หุ้นไม่เคยโกหก แต่คนอ่านกราฟมักโกหกตัวเอง

หุ้นไม่เคยโกหก แต่คนอ่านกราฟมักโกหกตัวเอง

หุ้นไม่เคยโกหกแต่คนอ่านกราฟมักโกหกตัวเองนั้น มันเป็นความจริงที่เจ็บแต่จริงมากในวงการลงทุน เพราะกราฟราคาที่เห็นเคลื่อนไหวไปมาบนหน้าจอทุกวัน มันคือภาพสะท้อนของสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในตลาดแบบเรียลไทม์เลย ไม่ได้แต่งเติมอะไรทั้งนั้น ทุกการขึ้นลงของราคามาจากการปะทะกันระหว่างคนที่อยากซื้อกับคนที่อยากขาย โดยมีเงินจริงๆ เป็นเดิมพันอยู่เบื้องหลัง

ไม่ว่าจะมีข่าวดีออกมามากแค่ไหน หรือนักวิเคราะห์เก่งๆ คนไหนออกมาบอกว่าบริษัทนี้พื้นฐานดีขึ้น ตัวเลขกำไรสวยขึ้น ถ้าในตลาดตอนนั้นเงินส่วนใหญ่เลือกที่จะไหลออก มีคนขายมากกว่าคนซื้อ ราคาก็จะร่วงลงตามกลไกธรรมชาติของอุปทานและอุปสงค์ ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แท่งเทียนแต่ละแท่ง ตัวเลขราคาแต่ละจุดที่โชว์ขึ้นมา จึงเหมือนบันทึกความจริงที่เกิดขึ้นแล้วแบบตรงไปตรงมา ไม่มีความรู้สึกโกรธ เศร้า ดีใจ หรืออคติอะไรมาปนเลยแม้แต่น้อย มันบริสุทธิ์มากในแง่นั้น

แต่สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่เสียเงินในตลาดหุ้นไม่ใช่เพราะกราฟโกหกหรอก แต่เป็นเพราะคนดูกราฟชอบสร้างเรื่องราวขึ้นมาในหัวเพื่อหลอกตัวเองต่างหาก

โดยเฉพาะตอนที่หุ้นในมือเริ่มมีปัญหา เช่น ราคาเริ่มหลุดแนวรับที่เคยตั้งใจไว้ชัดเจนว่าจะตัดขาดทุนตรงนั้น แทนที่จะยอมรับว่าทิศทางเปลี่ยนจริงๆ แล้วรีบออกมาลดความเสี่ยง คนส่วนใหญ่จะเริ่มหาเหตุผลต่างๆ นานามาอธิบายให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น เช่น หาข่าวดีเล็กๆ น้อยๆ ที่เพิ่งออกมาบอกว่าบริษัทกำลังจะมีโครงการใหม่ หรือไม่ก็เริ่มขยับเส้นแนวรับลงต่ำกว่าเดิมเรื่อยๆ

แค่เพื่อให้ราคายังดูเหมือนอยู่ในโซนที่ปลอดภัย ทั้งที่จริงๆ แล้วการเคลื่อนไหวของราคากำลังส่งสัญญาณเตือนชัดเจนว่าสถานการณ์เริ่มแย่ ความเสี่ยงสูงขึ้นมากแล้ว พฤติกรรมแบบนี้ในทางจิตวิทยาการลงทุนเรียกว่า Confirmation Bias คือสมองจะเลือกกรองข้อมูลเฉพาะที่สนับสนุนความเชื่อเดิมของตัวเอง แล้วเพิกเฉยต่อข้อมูลที่ขัดแย้ง แม้ข้อมูลนั้นจะอยู่ตรงหน้าก็ตาม มันเป็นกับดักที่ทำให้คนติดดอยมานักต่อนัก เพราะยิ่งราคาลงยิ่งไม่อยากยอมตัดขาดทุน ยิ่งหาเหตุผลมาอธิบายเพิ่ม ยิ่งจมลึก

การอ่านกราฟให้เก่งจริงๆ จึงไม่ใช่แค่รู้จักลากเส้นเทรนด์ไลน์เป็น รู้สูตรอินดิเคเตอร์ต่างๆ มากมาย

แต่ต้องฝึกให้ตัวเองมีความเป็นกลางสูงมาก เหมือนเป็นกระจกที่สะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นโดยไม่แต่งสีตีไข่เพิ่มเติมด้วยความหวังหรือความกลัวส่วนตัว ถ้ายังมองกราฟผ่านแว่นของอารมณ์ ไม่ช้าก็เร็วก็จะเสียหายหนักแน่นอน ความรู้ด้านจิตวิทยาการลงทุนจึงสำคัญไม่แพ้ความรู้ด้านเทคนิคเลย เพราะต่อให้มีเครื่องมือวิเคราะห์ดีระดับโลก ถ้าคนใช้ยังปล่อยให้ความคาดหวังมาบังตา ความจริงบนกราฟก็จะถูกบิดเบือนไปหมด

วิธีหนึ่งที่ช่วยดึงสติกลับมาได้ดีมากคือการสังเกต Volume หรือปริมาณการซื้อขายควบคู่ไปกับราคาเสมอ

เพราะ Volume จะช่วยยืนยันว่าการเคลื่อนไหวของราคานั้นมีน้ำหนักจริงหรือเปล่า เช่น ถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นแรงแต่ Volume กลับเบาบางมากเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า นั่นมักเป็นสัญญาณว่าการขึ้นครั้งนี้ขาดแรงหนุนจริงๆ อาจเป็นแค่การเด้งชั่วคราวหรือมีคนบางกลุ่มผลักดัน แล้วพอหมดแรงก็ร่วงลงง่ายๆ

ในทางกลับกัน ถ้าราคาลงแต่ Volume สูงมาก แสดงว่ามีแรงขายจริงจังเข้ามา ความเสี่ยงสูงจริงๆ การฝึกดูความสัมพันธ์ระหว่างราคากับ Volume แบบนี้จะช่วยให้มองเห็นความจริงชัดขึ้น ลดโอกาสที่สมองจะหลอกตัวเองได้เยอะ เพราะมันเป็นข้อมูลตัวเลขที่เป็นรูปธรรม ไม่ต้องตีความอะไรมาก

อีกสิ่งที่ช่วยป้องกันการโกหกตัวเองได้ดีสุดคือการมี Trading Plan หรือแผนการเทรดที่ชัดเจนตั้งแต่ก่อนเข้าตลาด ตอนที่หัวยังเย็น อารมณ์ยังนิ่งอยู่

เช่น กำหนดไว้เลยว่าถ้าราคาหลุดจุดไหนจะตัดขาดทุนทันที ถ้าถึงเป้ากำไรเท่าไหร่จะทยอยขาย หรือจะถือต่อเมื่อมีเงื่อนไขอะไรเกิดขึ้น พอมีแผนชัดเจนแบบนี้แล้ว พอตลาดเปิดจริง เงินในพอร์ตเริ่มขยับ อารมณ์ความโลภหรือความกลัวเริ่มโผล่มาสมองก็จะยากที่จะหาเรื่องหลอกตัวเอง เพราะทุกอย่างถูกเขียนไว้ดำเป็นขาวตั้งแต่แรก

การยึดวินัยทำตามแผนอย่างเคร่งครัด แม้บางครั้งจะผิดพลาดบ้างก็ยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งของเกมการลงทุน ไม่ต้องไปโทษตัวเองหนักหรือหาเหตุผลแก้ตัว นานวันเข้าจะทำให้มองกราฟได้ตรงตามความจริงมากขึ้น เห็นโอกาสและความเสี่ยงชัดเจนขึ้น ไม่มองผ่านความอยากให้มันเป็นแบบนั้นแบบนี้

สุดท้ายแล้วนี่แหละคือสิ่งที่ทำให้นักลงทุนอยู่รอดและเติบโตในตลาดหุ้นได้ยั่งยืนจริงๆ ไม่ใช่การหาสูตรวิเศษหรืออินดิเคเตอร์มหัศจรรย์ใดๆ แต่เป็นการชนะใจตัวเองให้ได้ต่างหาก


แชร์ให้เพื่อน