิดให้มันวุ่นวายใจ บอกตัวเองอย่างนั้น สิ่งนั้นมันก็ค่อยๆ หายไปจากจิตใจเรา จะอยู่อย่างมีความสุข สดชื่นในชีวิตประจำวัน การอยู่อย่างสดชื่นนั้นแหละ คือการที่เราได้สิ่งที่มีคุณค่าสำหรับชีวิตแต่การอยู่อย่างชนิดกลุ้มใจ มันไม่มีประโยชน์อะไร มันเป็นเรื่องให้เกิดความวุ่นวายเปล่าๆ ธรรมะโดย พระพรหมมังคลาจารย์ ปัญญานันทภิกขุ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ จังหวัดนนทบุรี ความสุขแท้จริง อยู่ที่สิ่งภายในไม่ใช่ สิ่งภายนอก เป็นคนคิดลบที่สิ่งภายนอกมีครบครัน ไม่นานเมื่อความจริงปรากฎ เมื่อนั้นก็เตรียมตัวรับความทุกข์ได้เลย เป็นคนคิดบวกที่แม้สิ่งภายนอกมีอย่างขัดสน แต่เมื่อเจอความทุกข์โหมกระหนํ่า ก็สามารถผ่านพ้นมาด้วยความสุข ความสุขแท้จริงอยู่ที่สิ่งภายในที่เรียนรู้สิ่งจำเป็น ที่ยังไม่จำเป็นศึกษาสิ่งที่ควรรู้มากกว่าสิ่งไม่ควรรู้ ไม่ใช่เอาแต่วิ่งหาสิ่งภายนอก เพื่อจะได้มีความสุขความต้องการ ได้มาแล้วต่อไปก็ต้องหาใหม่ความสุขจากสิ่งภายนอกนั้นอาจใช่ แต่ไม่ได้หมายถึง ความสุขที่มันแท้จริง ความสุขแท้ต้องเกิดจากสิ่งภายในของตัวเอง สร้างความเข้าใจในการหาความสุขขึ้นมาเอง สร้างการฝึกฝนขึ้นมาเอง ลงมือทำด้วยตัวเอง สร้างการรับรู้จากภายในด้วยตัวเอง นั้นแหละคือคุณสมบัติของการสร้างความสุขด้วยตัวเราเอง


ธรรมะที่คล้ายกัน

มีปัญหาอย่าถอยหนี
เสียงธรรมเทศนา "หลวงพ่อไพศาล วิสาโล"หัวข้อธรรมเรื่อง มีปัญหาอย่าถอยหนีเทศน์โปรดญาติโยม ณ วัดป่าสุคะโต อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ     วันนี้ได้อ่านหนังสือพิมพ์ได้เจอข่าวอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากกรรมต่างวาระกัน เช่น รถชน รถควํ่า อย่างที่ได้ยินในช่วงปีใหม่ ถ้าเราพิจารณาข่าวเหล่านี้ ...
ธรรมะสอนใจ
ธรรมะสอนใจ  ธรรมะเช้านี้ 4 ข้อ อย่าได้แชร์จนชั่ว อย่ารัวไลค์จนบ้า  อย่าคอมเม้นด่าจนชิน เพราะ พ.ร.บ. หมิ่นประเทศนี้มีอยู่จริง เช้านี้ได้กล่าว 4 เรื่อง เมื่อเราท่านทั้งหลาย วันนี้เมื่ออยู่กับโลกโซเซียลมีเดียซึ่งมันเป็นโลกจำลองของจริง แต่ก็มีอิทธิพลต่อความคิดของคนและสุขทุกข์เมื่อได้เข้าไปเกี่ยวข้องกับมัน ...
อานิสงส์การฟังธรรมะก่อนนอน ความสุขที่แท้จริง
อานิสงส์การฟังธรรมะก่อนนอน ความสุขที่แท้จริง  การฟังธรรมนั้นเป็นสิ่งที่ดี  ผู้ที่ได้ฟังธรรมเป็นประจำ ย่อมมีโอกาสได้รับธรรมะจากคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มากก็น้อย การฟังธรรมะก่อนนอนนั้นได้บุญได้อานิสงส์ และเป็นการเตรียมตัวเพื่อปล่อยวางจากความทุกข์และความเหนื่อยล้าต่างๆ เมื่อจิตใจได้สงบลงจากอานิสงส์ของการฟังธรรมะ เราก็จะตื่นเช้าขึ้นมาด้วยความแจ่มใส สดชื่น เบิกบาน และเตรียมพร้อมในการดำเนินชีวิตประจำวันต่อไป  การเปิดธรรมะฟังเบาๆก่อนนอนจนเผลอหลับไป อย่างน้อยในช่วงแรกของการฟัง เราจะยังได้รับฟังธรรมะและได้เรียนรู้คำสอนอยู่บ้างเป็นการขัดเกลาจิตใจตัวเองก่อนเข้านอน เสียงสวดมนต์หรือเสียงการบรรยายธรรมนั้น เป็นทำนองที่ราบเรียบ ...

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *