บทเรียนที่ตลาดหุ้นสอนเราแบบเจ็บแต่จำ

บทเรียนที่ตลาดหุ้นสอนเราแบบเจ็บแต่จำ
บทเรียนที่ตลาดหุ้นสอนเราแบบเจ็บแต่จำ

ตลาดหุ้นเปรียบเสมือนห้องเรียนที่ค่าเทอมแพงที่สุดในโลกจริงๆ เพราะบทเรียนสำคัญส่วนใหญ่มักมาพร้อมกับการสูญเสียเงินจำนวนมาก หรือที่เรียกกันว่า “จ่ายค่าครู” ซึ่งบทเรียนที่สร้างความเจ็บปวดและฝังใจลึกที่สุดคือการปล่อยให้อารมณ์ครอบงำเหตุผล โดยเฉพาะอาการที่เรียกว่า FOMO หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส

เมื่อเห็นหุ้นตัวใดตัวหนึ่งพุ่งขึ้นแรงๆ กราฟเขียวสดใส และคนรอบข้างตื่นเต้นโพสต์ว่ากำไรเท่าไหร่เท่าไหร่ ความโลภก็จะเริ่มเข้ามาบังตา ทำให้รีบกระโดดเข้าไปซื้อหุ้นนั้นทันทีที่ราคาอยู่สูงสุด หรือเรียกติดปากว่า “ซื้อบนดอย” โดยไม่ได้คิดถึงแผนการรองรับอะไรเลย

พอซื้อเข้าไปไม่นาน ราคาก็หักหัวลงอย่างรวดเร็ว กลายเป็นต้องนั่งกอดหุ้นติดลบยาวๆ จนต้องปิดพอร์ตด้วยความทุกข์ทรมาน บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่าการวิ่งตามกระแสราคาโดยไม่มีการวิเคราะห์หรือแผนสำรองคือทางสั้นที่สุดที่จะนำไปสู่ความล้มเหลว เพราะตลาดหุ้นมักจะมีช่วงที่ราคาขึ้นแรงเพื่อดึงดูดนักลงทุนรายย่อยเข้ามา แล้วก็ปรับฐานลงเพื่อให้คนที่ซื้อช้าเสียหายหนัก

อีกบทเรียนที่สร้างแผลเป็นลึกไม่แพ้กันคือการไม่ยอมตัดขาดทุน หรือที่เรียกว่า “ไม่ยอมคัทลอส”

เมื่อหุ้นที่ซื้อผิดทางเริ่มตก หลายคนมักมีความหวังลมๆ แล้งๆ ว่ามันจะกลับขึ้นมา เดี๋ยวก็เด้งเหมือนเคย จนจากที่ขาดทุนแค่ไม่กี่เปอร์เซ็นต์ กลายเป็นติดลบหนักจนพอร์ตพังยับเยิน การยึดติดกับหุ้นที่ไม่ดีเพียงเพราะทำใจยอมรับความผิดพลาดไม่ได้คือการให้อีโก้มาควบคุมเงินทุน ซึ่งในตลาดหุ้นนั้นอีโก้ไม่มีค่าเท่ากับเงินต้นเลย การยอมรับความพ่ายแพ้ในศึกเล็กๆ เพื่อรักษาเงินต้นไว้สู้ในศึกใหญ่คือกุญแจสำคัญที่ช่วยให้นักลงทุนอยู่รอดได้ยาวนาน

นอกจากนี้ยังมีเรื่องการเชื่อข่าวลือหรือเชื่อกูรูแบบไม่ทำการบ้านด้วยตัวเอง

ซึ่งเป็นกับดักที่พบได้บ่อยในตลาดหุ้นไทยและตลาดทั่วโลก ชื่อหุ้นเด็ดที่แชร์กันในกลุ่มไลน์ ข่าววงในที่บอกว่าดีมาก หรือคำแนะนำจากคนที่อ้างว่ามีข้อมูลพิเศษ กลับกลายเป็นหุ้นที่เจ้ามือวางไว้เพื่อระบายหุ้นให้รายย่อย โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดร้อนแรง การโดนหลอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะสอนให้รู้ว่าในตลาดนี้ไม่มีใครหวังดีกับเงินในกระเป๋าของนักลงทุนเท่ากับตัวนักลงทุนเอง การวิเคราะห์พื้นฐานบริษัท เช่น รายได้ กำไร ทรัพย์สิน หนี้สิน และเทคนิค เช่น การดูกราฟราคา ปริมาณการซื้อขาย ด้วยตัวเองเท่านั้นจึงเป็นเกราะป้องกันที่ดีที่สุด

สิ่งที่น่ากลัวอีกอย่างคือการแก้แค้นตลาด หรือ Revenge Trading

หลังจากเสียเงินแล้วรู้สึกโมโห โกรธตลาด จนอยากได้เงินคืนเร็วๆ ก็เลยเพิ่มขนาดการซื้อขาย อัดโพซิชั่นใหญ่ขึ้น เทรดถี่ขึ้น โดยใช้อารมณ์นำหน้าแทนเหตุผล ซึ่งมักจบลงด้วยการขาดทุนซ้ำซ้อนจนลามไปถึงเงินส่วนที่ไม่ควรเสีย บทเรียนนี้สอนให้รู้ว่าเมื่อไหร่ที่ใจไม่นิ่งหรือเริ่มโกรธตลาด การเดินออกจากหน้าจอไปสงบสติอารมณ์คือทางเลือกที่ฉลาดที่สุด เพราะการเทรดด้วยอารมณ์คือการเสี่ยงให้ตลาดกินเงินทั้งหมด

สำหรับความรู้เพิ่มเติมที่ช่วยป้องกันไม่ให้เจ็บตัวซ้ำซ้อนคือการพิจารณา Risk to Reward Ratio หรืออัตราส่วนความเสี่ยงต่อผลตอบแทนก่อนเข้าซื้อเสมอ

หมายถึงการประเมินว่าถ้าขาดทุนจะเสียเท่าไหร่ แต่ถ้ากำไรจะได้เท่าไหร่ ถ้าอัตราส่วนนี้ต่ำกว่า 1:2 หรือ 1:3 คือเสี่ยงมากกว่าผลตอบแทนที่คาดหวัง ก็ไม่ควรลงทุน เพราะแม้จะชนะบ่อยแค่ไหน แต่ถ้าขาดทุนครั้งเดียวก็อาจล้างพอร์ตได้

อีกเรื่องสำคัญคือ Money Management หรือการบริหารเงินทุน

ไม่ควรทุ่มเงินทั้งหมดลงในหุ้นตัวเดียว แม้จะมั่นใจแค่ไหน เพราะความไม่แน่นอนคือสิ่งที่แน่นอนที่สุดในตลาด การกระจายความเสี่ยง เช่น ลงทุนในหลายหุ้นหลายอุตสาหกรรม ไม่ใช่การทำให้รวยช้าลง แต่เป็นการทำให้มั่นใจว่าจะไม่หมดตัวหายไปจากตลาดก่อนที่จะได้กำไรใหญ่

และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือวินัยในการลงทุน การมีระบบเทรดที่ชัดเจน

เช่น กฎการเข้า-ออกซื้อขาย กฎการตัดขาดทุน และทำตามอย่างเคร่งครัด จะช่วยลดการใช้อารมณ์ได้มาก ในระยะยาว คนที่ชนะในตลาดหุ้นไม่ใช่คนที่ฉลาดที่สุด แต่เป็นคนที่คุมอารมณ์ได้ดีและมีวินัยรักษาแผนลงทุนตลอดรอดฝั่ง ไม่ว่าสถานการณ์รอบตัวจะน่าตื่นตระหนกแค่ไหน การจดบันทึกการเทรด หรือ Trade Diary คือเครื่องมือที่ช่วยให้เห็นจุดอ่อนของตัวเองชัดเจน ว่าที่ผ่านมาเจ็บเพราะอะไร เช่น ซื้อตามกระแส ฝืนถือหุ้นเน่า หรือแก้แค้นตลาด แล้วจะปรับปรุงอย่างไรไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต

ตลาดหุ้นสอนบทเรียนชีวิตที่ลึกซึ้งผ่านการเสียเงิน แต่ถ้าค่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาดเหล่านี้ พร้อมนำความรู้เรื่องการบริหารความเสี่ยง วินัย และการวิเคราะห์มาปรับใช้ ก็จะค่อยๆ เปลี่ยนจากนักลงทุนที่เสียเงินบ่อย กลายเป็นนักลงทุนที่อยู่รอดและทำกำไรได้อย่างยั่งยืน


แชร์ให้เพื่อน