พอร์ตแดงอย่าพึ่งร้องไห้ วิธีตั้งสติในวันที่ตลาดถล่ม

พอร์ตแดงอย่าพึ่งร้องไห้ วิธีตั้งสติในวันที่ตลาดถล่ม
พอร์ตแดงอย่าพึ่งร้องไห้ วิธีตั้งสติในวันที่ตลาดถล่ม

สำหรับนักลงทุน โดยเฉพาะคนที่เพิ่งเจอ “พอร์ตแดงเถือก” หรือวันที่ตลาดหุ้นร่วงหนักจนหน้าจอแดงฉานทั้งกระดาน ใจหายใจคว่ำกันไปตามๆ กัน เวลาที่พอร์ตแดง นั่นแปลว่ามูลค่าตลาด (market value) ของหุ้นหรือกองทุนที่ถืออยู่ตอนนี้ต่ำกว่าราคาที่ซื้อเข้ามา ถ้าติดลบเยอะๆ ก็จะเห็นเลขสีแดงเด่นชัด ซึ่งมันเป็นเรื่องปกติสุดๆ ของการลงทุนระยะยาว ไม่มีนักลงทุนคนไหนในโลกนี้ที่ไม่เคยเจอ แม้แต่คนระดับตำนานอย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์, ปีเตอร์ ลินช์ หรือแม้แต่ เซียนหุ้นไทย ก็เคยเจอพอร์ตแดงหนักๆ มาหมดแล้ว หลายครั้งด้วยซ้ำ

ทำไมตลาดถึงถล่มได้หนักขนาดนั้น

เพราะตลาดหุ้นมันมี “วัฏจักร” จริงๆ คล้ายคลื่นขึ้นคลื่นลง ช่วงขาขึ้น (bull market) อาจกินเวลาหลายปี ทุกคนยิ้มได้ แต่พอเข้าช่วงขาลง (bear market) หรือวิกฤตหนักๆ (crash) ราคาก็ร่วงพร้อมกันหมด บางครั้งตกวันเดียว 5-10% ก็มีให้เห็น สาเหตุใหญ่ๆ มักเป็น “เหตุการณ์ที่ไม่คาดไม่ถึง” เช่น ปี 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์จากอเมริกา, ปี 2020 โควิด-19 ระบาดทั่วโลก, ปี 1997 ต้มยำกุ้งในไทย, หรือแม้แต่ช่วงปี 2022 ที่ธนาคารกลางทั่วโลกขึ้นดอกเบี้ยแรงๆ พร้อมกัน พอมีข่าวร้ายแบบนี้ อารมณ์ความกลัวของมนุษย์จะทำงานทันที ทุกคนพร้อมใจกันกดขาย เพราะคิดว่า “ถ้าแล้ว ถือต่อเดี๋ยวขาดทุนหนักกว่านี้” การเทขายพร้อมกันจำนวนมหาศาลนี่แหละที่ทำให้ราคาร่วงแบบไม่หยุดยั้ง เรียกว่า “panic selling” หรือ “capitulation”

ทีนี้ เวลาที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือ “อารมณ์” ของตัวเราเอง

จากงานวิจัยด้านพฤติกรรมการเงิน (behavioral finance) พบว่าคนส่วนใหญ่จะสูญเสียเงินในตลาดไม่ใช่เพราะบริษัทที่ถืออยู่แย่จริงๆ แต่เพราะตัดสินใจผิดจากความกลัวหรือความโลภ งานวิจัยของ DALBAR เผยมานานแล้วว่านักลงทุนรายย่อยโดยเฉลี่ยได้ผลตอบแทนน้อยกว่าตลาดมากๆ เพราะชอบซื้อตอนแพง (ตอนทุกคนตื่นเต้น) และขายตอนถูก (ตอนทุกคนกลัว) ดังนั้นขั้นแรกสุดเมื่อเห็นพอร์ตแดงจัดๆ คือ “หยุดดูหน้าจอ” จริงๆ นะ หลายคนแนะนำให้ปิดแอปหุ้นไปเลยสัก 1-2 วัน หรืออย่างน้อยก็อย่าเช็คทุก 5 นาที เพราะยิ่งดูบ่อย ยิ่งเครียด ยิ่งอยากทำอะไรสักอย่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะผิด

ต่อมา ให้กลับไปดู “แผนการลงทุนเดิม”

ที่เคยเขียนหรือเคยคิดไว้ตอนที่ยังใจเย็นๆ ว่าลงทุนเพื่ออะไร ระยะเวลาเท่าไหร่ รับความเสี่ยงได้แค่ไหน ถ้าตอบตัวเองได้ว่า “ลงทุนยาว 10-20 ปี เพื่อเกษียณ” และเลือกบริษัทที่มีพื้นฐานดีจริงๆ (กำไรเติบโตสม่ำเสมอ หนี้ไม่เยอะ มีความสามารถแข่งขันสูง) ราคาที่ตกลงวันนี้ก็ไม่ได้ทำให้บริษัทนั้นแย่ลงในชั่วข้ามคืน มันแค่ “ราคาตลาดกำลังกลัว” เท่านั้นเอง วอร์เรน บัฟเฟตต์เคยพูดประโยคอมตะว่า “Be fearful when others are greedy, and greedy when others are fearful” แปลไทยแบบบ้านๆ คือ “เวลาคนอื่นโลภสุดๆ ให้กลัว แต่เวลาคนอื่นกลัวสุดๆ ให้โลภ” เพราะช่วงที่ทุกคนเทขายไม่เลือกหน้า นั่นคือโอกาสซื้อของดีในราคาถูก

เรื่องสำคัญมากอีกข้อคือ ห้าม “panic sell” หรือขายทิ้งด้วยความตื่นตระหนก

ขายตอนตลาดตกหนักเท่ากับล็อกขาดทุนให้เป็นของจริงทันที แถมมักเป็นการขายในราคาต่ำสุดหรือใกล้ต่ำสุดของรอบนั้นด้วย ตัวอย่างชัดๆ คือเดือนมีนาคม 2020 ตลาดหุ้นทั่วโลกร่วงหนักมาก SET ร่วงจาก 1,600 เหลือต่ำกว่า 1,000 จุด คนที่ขายทิ้งตอนนั้นขาดทุน 30-50% แต่คนที่ถือต่อหรือกล้าซื้อเพิ่ม ภายใน 1-2 ปี พอร์ตกลับมาเขียวเถือกและทำนิวไฮได้สบายๆ เพราะสุดท้ายเศรษฐกิจและบริษัทดีๆ ก็ฟื้นตัวเสมอ

แต่ถ้ามีเงินเย็นสำรองอยู่จริงๆ ช่วงตลาดถล่มคือโอกาสทองของการ “ถัวเฉลี่ยต้นทุน” หรือซื้อเพิ่มในราคาถูก ทำให้ต้นทุนเฉลี่ยต่อหุ้นลดลงเยอะ พอตลาดฟื้น ผลตอบแทนจะพุ่งแรงมาก วิธีที่ปลอดภัยที่สุดคือใช้วิธี DCA (Dollar-Cost Averaging) ซื้อทีละน้อยสม่ำเสมอ ไม่ต้องพยายามจับจุดต่ำสุด เพราะไม่มีใครทำได้แม่นยำอยู่แล้ว

ที่สำคัญสุดๆ คือ การป้องกันตัวเองก่อนวิกฤตจะเกิดดีกว่ามารักษาอาการตอนเกิดแล้ว วิธีป้องกันง่ายๆ คือ

👉 กระจายความเสี่ยงให้ดี อย่าใส่เงินก้อนโตในหุ้นตัวเดียว หรือในหุ้นทั้งหมด ควรมีทั้งหุ้น พันธบัตร ทองคำ กองทุนอสังหา หรือเงินสดบ้าง

👉 มีเงินสำรองฉุกเฉินอย่างน้อย 6-12 เดือน เมื่อถึงวันที่พอร์ตแดงหนัก จะได้ไม่ต้องยอมขายขาดทุนเพราะ “จำเป็นต้องใช้เงิน”

👉 เลือกบริษัทหรือกองทุนที่มีคุณภาพจริงๆ ตั้งแต่แรก ถือของดีไว้ ความผันผวนก็จะน่ากลัวน้อยลง

สุดท้าย พอร์ตแดงไม่ใช่จุดจบ มันเป็นแค่ “ตัวเลขชั่วคราว” ตราบใดที่ยังไม่ขาย ก็ยังไม่ขาดทุนจริง ตลาดหุ้นในระยะยาว (10-20 ปีขึ้นไป) มีทิศทางขึ้นเสมอ เพราะเศรษฐกิจโลกเติบโต กำไรบริษัทเติบโต ทุกวิกฤตที่เคยเกิดมาล้วนผ่านไปทั้งหมด คนที่รอดและร่ำรวยจากตลาดหุ้นจริงๆ ไม่ใช่คนที่เดาราคาเก่ง แต่เป็นคนที่ “ตั้งสติได้” และ “มีวินัย” มากที่สุด

ดังนั้น ครั้งหน้าถ้าตลาดถล่มอีก หายใจลึกๆ ปิดหน้าจอ ทบทวนแผนเก่า แล้วถ้ามีเงินเย็นก็ยิ้มได้เลย เพราะของดีกำลังลดราคาแบบที่ไม่ค่อยเจอบ่อยๆ ในชีวิตนักลงทุน


แชร์ให้เพื่อน