กราฟหุ้นไม่ได้ยาก แค่ต้องอ่านเหมือนอ่านใจคน

กราฟหุ้นไม่ได้ยาก แค่ต้องอ่านเหมือนอ่านใจคน
กราฟหุ้นไม่ได้ยาก แค่ต้องอ่านเหมือนอ่านใจคน

ที่จริงแล้วกราฟหุ้นที่เราเห็นทุกวันเนี่ย มันไม่ใช่แค่เส้นขึ้นเส้นลง หรือแท่งเขียวแท่งแดงธรรมดาเลย แต่มันคือ “บันทึกอารมณ์ของคนเป็นล้านคน” ที่กำลังซื้อขายกันอยู่ตรงนั้นแบบเรียลไทม์เลย ทุกจุด ทุกแท่ง ทุกเส้น มันคือรอยต่อสู้กันระหว่าง “ความโลภ” กับ “ความกลัว” ของมนุษย์แท้ ๆ

ตลาดหุ้นก็เหมือนสนามรบขนาดยักษ์ที่ไม่มีใครเห็นหน้ากัน แต่ทุกคนกำลังตะโกนใส่กันผ่านราคา เวลาที่ราคาพุ่งพรวดขึ้นแรง ๆ นั่นคือเสียงตะโกนของฝั่งที่ “โลภ” และ “มั่นใจสุด ๆ” ว่ามันจะขึ้นไปอีก เขาเลยแห่กันซื้อจนราคาดันสูงขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอราคาเริ่มไหลลงหนัก ๆ นั่นคือเสียงกรี๊ดของฝั่งที่ “กลัวสุดขีด” และ “ผิดหวัง” ที่เห็นกำไรหายหรือขาดทุนเพิ่ม เลยรีบเทขายหนีกันแบบไม่สนหน้าไหน ราคาก็เลยร่วงลงแบบหยุดไม่อยู่

เพราะฉะนั้น เวลาดูกราฟแล้วเห็นมันขึ้นลง ๆ มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือคอมพิวเตอร์สุ่ม แต่เป็นผลจากการที่คนเป็นล้าน ๆ คนกำลังรู้สึกเหมือนกันหรือต่างกันในเวลาเดียวกันนั่นเอง นี่แหละที่ทำให้การวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical Analysis) มีพลัง เพราะมันคือการอ่าน “ใจคนหมู่มาก” ผ่านรอยที่เขาทิ้งไว้บนกราฟ ไม่ใช่การทำนายอนาคตแบบหมอดู

มาดูกันทีละส่วนแบบเห็นภาพชัด ๆ

เทรนด์ (Trend) ก็เหมือนอารมณ์หลักของตลาดในช่วงนั้นเลย

ถ้ากราฟกำลังทำจุดสูงสุดสูงขึ้นเรื่อย ๆ และจุดต่ำสุดก็สูงขึ้นตาม นั่นหมายความว่าคนส่วนใหญ่กำลัง “มีความหวังเต็มเปี่ยม” และมั่นใจมากว่ามันจะขึ้นต่อ เรียกว่า ขาขึ้น (Uptrend) แต่ถ้าจุดสูงสุดต่ำลง จุดต่ำสุดก็ยิ่งต่ำลงไปอีก นั่นคือคนส่วนใหญ่เริ่ม “กลัว” และอยากหนีออกให้หมด เรียกว่า ขาลง (Downtrend) ส่วนถ้ากราฟมันวิ่งซิกแซกขึ้นลงในกรอบแคบ ๆ ไม่ไปไหนเลย นั่นคือทุกคนกำลัง “ลังเลสุด ๆ” แรงซื้อแรงขายสูสีกันมาก ยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะรักหรือจะเลิก เรียกว่า Sideways

ต่อมา แนวรับ-แนวต้าน (Support & Resistance)

นี่คือจุดที่เห็นอารมณ์คนชัดที่สุดเลย ลองนึกถึงแนวต้านเหมือน “เพดานจิตใจ” ของคนส่วนใหญ่ เวลาราคาขึ้นมาถึงจุดนึงแล้วมันชอบเด้งกลับลงทุกที เพราะคนส่วนใหญ่คิดพร้อมกันว่า “เออ แค่นี้พอแล้ว แพงไป” หรือ “ขายเถอะ กำไรแค่นี้ก็งามแล้ว” เลยแห่กันขายออกมา ราคาก็เลยขึ้นไม่ผ่าน แต่ถ้าวันนึงแรงซื้อมันเยอะมากจน “ทะลุเพดาน” นั้นได้สำเร็จ นั่นคืออารมณ์ของตลาดเปลี่ยนแล้ว คนเริ่มเชื่อว่าราคาจะไปได้ไกลกว่านี้อีกเยอะ แนวต้านเก่าก็จะกลายเป็นแนวรับใหม่ทันที

ในทางกลับกัน แนวรับคือ “พื้นจิตใจ” ของคนส่วนใหญ่

เวลาราคาลงมาถึงจุดนึงแล้วมันชอบเด้งกลับขึ้นทุกที เพราะคนส่วนใหญ่คิดพร้อมกันว่า “เออ ราคานี้ถูกแล้ว” หรือ “ลงไปกว่านี้คงไม่ไหวแล้ว” เลยแห่กันซื้อกลับ ราคาก็เลยไม่ค่อยลงต่อ แต่ถ้าวันนึงแรงขายมันหนักจริงจน “ทะลุพื้น” นั้นลงไปได้ นั่นคือคนหมดหวังกันหมดแล้ว ความเชื่อมั่นหายวับ แนวรับเก่าก็จะกลายเป็นแนวต้านใหม่ทันที เพราะคนที่ติดหุ้นไว้จะรีบขายคืนทันทีที่ราคากลับมาถึงจุดนั้น

ส่วนแท่งเทียน (Candlestick) นี่คือบทสนทนาระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขายในวันนั้น ๆ เลย

ถ้าเห็นแท่งเล็ก ๆ ตัวแท่งสั้นแต่ไส้บนไส้ล่างยาวมาก (Doji) นั่นคือทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันดุเดือดมาก แต่สุดท้ายไม่มีใครชนะชัดเจน ตลาดกำลังสับสนและลังเลสุด ๆ แต่ถ้าเห็นแท่งยาวเต็ม ๆ ไม่มีไส้เลย (Marubozu) ไม่ว่าจะเขียวหรือแดง นั่นคือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถล่มอีกฝ่ายเละเลย ฝั่งนั้นคุมตลาดอยู่เต็มตัว

หรือรูปแบบที่คนชอบพูดถึงอย่าง Engulfing

ถ้าเป็น Bullish Engulfing คือแท่งเขียวตัวใหญ่กลืนแท่งแดงก่อนหน้าแบบหมดจด แปลว่าผู้ซื้อพึ่งตื่นเต็มตาแล้วบุกถล่มผู้ขายยับ อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกลับตัวขึ้น แต่ถ้าเป็น Bearish Engulfing คือแท่งแดงตัวใหญ่กลืนแท่งเขียวก่อนหน้า แปลว่าผู้ขายตาสีตาสาแล้ว ผู้ซื้อหนีกระเจิง อาจจะเริ่มขาลงหนัก ๆ

ทีนี้มาถึงส่วนที่ลึกกว่านั้น คือวัฏจักรอารมณ์ของมนุษย์ในตลาด ซึ่งมันซ้ำไปซ้ำมาแบบนาฬิกาเลย มี 4-5 ขั้นตอนหลัก ๆ

1. เริ่มต้นด้วยความหวัง (Hope) ราคาเพิ่งเริ่มขึ้นจากจุดต่ำ คนกลุ่มเล็ก ๆ เริ่มเห็นโอกาส เขาก็ค่อย ๆ ซื้อเข้ามา คนอื่นเห็นก็เริ่มตาม

2. พอราคาขึ้นชัดเจน ก็เข้าสู่ช่วงความโลภและตื่นเต้น (Greed & Excitement) ทุกคนเริ่ม FOMO (กลัวตกขบวน) เลยแห่กันเข้ามาซื้อจนราคาพุ่งแบบแรง ๆ บางทีสูงเกินพื้นฐานไปไกลมาก ช่วงนี้สื่อก็จะเต็มไปด้วยข่าวดี คนดังก็มาพูดว่ามันจะไปดวงจันทร์

3. พอถึงจุดสูงสุดแล้วเริ่มย่อลง คนที่ซื้อแพงก็จะเข้าสู่ช่วง “ปฏิเสธ” (Denial) บอกตัวเองว่า “แค่พักตัว เดี๋ยวก็กลับขึ้น” ยังไม่ยอมขาย

4. พอราคาลงต่อเนื่อง ความกลัว (Fear) ก็เริ่มมา คนเริ่มกังวล แต่ยังมีหวังลึก ๆ

5. สุดท้ายถ้าราคาทะลุลงหนักจริง ๆ ก็จะเข้าสู่ช่วงตื่นตระหนก (Panic) และสิ้นหวัง (Despair) ทุกคนเทขายพร้อมกันแบบไม่สนแล้วว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ ช่วงนี้มักจะเป็นจุดต่ำสุดหรือใกล้จุดต่ำสุด เพราะพอคนยอมแพ้หมดแล้ว ก็จะไม่มีแรงขายเหลือ ตลาดก็จะค่อย ๆ เริ่มมีคนกล้าเข้ามารับใหม่ แล้ววนกลับไปที่ความหวังอีกรอบ

นี่คือวัฏจักรที่เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่าในทุกสินทรัพย์ ไม่ว่าจะหุ้น คริปโต ทองคำ อสังหาฯ เพราะมนุษย์เรามีอารมณ์พื้นฐานเหมือนกันทั่วโลก

เพราะฉะนั้น การดูกราฟดี ๆ มันเลยเหมือนมีเครื่องจับเท็จอารมณ์ของคนหมู่มากให้เราเห็น ทำให้คนที่ฝึกอ่านกราฟเก่ง ๆ สามารถ “ไม่ตกเป็นทาสอารมณ์ของตัวเอง” ได้ง่ายขึ้น เพราะแทนที่จะซื้อตอนทุกคนโลภสุดขีด (ราคาแพง) หรือขายตอนทุกคนกลัวสุดขีด (ราคาถูก) เขาจะพยายามทำตรงข้าม คือค่อย ๆ ซื้อตอนคนส่วนใหญ่สิ้นหวัง และค่อย ๆ ขายตอนคนส่วนใหญ่โลภจัด นี่คือเหตุผลที่นักลงทุนระดับตำนานหลายคนบอกว่า “Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful”

สรุปง่าย ๆ เลยว่ากราฟหุ้นไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่เป็นกระจกสะท้อนอารมณ์รวมของมนุษย์หลายล้านคน ยิ่งอ่านอารมณ์นั้นออกมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสตัดสินใจได้ดีกว่าเดินตามฝูงแบบไม่รู้ตัวมากเท่านั้น และนี่คือเสน่ห์ที่แท้จริงของการวิเคราะห์ทางเทคนิคที่ทำให้คนติดกันงอมแงมมาหลายสิบปีแล้ว


แชร์ให้เพื่อน