การเริ่มต้นลงทุนในหุ้นนั้นจริงๆ แล้วไม่ได้น่ากลัวอย่างที่หลายคนคิดเลย ถ้าเปรียบเหมือนการขับรถ การลงทุนในหุ้นก็เหมือนการขับรถบนทางด่วน ไม่ใช่สนามแข่งรถสูตรหนึ่ง ถ้าเรียนรู้กติกา ขับอย่างมีสติ ก็ไปถึงจุดหมายได้แบบสบายๆ แต่ถ้าพึ่งเหยียบคันเร่งมิดโดยไม่รู้ทาง ไม่คาดเข็มขัด ก็อาจจะเจ็บตัวหนักได้เหมือนกัน
ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจก่อนว่าหุ้นคืออะไรแบบง่ายๆ
หุ้นก็คือ “ใบเสร็จแสดงความเป็นเจ้าของบริษัท” เหมือนกับซื้อหุ้นบริษัทขนส่งเจ้านึงมา 1% เราก็เป็นเจ้าของบริษัทนั้น 1% จริงๆ มีสิทธิ์ออกเสียงในที่ประชุมผู้ถือหุ้นด้วย (ถึงจะเสียงเล็กแต่ก็มี) และถ้าบริษัทกำไรดี ก็จะแบ่งกำไรบางส่วนมาเป็นเงินปันผลให้เจ้าของอย่างเรา หรือถ้าราคาหุ้นขึ้นเพราะบริษัทเติบโต เราก็ขายได้กำไรจากส่วนต่างราคา นี่แหละคือสองช่องทางหลักที่หุ้นทำเงินให้เรา
ตลาดหุ้นไม่ใช่บ่อนการพนันอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด มันคือสถานที่ที่บริษัทดีๆ มาขายความเป็นเจ้าของเพื่อเอาเงินไปขยายกิจการ ส่วนนักลงทุนก็เอาเงินไปซื้อความฝันของบริษัทนั้น ถ้าบริษัททำได้ตามฝัน ทุกคนก็รวยด้วยกัน แบบ win-win
ทีนี้มาพูดถึงเรื่องพื้นฐานที่ต้องรู้ก่อนลงสนามจริงเลย
การเปิดบัญชีซื้อขายหุ้นสมัยนี้ทำได้ง่ายมาก แค่มีบัตรประชาชนกับสมาร์ทโฟน โหลดแอปของโบรกเกอร์เจ้าต่างๆ กรอกข้อมูล ยืนยันตัวตน เติมเงินเข้า ก็ซื้อขายได้เลย บางที่เริ่มต้นแค่ 50 บาทก็ซื้อหุ้นได้แล้ว
ส่วนวิธีดูหุ้นว่าตัวไหนดี มีสองโรงเรียนใหญ่ๆ ที่คนนิยมใช้
โรงเรียนแรกคือการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental)
เหมือนการไปดูตัวบริษัทจริงๆ ว่าธุรกิจดีไหม มีกำไรสม่ำเสมอหรือเปล่า หนี้เยอะไปหรือไม่ ทีมผู้บริหารน่าเชื่อถือไหม มีคู่แข่งเยอะไหม โอกาสเติบโตในอนาคตเป็นยังไง ดูจากงบการเงิน 3 ตัวหลักๆ คือ งบกำไรขาดทุน งบดุล และงบกระแสเงินสด ตัวเลขสำคัญที่มือใหม่ควรดูคือ อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) และ ROE (ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น) ถ้าบริษัทมีตัวเลขสวยและแนวโน้มดี ก็ถือว่าน่าสนใจในระยะยาว
โรงเรียนที่สองคือการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical)
อันนี้จะดูกราฟราคาล้วนๆ ไม่สนว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ขอแค่ดูพฤติกรรมราคาและปริมาณการซื้อขาย ใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น เส้นแนวรับ-แนวต้าน, Moving Average, RSI, MACD เพื่อหาจังหวะซื้อ-ขาย เหมาะกับคนที่ชอบซื้อขายบ่อยๆ หรือเล่นสั้น แต่ข้อเสียคือแม่นยำน้อยลงในช่วงที่ข่าวใหญ่ๆ ออกมา
สำหรับคนที่ยังไม่มั่นใจทั้งสองอย่าง แนะนำให้เริ่มจากกองทุนรวมก่อนเลย เพราะมีผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพคอยคัดหุ้นดีๆ มาให้ เราแค่เลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมาย เช่น อยากได้กำไรสูงหน่อยก็เลือกกองทุนหุ้น อยากเสี่ยงน้อยก็เลือกกองทุนผสมหรือตราสารหนี้ และที่สำคัญคือกองทุนรวมช่วยกระจายความเสี่ยงให้อัตโนมัติ เพราะหนึ่งกองทุนลงหุ้นหลายสิบตัว
เรื่องเงินที่เอามาลงทุนต้องเป็น “เงินเย็น” จริงๆ
หมายถึงเงินที่ไม่ต้องใช้ใน 3-5 ปีข้างหน้า อย่าเอาเงินกู้ เงินดาวน์บ้าน เงินค่าเทอมลูก มาลงเด็ดขาด เพราะตลาดหุ้นผันผวนมาก บางปีขึ้น 30-40% บางปีลง 30-40% ได้เหมือนกัน ถ้าเงินที่เอามาลงคือเงินที่จำเป็นต้องใช้ แล้วตลาดลงหนัก อาจจะต้องขายขาดทุนเพื่อเอาเงินไปใช้ แบบนั้นเจ็บตัวหนักแน่นอน
วิธีที่เซียนแนะนำสำหรับมือใหม่คือการลงทุนแบบ DCA (Dollar Cost Averaging)
หรือการทยอยซื้อเป็นงวดๆ เช่น ทุกเดือนโอนเงิน 5,000-10,000 บาท ไปซื้อกองทุนหรือหุ้นดีๆ ตัวเดิมซ้ำๆ ไม่สนว่าราคาจะสูงหรือต่ำ วิธีนี้จะทำให้ต้นทุนเฉลี่ยถูกลง เวลาตลาดลงหนักก็จะได้ซื้อถูก เวลาขึ้นก็กำไรจากของที่ซื้อถูกมาก่อนหน้า แถมยังฝึกวินัยการออมไปในตัว
อีกเรื่องที่ขาดไม่ได้คือการกระจายความเสี่ยง
อย่าลงหุ้นตัวเดียวเด็ดขาด ต่อให้มั่นใจแค่ไหนว่าดีจริง เพราะไม่มีบริษัทไหนอยู่ยงคงกระพันตลอดกาล ตัวอย่างเช่น คนที่ทุ่มซื้อหุ้นแบงก์เยอะๆ ตอนปี 2540 ก็เจ็บหนักตอนวิกฤตต้มยำกุ้ง หรือคนที่ทุ่มซื้อหุ้นพลังงานเยอะๆ ปี 2557-2558 ก็ขาดทุนยับตอนราคาน้ำมันดิ่ง หรือแม้แต่คนที่ซื้อหุ้นเทคโนโลยีตัวเดียวช่วงปี 2022 ก็เจอพิษปีที่หุ้นเติบโตตกหนัก การกระจายไปหลายอุตสาหกรรม หลายประเทศ ช่วยลดความเสี่ยงได้เยอะมาก
ส่วนเรื่องจิตวิทยาในการลงทุนนี่สำคัญสุดๆ
เพราะ 90% ของความสำเร็จมาจากการควบคุมอารมณ์ ตลาดหุ้นมีคำพูดอมตะว่า “กลัวตอนที่คนอื่นโลภ โลภตอนที่คนอื่นกลัว” เวลาหุ้นขึ้นแรงๆ ทุกคนตื่นเต้นแห่กันซื้อ ราคาก็ยิ่งพุ่งจนแพงลิบลิ่ว สุดท้ายก็ลงเหวหนัก แต่เวลาตลาดตกหนัก คนก็ตื่นตระหนกเทขายกันหมด ราคาก็ยิ่งตกเหวลึกเข้าไปอีก คนที่ใจเย็นซื้อตอนคนอื่นกลัว มักจะได้ของถูกและกำไรหนักในภายหลัง
สุดท้ายแล้ว การลงทุนในหุ้นที่ดีที่สุดคือการลงทุนในสิ่งที่ตัวเองเข้าใจ และถือยาวให้เวลาทำงานให้ การที่ตลาดหุ้นไทย (SET Index) จากปี 2520 ที่ระดับ 100 จุด มาปัจจุบันเกือบ 1,400 จุด (แม้จะมีขึ้นมีลง) ก็พิสูจน์แล้วว่าถ้าถือของดีและถือยาว ตลาดหุ้นให้ผลตอบแทนที่ชนะเงินเฟ้อและฝากธนาคารแบบขาดลอย
ดังนั้นสรุปง่ายๆ เลยว่าการเริ่มต้นลงทุนในหุ้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว ถ้าเริ่มจากศึกษาหาความรู้ให้แน่น ใช้เงินเย็น ตั้งเป้าหมายชัดเจน กระจายความเสี่ยง มีวินัย และควบคุมอารมณ์ให้ดี แค่ทำตามนี้ได้อย่างสม่ำเสมอ โอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งจากตลาดหุ้นในระยะยาวก็มีสูงมากๆ เลย แค่ต้องค่อยๆ เดิน อย่ารีบวิ่ง แล้ววันนึงจะพบว่าตัวเองเดินมาไกลมากโดยไม่รู้ตัว


