ละคร พระสุธน-มโนห์รา 2563 (EP.1-52 ตอนจบ) HD END

พระสุธน-มโนห์รา เป็น ภาคต่อของพระรถ เมรี จาก นิทานพื้นบ้าน “นางสิบสอง” คือ รถเสนเกิดเป็นพระสุธน ส่วนเมรีเกิดเป็นมโนห์รา เนื่องจากตอนที่นางเมรีตรอมใจตายเพราะรักที่มีให้แก่รถเสนก็อธิษฐานว่า “ถ้าชาตินี้น้องตามพี่ไม่ได้ งั้นชาติหน้าขอให้พี่ตามน้องแทน”

ละคร พระสุธน-มโนห์รา 2563

เพลง พระสุธน มโนห์รา 2563 OST.พระสุธน มโนราห์ 2563 [Official Audio and Lyrics Ver.1]

มโนห์รา เป็นธิดาองค์เล็กของท้าวทุมราชผู้เป็นพระยากินนร รูปร่างหน้าตาของพวกเขาเหมือนมนุษย์แต่มีปีกและหางที่ถอดออกได้ นางมโนห์ราและพี่น้องทั้งหกได้ไปเล่นน้ำที่สระน้ำอโนดาต เจอพรานบุญที่ต้องการจับตัวนางกินรี พรานบุญได้จับนางมโนห์ราไปถวายแค่พระสุธน พระสุธนเห็นเข้าก็เกิดหลงรักนางและพานางกลับเมือง และได้อภิเษกกัน ต่อมาปุโรหิตคนหนึ่งได้เกิดจิตอาฆาตแค้นแก่พระสุธนเพราะว่าพระสุธนไม่ให้ตำแหน่งแก่บุตรของตน เมื่อถึงคราวเกิดสงคราม พระสุธนออกไปรบ พระบิดาได้ทรงพระสุบิน ปุโรหิตได้ทำนายว่าจะเกิดภับพิบัติครั้งใหญ่ ให้นำนางมโนห์ราไปบูชายัญ ซึ่งท้าวอาทิตยวงศ์ได้ยินยอมตามนั้น นางมโนห์รารู้เข้าก็เกิดตกใจ จึงออกอุบาย ของปีกกับหางขอนางคืน เพื่อร่ายรำหน้ากองไฟก่อนจะตาย เมื่อนางได้ปีกกับหางแล้ว นางก็ร่ายรำได้สักพักก็บินหนีกลับเมืองไป ก่อนถึงเมืองได้เจอฤาษีก็ได้กล่าวกับฤาษีว่า หากพระสุธนตามมาให้บอกว่าไม่ต้องตามนางไป เพราะมีภยันอันตรายมากมาย และได้ฝากภูษาและธำมรงค์ให้พระสุธน ฝ่ายพระสุธนที่กลับจากสงครามได้ลงโทษปุโรหิต และติดตามหานางมโนห์รา เมื่อเจอพระฤาษี พระสุธนจะติดตามนางมโนห์ราต่อไป โดยมีพระฤาษีค่อยช่วยเหลือ เป็นเวรกรรมแต่ชาติที่แล้ว เพราะอย่างนี้จึงทําให้ทั้งสองเกิดมาคู่กันอีก

นักแสดงนำ : พลพจน์ พูลนิล, กมลวรรณ ศตรัตพะยูน, ,เพชฎี ศรีฤกษ์, กุสุมา ตันเจริญ, พศิณ กรรณสูต, ด.ช.ภัฑระกร ตัณเดชพฤติญาณ, ด.ญ.ชาลิสา คูคีรีเขตต์, โอภาภูมิ ชิตาพัณณ์, อรศศิพัชร์ มามีเกตุรัตน์, ฑรัญภัค เศรษฐีธร, ฉัตรมงคล บำเพ็ญ, พินิจ วิบูลรังสรรค์
ผลิตโดย : บริษัท สามเศียร จำกัด , บริษัท ดีด้า วิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด
บทประพันธ์ดัดแปลงโดย : บุราณ
บทละครโทรทัศน์ : สุวิชา
กำกับการแสดง : ภิภัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์
ขับเสภา : ประพาศ ศกุนตนาค, จันจิรา ละม้ายเมือง
ลิขสิทธิ์: บริษัทสามเศียร จำกัด

ตำนาน พระสุธน-มโนราห์
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีราชอาณาจักรที่อุดมสมบูรณ์แห่งหนึ่งชื่อว่า “ปัญจาลนคร” ปกครองโดยกษัตริย์ผู้ทรงอยู่ในทศพิธราชธรรมทรงพระนามว่า “อาทิตยวงศ์” พระองค์มีพระมเหสีทรงพระนามว่า “จันทาเทวี”
……..ซึ่งต่อมาได้ประสูติพระโอรสพระนามว่า “พระสุธน” เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นก็มีความเฉลียวฉลาดและพระรูปโฉมงดงามยากที่จะหาราชกุมารในแว่นแคว้นอื่นเทียบเคียงได้
……..ครั้งนั้นมีพญานาคราชตนหนึ่งมีนามว่า “ท้าวชมพูจิต” มีฤทธิ์อำนาจมาก สามารถนำความเจริญรุ่งเรืองมาสู่อาณาจักรใดก็ได้
……..พญานาคราชเห็นพระเจ้าอาทิตย์วงศ์เป็นพระราชาที่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม จึงบันดาลให้เมืองปัญจาลนครอุดมสมบรณ์มีฝนตกต้องตามฤดูกาล
……..หากแต่เมืองที่มีอาณาเขตติดต่อกับปัญจาลนครคือ เมือง “นครมหาปัญจาละ” ซึ่งปกครองโดยพระราชาที่ไม่ตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรมพระนามว่า “พระเจ้านันทราช”
……..และจากการที่ทรงปกครองด้วยการกดขี่ข่มเหงอาณาประชาราษฏร์นี้เองจึงทำให้อาณาจักรของพระองค์ ประสบกับความแห้งแล้งข้าวยากหมากแพง เพื่อหนีจากความยากเย็นแสนเข็ญนี้บรรดาประชาราษฏร์จึงพากันอพยพไปอาศัยอยู่ในเมืองปัญจาลนคร
……..พระเจ้านันทราชมีจิตริษยาพระเจ้าอาทิตยวงศ์ และในขณะเดียวกันก็แค้นเคืองท้าวชมพูจิต ผู้ซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีใจลำเอียง ในขณะบันดาลให้ฝนฟ้าตกบนพื้นโลก
……..เพื่อล้างแค้นท้าวชมพูจิต พระเจ้านันทราช จึงทรงปรึกษากับปุโรหิตผู้ซึ่งรับอาสาไปหาผู้ที่สามารถฆ่าพญานาคได้
……..และแล้วก็ได้พราหมณ์เฒ่าผู้ซึ่งมีมนต์วิเศษสูงกว่าพญานาคราช หลังจากได้รับทราบพระประสงค์ของพระราชาแล้ว พราหมณ์ก็มุ่งหน้าไปยังสระใหญ่ ซึ่งเป็นที่อยู่ของพญานาคราชแล้วเป่ามนต์ลงในสระใหญ่
……..ยังผลให้น้ำปั่นป่วน และเกิดเป็นคลื่นลูกใหญ่สั่นสะเทือนไปทั่วทั้งสระ ในขณะประกอบพิธีอยู่นั้น พราหมณ์ต้องเข้าไปในป่า เพื่อหารากไม้มาทำเป็นเชือกไว้จับพญานาคราช
……..ด้วยอำนาจแห่งมนต์วิเศษของพราหมณ์ ท้าวชมพูจิตเกิดความรุ่มร้อนเหมือนถูกไฟเผา จึงต้องขึ้นจากสระมา แล้วแปลงกายเป็นพราหมณ์หนุ่ม
……..เพราะรู้ตัวว่าอันตรายได้เข้ามาใกล้ตนแล้ว แม้ตัวเองจะมีฤทธิ์เดชแต่ก็หาต้านทานพราหมณ์เฒ่าได้ไม่ ดังนั้นจึงคิดหาทางทำลายพิธีของพราหมณ์ผู้มีจิตคิดกำจัดตน
……..ในขณะเดินไปมาอยู่ในป่า ท้าวชมพูจิตในร่างของพราหมณ์หนุ่ม ก็พบกับพรานป่าผู้หนึ่ง ชื่อพรานบุญ กำลังออกป่าล่าสัตว์อยู่พอดี
……..จึงเข้าไปทักทายและถามถึงบ้านเมืองของพรานผู้นั้น พรานป่าบอกว่าเขาเป็นชาวเมืองปัญจาลนคร ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มากเพราะได้รับความอนุเคราะห์จากพญานาคราช
……..หากมีใครคิดจะทำอันตรายแก่พญานาคราช พรานป่าสาบานว่าเขาจะฆ่าบุคคลผู้นั้นเสียโดยไม่รีรอ
……..ท้าวชมพูจิตดีใจมากที่ได้ยินเช่นนั้น จึงแสดงตนเป็นพญานาคราชตนนั้น และเล่าเรื่องภัยอันใหญ่หลวงให้พรานฟัง เพื่อทำลายพิธีของพราหมณ์เฒ่าเสีย พรานบุญจึงยิงพราหมณ์เฒ่าตายด้วยลูกธนู
……..พญานาคราชดีใจมากและขอบคุณพรานบุญที่ได้ช่วยเหลือเขาไว้ แล้วก็ชวนพรานบุญไปเที่ยวชมนครใต้พิภพของเขา
……..พญานาคราชสัญญาว่าจะช่วยเหลือเมื่อใดก็ตามที่พรานบุญ ร้องขอแล้วก็มอบสิ่งมีค่าให้พรานบุญไปมากมาย พรานบุญจึงอำลาพญานาคราชและใช้ชีวิตอยู่อย่างสบายแต่ก็ยังชอบล่าสัตว์อยู่เหมือนเดิม

……..วันหนึ่งในขณะที่เดินทางเข้าไปป่าลึก ได้พบกับพระฤาษีตนหนึ่งชื่อ “กัสสปะ” ผู้ซึ่งเล่าเรื่องกินรีให้เขาฟัง
……..โดยปกติหมู่กินรีจากเขาไกรลาศ จะบินมาลงเล่นน้ำในสระโบกขรณีทุกๆ ๗ วัน เมื่อพรานบุญเห็นความงามของกินรี ก็คิดจะจับนางกินรีสักนางหนึ่งไปถวายพระสุธน เพื่อเป็นของขวัญจากป่า
……..แต่พระฤาษีก็บอกเขาว่าไม่มีหนทางจะจับนางได้นอกจากจะได้บ่วงบาศก์ของพญานาคราชท้าวชมพูจิตเท่านั้น
……..เพราะนางกินรีสามารถบินได้เร็ว พรานบุญจึงเดินทางไปพบท้าวชมพูจิตเพื่อขอยืมบ่วงบาศก์
……..ความจริงแล้วพญานาคราช ไม่ต้องการให้พรานบุญขอยืมบ่วงบาศก์เพราะจะเป็นบาปแก่ตน
……..แต่เพราะพรานบุญเคยช่วยชีวิตตนไว้ให้พ้นภัยจากพราหมณ์เฒ่า และได้ทราบจากการใช้มนต์วิเศษของตน ตรวจสอบดูก็พบว่านางกินรีที่ชื่อว่ามโนห์รา และพระสุธนเป็นเนื้อคู่กัน พญานาคราชจึงยอมมอบให้ไป
……..หลังจากได้บ่วงบาศก์จากท้าวชมพูจิตมาแล้ว พรานบุญก็สามารถจับมโนราห์ซึ่งเป็นธิดาองค์หนึ่งในบรรดาธิดาทั้ง ๗ คน ของท้าวปทุมราชได้ (ท้าวปทุมราชเป็นพระราชาปกครองเขาไกรลาศ)
……..นางมโนหราห์ซึ่งเป็นน้องสุดท้องไม่สามารถหนีบ่วงบาศก์ ที่พรานบุญเหวี่ยงมาคล้องได้ พรานบุญนำนางไปยังปัญจาลนครและถวายพระสุธน
……..ทันทีที่ทั้งคู่พบกันก็มีจิตรักใคร่ด้วยเคยเป็นคู่บุญบารมี (บุพเพสันนิวาส) กันมาแต่ปางก่อน ทั้งพระราชาและพระราชินีเองก็มีความรักเอ็นดูนางมโนราห์
……..เพราะนางมีพระสิริโฉมงดงาม และมีการอบรมอย่างขัตติยะนารี จึงจัดพิธีอภิเษกสมรสอย่างเอิกเกริกให้ทั้งสองพระองค์ ส่วนพรานบุญเองก็ได้รับรางวัลอย่างงามเช่นกัน

……..ฝ่ายปุโรหิตโกรธนางมโนห์รา เพราะเขาเองต้องการให้บุตรสาวของตนอภิเษกสมรสกับพระสุธน แต่ว่าตอนนี้มโนราห์ได้ทำให้ความฝันของเขาสลายเสียแล้ว จึงคอยโอกาสที่จะได้แก้แค้นนาง
……..และแล้วก็แอบไปคบคิดวางแผนกับเจ้าเมืองปัจจันตนคร ให้ยกทัพมาตีเมืองของตน และเพื่อขับไล่ผู้รุกราน
……..ปุโรหิตจึงทูลเสนอให้พระสุธน ยกกองทัพออกปกป้องพระนคร ด้วยวิธีนี้เขาก็จะได้มีโอกาสดีกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทาง
……..คืนวันหนึ่งพระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสุบินว่ามียักษ์ตนหนึ่ง เข้ามาในพระราชวังและพยายามจะควักเอาดวงพระทัยของพระองค์ พระองค์ก็ทรงสะดุ้งตื่นจากบรรทม
……..ปุโรหิตเจ้าเล่ห์จึงได้โอกาสงามที่จะกำจัดมโนราห์ออกไปเสียให้พ้นทางของบุตรสาวตนเอง เขาจึงทำนายว่าข้าศึกจะเข้ามาในพระราชวังและประหารพระองค์เสีย ประชาชนจะพากันเดือดร้อนทุกหย่อมหญ้าและเมืองหลวงก็จะถูกเผาผลาญจนหมดสิ้น
……..พระเจ้าอาทิตยวงศ์ทรงสดับดังนั้นก็ตกพระทัย จึงทรงรับสั่งให้หาทางแก้ไขโดยด่วน ปุโรหิตจึงกราบทูลว่า “ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทดวงชะตาบ้านเมืองไม่ดีจะต้องใช้สัตว์สองเท้าและสี่เท้ามาทำพิธีสังเวยบูชายัญ เพื่อ สะเดาะเคราะห์ บ้านเมืองจึงจะอยู่รอดปลอดภัยพระเจ้าข้า”

……..ในขณะเดียวกันนั้นเอง คนสนิทของปุโรหิตก็เข้ามากราบทูล ลวงพระราชาว่าทัพหลวงที่พระสุธนยกไปถูกข้าศึกตีพ่ายแพ้แล้ว
…….. เพื่อเป็นการปัดเป่าลางร้ายปุโรหิตจึงกราบทูลว่า ถ้าจะให้พิธีมีความศักดิ์สิทธิ์มากยิ่งขึ้น จำเป็นต้องใช้สัตว์กึ่งมนุษย์กึ่งนก เช่นนางมโนราห์ ก็จะเป็นการบูชายัญที่ดีเยี่ยม
……..พระราชาและพระราชินีพยายามชักชวนให้ปุโรหิตเปลี่ยนไปใช้สัตว์อื่นแทนที่จะใช้มโนราห์ แต่เขาก็ยังยืนกรานเช่นเดิม
……..ทั้งสองพระองค์รู้สึกสงสารมโนราห์เป็นอย่างยิ่ง และทรงคาดเดาไม่ถูกว่าพระโอรสจะรู้สึกเช่นไร เมื่อกลับจากทัพแล้วไม่พบภรรยาสุดที่รักของตน
……..ในพิธีพระราชาทรงให้ก่อไฟตามที่ปุโรหิตเสนอ แล้วให้ทหารไปทูลเชิญนางมโนราห์มาเข้าพิธีบูชายัญ นางมโนราห์ผู้น่าสงสารได้แต่ร่ำไห้คร่ำครวญถึงพระบิดาพระมารดาของนาง และพระสุธนสามีของนาง บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
……..ในขณะนั้นเองนางมโนราห์ได้สติและเกิดความคิดที่จะหนี จากการถูกกระทำอย่างไม่ยุติธรรมนี้
……..ดังนั้นนางจึงทูลขอพระราชาขอให้ได้รำถวายเป็นครั้งสุดท้าย เพราะนางเป็นกินรีผู้ซึ่งรักการร่ายรำ หลังจากที่พระราชาทรงอนุญาตแล้ว นางจึงขอปีกและหางมาสวมใส่แล้วนางก็ออกร่ายรำด้วยท่วงท่าอันงดงามท่ามกลาง ฝูงชนอันเนืองแน่น
……..ในขณะที่ทุกคนกำลังเพลิดเพลินอยู่กับการเฝ้าดูการร่ายรำอันงดงามอยู่นั้นเอง นางมโนห์ราก็ได้โอกาสหนีโดยถลาบินขึ้นสู่ท้องฟ้าและบ่ายหน้าไปยังภูเขาไกรลาศ ท่ามกลางความตกตะลึงของฝูงชนนั้นเอง

……..หลังจากชนะศึกแล้วพระสุธนก็ยกทัพกลับพระนคร อนิจจา! แต่ก็ต้องมาพบว่าภรรยาสุดที่รักของพระองค์ ไม่ได้อยู่ในพระนครอีกต่อไปแล้ว พระองค์มีความเศร้าโศก และทุกข์ทรมานมากยิ่งนัก
……..และหลังจากพระองค์สืบทราบความจริงแล้ว ก็สั่งให้ประหารชีวิตปุโรหิตชั่วนั้นเสียในข้อหาทรยศ แล้วก็ทูลลาพระบิดาและพระมารดาออกตามหานางมโนราห์
……..แม้ว่าทั้งสองพระองค์ จะพยายามทัดทานประการใดก็ไม่เป็นผล พระสุธนยืนกรานที่จะเสด็จไป เพราะตนไม่อาจจะมีชีวิตอยู่่โดยปราศจากนางมโนราห์ได้
……..พระสุธนให้พรานบุญนำทางไปจนถึงสระโบกขรณี และได้เข้าไปนมัสการพระฤาษีกัสปะ
……..พระฤาษีทูลให้พระองค์ทราบว่า นางมโนราห์ได้แวะมาหาตนก่อนและได้สั่งไว้ว่า หากพระองค์เดินทางออกตามหานางก็ให้ล้มเลิกเสีย เพราะว่าหนทางลำบากมากและอันตรายมาก
……..แต่พระสุธนก็ยืนกรานที่จะตามเมียรักไป แล้วพระฤาษีก็มอบผ้ากัมพลกับแหวนที่มโนราห์ฝากคืนให้พระสุธนไป ตามที่นางมโนราห์ขอร้องไว้
……..เมื่อได้เห็นของสองสิ่งนั้นพระสุธนก็โศกเศร้าเสียพระทัย ถึงกับร่ำไห้ออกมา พระฤาษีรู้สึกสงสารพระสุธนและก็บอกพระองค์ว่า
……..นี้เป็นผลบุญกรรมแห่งอดีตชาติ (พระรถเสนกับพระนางเมรี) จึงทำให้ทั้งคู่ต้องพลัดพรากจากกัน แล้วก็มอบผลยาวิเศษให้พร้อมกับชี้ทางให้กับพระสุธนไปตามหามโนราห์

……..พระสุธนออกเดินทางเพียงลำพัง โดยไม่ต้องการความช่วยเหลือของพรานบุญ ผ่านป่าใหญ่ทึบซึ่งมนุษย์ไม่สามารถจะผ่านไปได้ ซึ่งมีผลไม้มากมาย ซึ่งล้วนแล้วแต่มีพิษ
……..ด้วยความช่วยเหลือของลูกลิง พระสุธนก็จะเสวยผลไม้ที่ลูกลิงกินได้เท่านั้นจึงปลอดภัย เมื่อมาถึงป่าหวายซึ่งไม่สามารถจะผ่านไปได้เพราะล้วนแต่มีหนามพิษ
……..พระสุธนจึงใช้ผ้ากัมพลห่มแล้วนอนนิ่งๆ ขณะนั้นนกหัสดีลิงค์เข้าใจว่าพระสุธนเป็นอาหาร จึงคาบพระองค์ไปไว้ในรังบนยอดไม้ก่อนที่จะบ่ายหน้าไปหาอาหารเพิ่มอีก
……..พระสุธนได้โอกาสหนี แต่ก็หวั่นพระทัยว่าจะมีอะไรรออยู่เบื้องหน้าอีก หลังจากเดินทางมาพักหนึ่ง ก็ไม่สามารถจะไปต่อได้อีกเพราะมีภูเขายนต์สองลูกเคลื่อนเข้ากระทบกันอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เปิดช่องว่างให้พระองค์ข้ามไปอีกทางหนึ่งได้
……..แต่หลังจากร่ายมนต์ที่พระฤาษีให้พระองค์มา แล้วก็สามารถข้ามไปได้โดยง่าย
……..จากนั้นพระองค์ก็เดินทางมาถึงอีกป่าหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยพืชและสัตว์มีพิษ พระองค์จึงใช้ยาผงวิเศษชโลมกาย เมื่อผ่านป่าพิษแล้วก็มาพบที่อยู่ของนกยักษ์ พระองค์จึงได้แอบอยู่ในโพรงไม้ใหญ่ต้นหนึ่งและรอเวลาค่ำ
……..คืนนั้นนกผัวเมียคู่หนึ่งคุยกันถึงเรื่องการได้รับเชิญให้ไปร่วมพิธีล้างกลิ่นสาบมนุษย์ให้กับนางมโนราห์ ซึ่งจะมีขึ้นในวันรุ่งขึ้น
……..โดยพิธีนี้จัดให้มีขึ้นหลังจากมโนราห์กลับมาถึงบ้านเมืองครบ ๗ ปี ๗ เดือน ๗ วัน
……..หลังจากได้ยินนกทั้งคู่สนทนากัน พระสุธนก็ได้ปีนขึ้นไปในรังนกและซ่อนตัวอยู่ในขนนกตัวหนึ่ง โดยรอเวลาให้นกไปยังภูเขาไกรลาศ
……..ครั้นนกมาถึงสวนอุทยานก็เกาะบนต้นไม้ พระสุธนจึงเร้นกายออกจากขนนกแล้วซ่อนตัวอยู่ในพุ่มไม้ พระองค์เห็นเหล่านางกินรีกำลังนำน้ำจากสระอโนดาต เพื่อไปสรงสนานให้กับนางมโนราห์
……..จึงแอบเอาแหวนใส่ลงในหม้อน้ำ ในขณะสรงน้ำนางมโนราห์ได้เห็นแหวนก็จำได้ นางก็รู้ทันทีว่าพระสุธนสามีของนาง ได้ติดตามมาถึงเขาไกรลาศนี้แล้ว นางมีความยินดียิ่งนัก จึงได้ออกตามหาพระองค์
……..ในที่สุดทั้งคู่ก็ได้พบกัน มโนราห์ได้พาพระสุธนเข้ามายังปราสาทของนาง ท้าวปทุมราชและพระมเหสีทรงทราบข่าวและทรงเห็นใจ ที่พระสุธนที่มีความรักนางมโนราห์อย่างมาก
……..มิฉะนั้นก็คงจะไม่ดั้นด้นเดินทางมาไกลท่ามกลางอันตรายนานับประการ พระองค์คิดว่า เจ้าชายหนุ่มผู้นี้จะต้องมีความเป็นอัจฉริยะและมีความสามารถ เป็นพิเศษแน่ๆ แต่ถึงกระนั้นพระองค์ก็ต้องทดสอบความรักที่พระสุธนที่มีต่อธิดาของพระองค์ก่อน

……..ครั้นถึงวันทดสอบ ท้าวปทุมราชรับสั่งให้นางกินรีพี่น้องทั้ง ๗ ซึ่งมีรูปร่างสิริโฉมงดงามและคล้ายคลึงกันมากออกร่ายรำ ให้พระสุธนหาตัวนางมโนราห์
……..พระสุธนเองรู้สึกหนักใจมาก เพราะทั้งหมดดูคล้ายคลึงกันมาก เพื่อให้ความรักของพระองค์สมหวัง
……..พระอินทร์จึงลงมาช่วยโดยการกระซิบบอกว่า ถ้านางใดมีแมลงวันทองบินมาจับที่ใบหน้า นางนั้นคือพระชายาของพระองค์
……..พระสุธนยินดียิ่งนักและมองเห็นแมลงวันสีทองเกาะอยู่บนหน้าของมโนราห์ จึงรีบดึงพระกรของนางมาทันที
……..พระราชาและทุกๆ คนต่างก็มีความยินดียิ่งนัก ที่ได้เห็นทั้งคู่สวมกอดกัน พิธีอภิเษกสมรสอย่างยิ่งใหญ่จึงจัดให้ทั้งสองพระองค์อีกครั้งหนึ่ง
……..อย่างไรก็ตามที่มาบางแห่งก็กล่าวว่า พระสุธนจำนางมโนราห์ได้ ก็เพราะพระองค์เห็นแหวนในนิ้วมือของนาง และไม่ได้กล่าวถึงพระอินทร์มาช่วยแต่อย่างใดเลย
……..แต่จะอย่างไรก็ตามทั้งสองพระองค์ก็ได้อยู่ร่วมกันอีกครั้งหนึ่งหลังจากที่ต้องพลัดพรากจากกันไปนาน
หลังจากพิธีอภิเษกสมรสแล้ว พระสุธนก็ทูลขอพระราชานุญาตจากท้าวปทุมราช ให้พระองค์และนางมโนราห์กลับไปเยี่ยมบ้านเมืองและบิดามารดาของพระองค์บ้าง
……..ท้าวปทุมราชทรงอนุญาตและร่วมเสด็จไปยังเมืองปัญจาลนครด้วย ท้าวปทุมราชได้พบกับพระบิดาของพระสุธน
……..โดยกษัตริย์ทั้งสองทรงแลกเปลี่ยนของขวัญและร่วมเป็นพระสหายกันตั้งแต่บัดนั้น
……..หลังจากประทับอยู่ในพระราชวัง ๗ วันแล้ว ท้าวปทุมราชได้ลาธิดาของพระองค์และทุก ๆ คน แล้วก็เดินทางกลับพระนครของพระองค์
……..ภายหลังพระสุธนได้ขึ้นครองราชย์สมบัติแทนพระบิดา โดยพระองค์ได้ปกครองบ้านเมืองด้วยทศพิธราชธรรมและใช้ชีวิตร่วมกับนางมโนราห์อย่างมีความสุข จนกระทั่งวาระสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์

สันนิษฐานกันว่า :
……..๑. เมืองปัญจาลนคร อยู่ภาคใต้ของประเทศไทยแถวๆจังหวัดชุมพร
ส่วนเมืองนครมหาปัญจาละก็เช่นกัน คือ อยู่แถวๆจังหวัดนครศรีธรรมราช
……..๒. เขาไกรลาศ และป่าหิมพานต์ที่อยู่ของกินนรและกินรี ก็คือ ภูเขาหิมาลัย
……..๓. พระสุธนนั้นในอดีตชาติก็คือเจ้าชายรถเสน ส่วนนางมโนราห์ก็คือพระนางเมรีในอดีตชาตินั้นเอง(ศึกษาเพิ่มเติมจากเรื่อง พระรถเมรี หรือ นางสิบสอง)