เปรียบเทียบเรื่องการลงทุนในหุ้นกับเรื่องความรัก เพราะมันชี้ให้เห็นว่าทั้งสองอย่างนี้มีจุดคล้ายกันหลายจุดจนน่าแปลกใจจริงๆ เริ่มตั้งแต่ขั้นตอนแรกเลย คือตอนที่กำลังตัดสินใจว่าจะเข้าไปลงทุนหรือเข้าไปรักใครสักคน การลงทุนในหุ้นที่ดีต้องอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของบริษัทอย่างละเอียด เช่น ดูงบการเงิน ดูแนวโน้มธุรกิจ ดูว่าบริษัทมีหนี้มากไหม มีกำไรสม่ำเสมอหรือเปล่า แล้วค่อยตัดสินใจซื้อในราคาที่เหมาะสม ไม่ใช่เห็นราคากำลังขึ้นแรงๆ หรือเห็นคนอื่นแห่ซื้อกันเยอะแล้วรีบตามเข้าไปเพราะกลัวพลาดโอกาส
อาการแบบนี้ในวงการหุ้นเขาเรียกว่า FOMO หรือ Fear of Missing Out
ซึ่งมันอันตรายมากเพราะส่วนใหญ่ราคาที่พุ่งแรงแบบนั้นมักจะเป็นฟองสบู่ พอฟองแตกก็ขาดทุนยับเยิน คนที่ซื้อแบบนี้เขาเรียกกันติดตลกว่า “เม่ากระโชก” หรือนักลงทุนมือใหม่ที่ชอบไล่ราคา สุดท้ายมักจบด้วยการติดดอย คือซื้อตอนราคาสูงสุดแล้วราคาก็ค่อยๆ ตกลงมาเรื่อยๆ จนขาดทุนหนัก
ถ้าเอาไปเทียบกับความรักก็เหมือนกันเลย บางคนเห็นคนที่หน้าตาดี มีโปรไฟล์ในโซเชียลมีเดียดูเพอร์เฟกต์ มีไลฟ์สไตล์ที่น่าติดตาม ก็รีบเข้าไปจีบหรือคบเลยโดยไม่สนใจว่าจะนิสัยจริงๆ เป็นยังไง ค่านิยมเข้ากันได้ไหม ทัศนคติต่อชีวิตเหมือนกันหรือเปล่า พอคบไปจริงๆ แล้วเจอตัวตนที่แท้จริง เช่น ขี้หึงเกินเหตุ ขี้เหนียว หรือไม่รับผิดชอบ ก็เริ่มเสียใจ แต่ตอนนั้นมันสายไปแล้ว เหมือนซื้อหุ้นแพงเกินพื้นฐานแล้วราคาตกไม่หยุด ความหลงแบบผิวเผินเลยกลายเป็นความเจ็บปวดที่ลึกกว่าเดิม
ส่วนเรื่องการบริหารความเสี่ยงหรือ Risk Management
ในหุ้นเขาสอนกันเสมอว่าอย่าลงเงินก้อนใหญ่ในหุ้นตัวเดียว เพราะถ้าบริษัทตัวนั้นมีปัญหา พอร์ตทั้งหมดก็พังได้เลย ต้องกระจายการลงทุนไปหลายตัว หลายอุตสาหกรรม เพื่อให้ถ้าตัวหนึ่งขาดทุน ตัวอื่นยังช่วยพยุงไว้ได้ แต่ในความรักมันต่างออกไป เพราะความสัมพันธ์ที่ดีต้องอาศัยความซื่อสัตย์และการทุ่มเทให้กันแบบเต็มที่ ไม่สามารถมีคนรักหลายคนพร้อมกันได้แบบนั้น แต่การกระจายความเสี่ยงในชีวิตคู่ที่น่าสนใจคือการไม่เอา “ไข่ทั้งหมดใส่ตะกร้าใบเดียว”
ในแง่ของความสุขและความคาดหวัง คืออย่าคาดหวังให้คนรักคนเดียวตอบสนองทุกอย่างในชีวิต เช่น เป็นทั้งเพื่อนสนิท เป็นที่ปรึกษา เป็นคนให้กำลังใจ เป็นคนเที่ยวด้วยทุกครั้ง ควรมีพื้นที่ชีวิตอื่นๆ ที่ทำให้มีความสุขด้วย เช่น งานที่รัก เพื่อนสนิทที่คุยกันรู้เรื่อง งานอดิเรกที่ทำแล้วเพลิน หรือครอบครัวที่คอยซัพพอร์ต
ถ้าทำแบบนี้ พอวันใดวันหนึ่งความสัมพันธ์มีปัญหา เช่น ทะเลาะกันหนัก หรือเลิกกัน ชีวิตโดยรวมก็ยังไปต่อได้ ไม่ล้มทั้งตัว เพราะยังมีเสาหลักอื่นๆ คอยรับน้ำหนักไว้ แต่ถ้าใครทุ่มเททุกอย่างให้ความรักอย่างเดียว ไม่มีเพื่อน ไม่มีงานอดิเรก ไม่มีเป้าหมายส่วนตัว พอความรักพังก็เหมือนพอร์ตหุ้นระเบิดเลย เงินเก็บ เวลา พลังงาน ความหวัง หายวับไปหมด ชีวิตว่างเปล่าและเจ็บปวดมาก
อีกเรื่องที่ลึกและเจ็บปวดคือ Sunk Cost Fallacy หรือการเสียดายต้นทุนที่จมไปแล้ว
ในหุ้นมันคือการที่ถือหุ้นที่กิจการแย่ลงทุกวัน ราคาตกลงเรื่อยๆ แต่ไม่ยอมขายขาดทุน เพราะเสียดายเงินที่เคยใส่เข้าไป หรือไม่อยากยอมรับว่าตัวเองตัดสินใจผิด บางคนยื้อไว้จนขาดทุนมหาศาล ทั้งที่ถ้าขายทิ้งเร็วๆ (เรียกว่า Cut Loss หรือ Stop Loss) แล้วเอาเงินไปซื้อหุ้นตัวใหม่ที่ดีกว่า ยังมีโอกาสกลับมาได้เยอะกว่า
ในความรักก็เหมือนกันมาก บางคนคบกันมานานหลายปี ลงเวลา ลงความรู้สึก ลงพลังงานไปเยอะ แต่พอรู้สึกว่ามันไม่โอเคแล้ว เช่น ไม่เคารพกัน ทะเลาะบ่อย หรือเป้าหมายชีวิตไม่ตรงกัน แต่ก็ยังฝืนอยู่ต่อเพราะเสียดายเวลาที่ผ่านไป เสียดายความทรงจำดีๆ เสียดายที่เคยทุ่มเท หรือกลัวว่าจะเริ่มต้นใหม่กับคนอื่นแล้วไม่ดีเท่าเดิม
ทั้งที่ลึกๆ รู้ว่ามันไม่มีอนาคต การฝืนอยู่แบบนี้มีแต่ทำให้เจ็บนานขึ้น และเสียโอกาสที่จะเจอคนที่เหมาะสมกว่าจริงๆ การยอมรับความจริงและเดินออกมาแม้จะเจ็บในตอนแรก แต่สุดท้ายมันคือการรักษาตัวเองในระยะยาว เหมือนการตัดหุ้นเน่าทิ้งเพื่อให้พอร์ตมีโอกาสเติบโตใหม่
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเวลาและพลังของดอกเบี้ยทบต้นที่ใช้ได้ทั้งสองอย่าง
หุ้นดีๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้รวยข้ามคืน แต่ต้องใช้เวลาหลายปีกว่าบริษัทจะเติบโต กำไรสะสม และราคาหุ้นค่อยๆ ปรับตัวสูงขึ้นแบบยั่งยืน คนที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนมักใช้วิธี DCA หรือ Dollar Cost Average คือค่อยๆ ซื้อสะสมอย่างสม่ำเสมอ ไม่สนใจว่าราคาจะขึ้นหรือลงในระยะสั้น แต่เชื่อมั่นในพื้นฐานระยะยาว
ความรักที่มั่นคงก็เหมือนกัน ไม่ได้หวือหวาแค่ช่วงแรกแล้วจบ แต่ต้องสะสมความไว้ใจ ความเข้าใจ การปรับตัวเข้าหากันวันละนิด ผ่านเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวัน เช่น การฟังกันจริงๆ การให้กำลังใจ การแก้ปัญหาด้วยกัน พอเวลาผ่านไปนานๆ ความสัมพันธ์จะแข็งแรงและลึกซึ้งมาก เหมือนดอกเบี้ยทบต้นที่ทำให้เงินงอกเงยแบบทวีคูณ
สุดท้าย สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีสติและยึดติดกับความเป็นจริง
ไม่ว่าจะตลาดหุ้นกำลังบูมจนทุกอย่างเขียว หรือกำลังแดงเถือกจนขาดทุนยับ หรือในความรักที่กำลังหวานชื่นจนรู้สึกว่าชีวิตสมบูรณ์แบบ หรือกำลังขมขื่นจนอยากยอมแพ้ การตัดสินใจด้วยเหตุผลและข้อมูลจริงๆ จะช่วยลดความเจ็บปวดได้มากที่สุด และที่สำคัญ ความล้มเหลวทั้งในหุ้นและความรักไม่ใช่จุดจบ มันคือบทเรียนที่มีราคาแพงมาก
แต่ถ้าเอามาวิเคราะห์และเรียนรู้จริงๆ ครั้งต่อไปไม่ว่าจะเลือกหุ้นตัวใหม่หรือเลือกคนใหม่ ก็จะรอบคอบและมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงขึ้นแน่นอน เพราะประสบการณ์เหล่านี้ทำให้เข้าใจตัวเองมากขึ้น รู้ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเองจริงๆ และกล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าเดิม


