หุ้นปันผลคืออะไร ทำไมถึงเหมาะกับคนขี้เกียจเทรดแต่รักรายได้

หุ้นปันผลคืออะไร ทำไมถึงเหมาะกับคนขี้เกียจเทรดแต่รักรายได้
หุ้นปันผลคืออะไร ทำไมถึงเหมาะกับคนขี้เกียจเทรดแต่รักรายได้

หุ้นปันผลนี่คือหุ้นของบริษัทที่ชอบแบ่งกำไรให้ผู้ถือหุ้นเป็นประจำแทบทุกปีเลย ลองนึกภาพง่ายๆ ว่าซื้อหุ้นแล้วเหมือนกลายเป็นเจ้าของส่วนเล็กๆ ของบริษัทนั้น พอบริษัททำกำไรดี ก็จะเอาเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายให้ผู้ถือหุ้นตามจำนวนหุ้นที่ถืออยู่ เงินส่วนนั้นเรียกว่าเงินปันผล ซึ่งมันเหมือนกับการได้เงินสดเข้ากระเป๋าเป็นช่วงๆ โดยไม่ต้องไปนั่งซื้อขายหุ้นบ่อยๆ เลย

สารบัญ

ที่มาของเงินปันผลจริงๆ แล้วมาจากกำไรสุทธิหรือกำไรที่บริษัทสะสมไว้ หลังจากหักค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมถึงเงินที่เอาไปลงทุนขยายกิจการแล้วยังเหลือเยอะ

บริษัทที่จ่ายปันผลได้สม่ำเสมอส่วนใหญ่จึงมักเป็นบริษัทที่มีฐานธุรกิจแข็งแรง กระแสเงินสดไหลเวียนดี ไม่ค่อยสะดุดง่ายๆ บางแห่งจ่ายปีละครั้ง บางแห่งจ่ายสองรอบคือปันผลระหว่างกาลกับปันผลสิ้นปี ความสม่ำเสมอแบบนี้แหละที่ทำให้คนชอบ เพราะรู้สึกเหมือนมีรายได้แน่นอนเข้ามาเรื่อยๆ

ส่วนตัวเลขที่คนมักดูกันคืออัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล หรือที่เรียกว่า dividend yield

คำนวณง่ายๆ โดยเอาปันผลที่ได้ต่อหุ้นในหนึ่งปี หารด้วยราคาหุ้นตอนนั้น แล้วคูณร้อยเพื่อให้เป็นเปอร์เซ็นต์ เช่น หุ้นราคา 100 บาท จ่ายปันผลปีละ 5 บาท ก็เท่ากับผลตอบแทน 5% ซึ่งถ้าเทียบกับดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่มักต่ำกว่านี้เยอะ ถือว่าน่าสนใจมากสำหรับคนที่อยากได้รายได้เพิ่มโดยไม่ต้องเสี่ยงสูง

สิ่งที่ทำให้หุ้นปันผลถูกใจคนชอบลงทุนแบบสบายๆ ไม่ต้องนั่งเฝ้าจอซื้อขายทุกวันคือ มันให้รายได้แบบ passive income จริงๆ

แค่ซื้อหุ้นดีๆ สักตัวแล้วถือไว้นานๆ เงินปันผลก็จะโอนเข้ามาเองตามรอบ ไม่ต้องเสียเวลาจับจังหวะตลาด ไม่ต้องเครียดกับราคาที่ขึ้นลงรายวัน เพราะเป้าหมายหลักไม่ใช่การขายเอากำไรจากส่วนต่างราคา แต่เป็นการเก็บเงินปันผลสะสมไปเรื่อยๆ แม้ราคาหุ้นจะแกว่งตัวบ้าง ถ้าบริษัทพื้นฐานยังดีและยังจ่ายปันผลต่อเนื่อง การลงทุนก็ยังเดินหน้าตามแผน ไม่ต้องกังวลมาก

ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเอาเงินปันผลที่ได้ไปซื้อหุ้นเพิ่มตัวเดิมอีกเรื่อยๆ จะเกิดพลังของการทบต้นขึ้นมา ซึ่งน่าทึ่งมาก เพราะจำนวนหุ้นที่ถือจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เงินปันผลรอบถัดไปจึงมากขึ้นตามไปด้วย แล้วก็เอาเงินเพิ่มนั้นไปซื้อหุ้นเพิ่มอีก วนแบบนี้ไปนานๆ เหมือนก้อนหิมะที่กลิ้งจากยอดเขา ค่อยๆ โตใหญ่ขึ้นทุกที โดยที่ไม่ต้องทำอะไรเยอะ แค่ถือยาวและอดทนรอให้เวลาทำงานให้

อีกจุดดีคือหุ้นปันผลช่วยป้องกันปัญหาเงินเฟ้อได้ในระดับหนึ่ง

เพราะบริษัทที่เติบโตดีมักปรับเพิ่มเงินปันผลให้สูงขึ้นตามกำไรที่มากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไปกำไรก็จะโตเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อ ทำให้กำลังซื้อของเงินปันผลที่ได้ไม่ลดลงง่ายๆ ต่างจากเงินฝากธนาคารที่ดอกเบี้ยต่ำๆ บางทีแทบสู้เงินเฟ้อไม่ไหว เงินที่ได้เลยค่อยๆ ลดมูลค่าลงทุกปี

ทีนี้พอพูดถึงการเลือกหุ้นปันผลดีๆ สิ่งสำคัญไม่ใช่แค่ดูว่าตัวไหนจ่ายเยอะตอนนี้ แต่ต้องมั่นใจว่าจะจ่ายได้ต่อเนื่องยาวๆ ไปอีกหลายปี

เริ่มจากดูประวัติการจ่ายปันผลย้อนหลัง ถ้ายิ่งจ่ายต่อเนื่องมานาน เช่น 5 ปี 10 ปี หรือมากกว่านั้นยิ่งดี โดยเฉพาะบริษัทที่ผ่านวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ มาได้ยังจ่ายไหว แสดงว่าธุรกิจแข็งแรงจริง มีความยืดหยุ่นสูง ในต่างประเทศมีคำเรียกบริษัทที่จ่ายและเพิ่มปันผลต่อเนื่องยี่สิบห้าปีขึ้นไปว่า dividend aristocrats หรือ dividend champions ซึ่งเป็นระดับตำนานของความมั่นคง แม้ในตลาดหุ้นไทยก็มีหลายบริษัทที่จ่ายต่อเนื่องมาหลายสิบปีเช่นกัน

ต่อมาคืออัตราส่วนการจ่ายปันผล หรือ payout ratio ที่บอกว่าบริษัทเอาสัดส่วนกำไรสุทธิเท่าไหร่มาจ่ายเป็นปันผล

ถ้าสูงเกิน 80 % ขึ้นไป อาจดูน่าดึงดูดเพราะได้เงินเยอะ แต่เสี่ยงเพราะบริษัทแทบไม่เหลือเงินไว้สำรองหรือลงทุนต่อ ถ้าเจอปัญหาเศรษฐกิจก็อาจลดหรือหยุดจ่ายปันผลได้ง่าย แต่ถ้าต่ำเกิน 30 % ก็อาจหมายถึงบริษัทกำลังเก็บเงินไว้ขยายกิจการเยอะ ซึ่งดีสำหรับอนาคตแต่คนอยากได้เงินปันผลทันทีอาจรู้สึกน้อยไปหน่อย ช่วงที่สมดุลและปลอดภัยที่สุดคือประมาณ 40 – 70 %  เพราะแสดงว่าบริษัทแบ่งปันให้ผู้ถือหุ้นดีพร้อมกับยังเก็บส่วนหนึ่งไว้เติบโตต่อ

ธุรกิจของบริษัทก็สำคัญมาก เพราะกำไรที่จะเอามาจ่ายปันผลต้องมาจากรายได้ที่มั่นคง

ธุรกิจที่ดีมักอยู่ในกลุ่มที่คนต้องการใช้บริการตลอด ไม่ว่าจะเศรษฐกิจแบบไหน เช่น กลุ่มไฟฟ้า น้ำประปา ที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน หรือกลุ่มอาหารเครื่องดื่มที่คนกินดื่มทุกวัน หรืออสังหาริมทรัพย์บางประเภทที่ให้เช่าได้ต่อเนื่อง ธุรกิจแบบนี้รายได้ค่อนข้างแน่นอน ไม่ค่อยผันผวนรุนแรง และมักมีข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน เช่น แบรนด์ที่คนติดใจ ต้นทุนต่ำ หรือมีส่วนแบ่งตลาดสูง ซึ่งช่วยปกป้องกำไรไม่ให้ถูกคู่แข่งแย่งง่ายๆ

ส่วนอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่สูงมากๆ

เช่น 8 – 10% ต้องระวังให้ดี เพราะบางทีมันสูงเพราะราคาหุ้นตกหนักจากปัญหาบางอย่างในบริษัท ถ้าบริษัทมีปัญหาพื้นฐานจริง ความสามารถทำกำไรลดลง ต่อไปก็อาจลดปันผลลงได้ ผลตอบแทนสูงที่เห็นเลยกลายเป็นแค่ชั่วคราว ดังนั้นเวลาดูตัวเลขสูงๆ ควรถามตัวเองว่าราคาหุ้นถูกเพราะอะไร มีข่าวร้ายอะไรซ่อนอยู่หรือเปล่า แล้วค่อยเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมนั้นๆ หรือกับดอกเบี้ยเงินฝาก ว่าความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นมันคุ้มค่าหรือไม่

สุดท้ายแล้ว การลงทุนหุ้นปันผลที่ดีคือการมองภาพรวมของบริษัทให้ครบ ทั้งความมั่นคงของธุรกิจ ประวัติการจ่ายที่ยาวนาน อัตราส่วนการจ่ายที่สมดุล และผลตอบแทนที่เหมาะสม ไม่ใช่ไล่ตามตัวเลขปันผลสูงสุดตัวเดียว มันเหมือนการเลือกคู่หูทำธุรกิจที่จะสร้างรายได้ให้อย่างต่อเนื่องไปอีกนานแสนนาน โดยที่เงินทำงานให้เองแบบเงียบๆ และค่อยๆ สะสมความมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ตามเวลา


แชร์ให้เพื่อน