ลงทุนในหุ้นกับฝากธนาคาร ต่างกันยังไงในยุคดอกเบี้ยขึ้นแรง

ลงทุนในหุ้นกับฝากธนาคาร ต่างกันยังไงในยุคดอกเบี้ยขึ้นแรง
ลงทุนในหุ้นกับฝากธนาคาร ต่างกันยังไงในยุคดอกเบี้ยขึ้นแรง

การ ลงทุนในหุ้นกับฝากเงินธนาคารต่างกันยังไง ในยุคที่ดอกเบี้ยขึ้นแรง ๆ แบบนี้

เวลาเงินเฟ้อสูงแล้วธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแรง ๆ (แบบที่เห็นในปี 2022–2023 และบางประเทศยังขึ้นต่อใน 2024–2025) สิ่งที่เกิดขึ้นทันทีคือ “เงินฝากประจำ” กับ “พันธบัตรรัฐบาล” เริ่มให้ดอกเบี้ยสูงขึ้นมาก จากที่เคยได้ 0.5–1% ต่อปี กลายเป็น 3–4–5% ได้ง่าย ๆ ในบางประเทศ (ประเทศไทยช่วงสูงสุดฝากประจำพิเศษเคยแตะ 3–4% ต่อปีบ้างในบางธนาคาร) พอคนเห็นดอกเบี้ยสูงแบบนี้ หลายคนก็เริ่มคิดว่า “เอ๊ะ ฝากเงินอย่างเดียวก็ได้ดอกดีแล้ว ไปเล่นหุ้นเสี่ยงทำไม”

แต่จริง ๆ แล้วทั้งสองอย่างนี้มันต่างกันลึกซึ้งมาก แม้ในยุคดอกเบี้ยสูงก็ตาม มาดูกันทีละมุมเลย

เรื่องแรกเลยคือเรื่อง “ผลตอบแทนที่คาดหวัง”

ฝากเงินธนาคารหรือซื้อพันธบัตรเนี่ย ผลตอบแทนมันแน่นอนตายตัว ได้เท่าไหร่ก็ได้แค่นั้น เช่น ฝาก 12 เดือน ดอก 4% ก็ได้จริง ๆ 4% (หลังหักภาษีดอกเบี้ย 15% เหลือประมาณ 3.4% จริง) แต่หุ้นไม่ใช่แบบนั้น หุ้นให้ผลตอบแทนสองส่วนหลัก ๆ คือ 1. เงินปันผล (dividend) กับ 2. ส่วนต่างราคา (capital gain)

ในยุคดอกเบี้ยสูง บริษัทหลายตัวกำไรอาจจะโตช้าลงหน่อยเพราะต้นทุนดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้น แต่บริษัทดี ๆ หลายตัวก็ยังโตได้ และที่สำคัญ เงินปันผลของหุ้นไทยหลายตัวยังอยู่ที่ 3–6% ต่อปีอยู่ดี (สูงกว่าดอกฝากเยอะเลย) แถมส่วนต่างราคายังขึ้นลงได้อีกมหาศาล ถ้าตลาดหุ้นขึ้น 10–20% ต่อปี รวมแล้วผลตอบแทนอาจจะทะลุ 15–25% ได้ง่าย ๆ แต่ถ้าตลาดลงหนักก็ขาดทุนหนักได้เหมือนกัน

เรื่องที่สองคือ “ความเสี่ยง”

ฝากธนาคารในไทย (ไม่เกิน 1 ล้านบาทต่อคนต่อธนาคาร) คุ้มครองเต็มจำนวนโดยสถาบันคุ้มครองเงินฝาก (DPA) แทบไม่มีโอกาสเสียเงินต้นเลยแม้ธนาคารจะล้ม แต่หุ้นเสี่ยงมาก ราคาขึ้นลงวันต่อวันได้ ช่วงปี 2022 ที่ดอกเบี้ยขึ้นแรงทั่วโลก ดัชนีหุ้นไทยเคยลงไปเกือบ 15–20% ในบางช่วง หุ้นเทคในอเมริกาลงหนัก 70–80% ก็มีให้เห็น

แต่พอเฟดเริ่มส่งสัญญาณหยุดขึ้นดอกเบี้ยหรือลดดอกเบี้ย หุ้นก็เด้งกลับแรงมากเช่นกัน เพราะฉะนั้นในยุคดอกเบี้ยขึ้น มันเหมือนหุ้นถูกกดราคาลงก่อน แล้วพอถึงจุดที่ตลาดเชื่อว่าดอกเบี้ยขึ้นถึงจุดสูงสุด (peak rate) หุ้นก็มักจะกลับตัวขึ้นแรง

เรื่องที่สามคือ “ผลกระทบจากดอกเบี้ยสูงต่อสินทรัพย์แต่ละประเภท”

เวลาเฟดหรือธนาคารชาติขึ้นดอกเบี้ย เงินฝากกับพันธบัตรจะได้ประโยชน์ทันที เพราะดอกเบี้ยใหม่สูงขึ้น แต่หุ้นจะโดนกดราคาลงในช่วงแรก เพราะ

→ บริษัทมีต้นทุนดอกเบี้ยสูงขึ้น กำไรลดลง

→ นักลงทุนเอาต้นทุนโอกาส (opportunity cost) มาคิดว่า “ฝากธนาคารได้ 4–5% แบบไม่เสี่ยง แล้วจะไปเสี่ยงถือหุ้นทำไม” เลยเทขายหุ้นไปถือเงินฝากหรือพันธบัตรแทน

→ ที่สำคัญที่สุดคือ “มูลค่าปัจจุบัน” (present value) ของกำไรในอนาคตของบริษัทจะถูกลดทอนลงเยอะมากเมื่ออัตราคิดลด (discount rate) สูงขึ้น หุ้นเติบโตสูง (growth stock) จึงเจ็บหนักที่สุดในช่วงดอกเบี้ยขึ้น เช่น หุ้นเทคทั้งหลาย แต่หุ้นที่ให้เงินปันผลสูงและเติบโตสม่ำเสมอ (dividend stock) หรือหุ้นธนาคาร หุ้นพลังงาน มักจะทนทานกว่า เพราะกำไรไม่ได้พึ่งพาการเติบโตหวือหวามาก

เรื่องที่สี่คือ “ระยะเวลาถือ” สำคัญมาก

ถ้าถือเงินไม่นาน 1–3 ปี แล้วกลัวขาดทุน ฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรระยะสั้นคือคำตอบที่ดีที่สุดในยุคดอกเบี้ยสูง เพราะได้ดอกดีและนอนหลับสบาย แต่ถ้าถือได้ยาว 5–10–20 ปี ประวัติศาสตร์บอกชัดเจนว่าหุ้นให้ผลตอบแทนสูงกว่าฝากเงินหรือพันธบัตรแทบทุกช่วงเวลา

แม้แต่รวมช่วงวิกฤตต่าง ๆ ด้วย ดัชนี SET TRI (รวมปันผล) ตั้งแต่ปี 2520 ถึงปัจจุบันให้ผลตอบแทนทบต้นเฉลี่ยประมาณ 10–12% ต่อปี ขณะที่ดอกเบี้ยเงินฝากเฉลี่ยจริง ๆ หลังหักเงินเฟ้อแล้วแทบไม่โตเลยในระยะยาว

เรื่องที่ห้าคือ “เงินเฟ้อ”

ยุคนี้หลายประเทศเงินเฟ้อยังสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากอีก ถ้าฝากเงินได้ 4% แต่เงินเฟ้อ 6–7% เงินจริง ๆ หดหายทุกปี แต่หุ้นของบริษัทจริง โดยเฉพาะบริษัทที่ขึ้นราคาสินค้าได้ (pricing power) จะปรับตัวตามเงินเฟ้อได้ดีกว่า เช่น หุ้นกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ พลังงาน ค้าปลีกใหญ่ ๆ เป็นต้น

เรื่องที่หกคือ “ภาษี”

ดอกเบี้ยเงินฝากหัก ณ ที่จ่าย 15% จบเลย แต่เงินปันผลหุ้นไทยส่วนใหญ่บริษัทหัก ณ ที่จ่าย 10% และเอาไปเครดิตลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้ ถ้าถือหุ้นยาวแล้วขายทำกำไร (capital gain) ในตลาดหุ้นไทยปัจจุบันยังไม่ต้องเสียภาษีเลย (ยกเว้นบางกรณีที่เริ่มเก็บในอนาคต) ทำให้หุ้นยิ่งได้เปรียบในระยะยาว

เรื่องที่เจ็ดคือ “สภาพคล่อง”

เงินฝากบางประเภทล็อกระยะเวลา ถ้าถอนก่อนเสียดอกเบี้ย แต่หุ้นขายได้ทุกวันทำการ (แต่ราคาอาจจะไม่ดี) คนที่ต้องการสภาพคล่องสูงมาก ๆ ก็อาจจะชอบฝากประเภทออมทรัพย์หรือฝากไม่ประจำที่ดอกเบี้ยต่ำหน่อย แต่คนที่ลงทุนยาวก็ไม่ซีเรียส

สรุปแบบเข้าใจง่าย ๆ ในยุคดอกเบี้ยขึ้นแรง

→ ถ้าอยากนอนหลับสบาย ได้เงินแน่นอน ไม่ขาดทุน เงินฝากกับพันธบัตรคือราชาในช่วงนี้จริง ๆ

→ แต่ถ้าถือเงินยาวได้ และยอมรับความผันผวนได้ หุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์ที่ให้โอกาสชนะเงินเฟ้อและสร้างความมั่งคั่งได้สูงกว่ามากในระยะยาว แม้จะต้องผ่านช่วงที่ราคาตกใจจนตัวสั่นบ้างในตอนที่ดอกเบี้ยขึ้น

→ วิธีที่คนส่วนใหญ่ทำกันคือ “แบ่งสัดส่วน” เช่น เงินที่ต้องใช้ใน 1–3 ปี ฝากเงินหรือซื้อพันธบัตรระยะสั้น เงินที่ใช้ 5–10 ปีขึ้นไปค่อย ๆ ทยอยซื้อหุ้นดี ๆ เวลาตลาดย่อตัวจากดอกเบี้ยสูง พอถึงวันที่ดอกเบี้ยเริ่มลดเมื่อไหร่ เงินส่วนที่ลงหุ้นไว้จะเด้งแรงมากจนชดเชยช่วงที่ฝากเงินได้ดอกดีมาแล้ว

เพราะฉะนั้นไม่ใช่ว่าฝากเงินดีกว่าหรือหุ้นดีกว่าแบบตายตัว มันขึ้นอยู่กับเป้าหมาย ระยะเวลา อายุ ความสามารถรับความเสี่ยง และสถานการณ์ดอกเบี้ยในแต่ละช่วงมากกว่า ในยุคดอกเบี้ยขึ้นแรงแบบนี้ เงินฝากดูสวยงามจริง แต่พอถึงวันที่ดอกเบี้ยเริ่มลดลงเมื่อนั้นแหละ หุ้นจะกลับมาเป็นดาวเด่นอีกครั้ง เหมือนที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในประวัติศาสตร์การลงทุนทั่วโลกเลย


แชร์ให้เพื่อน