เรื่องการติดกับดักหุ้นดีแต่ราคาแพงเนี่ย มันเกิดขึ้นบ่อยมากในตลาดหุ้นเลย เพราะหลายคนมักจะมองแค่คุณภาพของบริษัทว่าดีเลิศขนาดไหน มีแบรนด์แข็งแกร่ง กำไรโตสวยงาม บริหารงานเก่ง จนลืมไปสนิทว่าหุ้นทุกตัวมันมีป้ายราคาติดอยู่ด้วย แล้วราคานั่นแหละที่เป็นตัวกำหนดว่าการลงทุนครั้งนี้จะคุ้มหรือจะเจ็บตัว
ความจริงที่เจ็บปวดแต่ต้องยอมรับคือ หุ้นที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลก บางทีก็กลายเป็นการลงทุนที่แย่ที่สุดได้ ถ้าซื้อในช่วงที่ราคาพุ่งไปไกลเกินมูลค่าที่มันควรจะเป็น ลองนึกภาพง่ายๆ เหมือนอยากได้โทรศัพท์มือถือรุ่นท็อปสุดในตลาดเลย สเปกแรง กล้องเทพ วัสดุดี ทนทาน ทุกคนยกย่อง แต่ถ้ามีคนมาขายให้ในราคาเครื่องละห้าแสนบาท ทั้งที่ราคาปกติแค่ห้าหมื่น ต่อให้เครื่องนั้นดีแค่ไหน การจ่ายแพงขนาดนั้นก็ยังถือว่าผิดพลาดมหันต์ เพราะสิ่งที่ได้มากับเงินที่เสียไปมันไม่สมดุลกันเลย
การลงทุนในหุ้นก็เหมือนกันเป๊ะ ราคาคือเงินที่ต้องจ่ายไป แต่คุณค่าหรือมูลค่าที่แท้จริงคือสิ่งที่จะได้รับกลับมาในระยะยาว
ที่หุ้นดีๆ บางตัวกลับทำให้คนขาดทุนยับเยินได้ ส่วนใหญ่มาจากความคาดหวังที่ตลาดใส่เข้าไปสูงเกินจริง
เมื่อบริษัททำผลงานดีต่อเนื่องหลายปี กำไรเพิ่มขึ้นสม่ำเสมอ นักลงทุนก็เริ่มตื่นเต้น แห่กันเข้ามาซื้อ จนราคาหุ้นดีดตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ พอถึงจุดหนึ่ง ราคามันไม่ได้สะท้อนแค่กำไรปัจจุบันแล้ว แต่ไปรวมเอากำไรที่ทุกคนคาดหวังว่าจะเกิดในอีกหลายปีข้างหน้าเข้าไปหมดเลย ถ้าวันไหนบริษัทประกาศผลประกอบการออกมาดีตามปกติ แต่มันไม่ได้ “เหนือความคาดหมาย” หรือดีถล่มทลายอย่างที่ตลาดฝันไว้
ราคาหุ้นก็พร้อมร่วงกระจายทันที เพราะความผิดหวังเล็กๆ น้อยๆ นั่นแหละ ทั้งที่ตัวธุรกิจยังแข็งแรงเหมือนเดิม ไม่ได้แย่ลงเลย นี่แหละคือการซื้อหุ้นที่ราคาแพงเกินมูลค่า หรือที่เรียกว่า Overvalued ช่วงเวลาที่อันตรายที่สุดคือตอนที่ทุกคนในตลาดพูดถึงหุ้นตัวนั้นด้วยความตื่นเต้นสุดขีด ข่าวดีเต็มไปหมด โซเชียลมีเดียเต็มไปด้วยคนเชียร์ ทุกคนมองว่าราคาจะขึ้นอีกเยอะ นั่นแหละคือสัญญาณว่าข่าวดีทั้งหมดถูกใส่เข้าไปในราคาเรียบร้อยแล้ว และมักจะเป็นจุดสูงสุดของรอบพอดี
เพื่อหลีกเลี่ยงกับดักแบบนี้ สิ่งที่ช่วยได้มากคือการเข้าใจเครื่องมือพื้นฐานอย่าง P/E Ratio หรืออัตราส่วนราคาต่อกำไรต่อหุ้น
มันคำนวณง่ายๆ คือเอาราคาหุ้นปัจจุบันไปหารด้วยกำไรต่อหุ้นในรอบปีที่ผ่านมา ถ้าค่า P/E ของหุ้นตัวหนึ่งสูงมากผิดปกติ เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตของตัวมันเอง หรือเทียบกับบริษัทอื่นๆ ในอุตสาหกรรมเดียวกัน นั่นคือไฟแดงเตือนว่าราคาอาจจะแพงเกินไปแล้ว เพราะตลาดกำลังจ่ายเงินเพื่อซื้อ “ความหวัง” มากเกินควร บางบริษัทเทคโนโลยีที่โตเร็วๆ ค่า P/E อาจจะสูงถึง 50-100 เท่า ซึ่งบางทีก็สมเหตุสมผลถ้าการเติบโตยังต่อเนื่องจริง แต่ถ้าสูงเกินไปโดยไม่มีพื้นฐานรองรับ พอเติบโตชะลอตัวลงนิดหน่อย ราคาก็ปรับตัวลงแรงได้เลย
นอกจาก P/E แล้ว ยังมีแนวคิดที่ลึกซึ้งและใช้ได้จริงมากคือ Margin of Safety หรือส่วนต่างความปลอดภัย ซึ่งเป็นหลักการที่นักลงทุนระดับตำนานอย่าง Warren Buffett ย้ำอยู่ตลอด ว่าต่อให้เจอบริษัทที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน ก็ต้องรอซื้อในราคาที่ต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงเสมอ ให้มีส่วนลดหรือ buffer ไว้พอสมควร เพื่อป้องกันกรณีที่การวิเคราะห์ผิดพลาด หรือตลาดเกิดความผันผวนกะทันหัน ถ้าซื้อในราคาที่มีส่วนต่างความปลอดภัยสูง การลงทุนก็จะปลอดภัยมากขึ้น แม้ธุรกิจจะสะดุดบ้างก็ยังมีกำไร
อีกเรื่องที่ต้องระวังให้ดีคือวัฏจักรของธุรกิจ เพราะถึงบริษัทจะบริหารเก่งแค่ไหน ถ้าอยู่ในอุตสาหกรรมที่ผันผวนตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์หรือปัจจัยภายนอก
เช่น กลุ่มพลังงานที่ขึ้นกับราคาน้ำมัน กลุ่มขนส่งที่ขึ้นกับค่าระวางเรือ กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ขึ้นกับความต้องการชิป ถ้าซื้อในช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูมสุดขีด กำไรพุ่งกระฉูด ราคาหุ้นก็มักจะแพงสุดขีดเช่นกัน แล้วพอวัฏจักรเปลี่ยนเป็นขาลง ซึ่งมันต้องเปลี่ยนแน่นอน เพราะไม่มีอะไรบูมตลอดไป ราคาหุ้นก็จะทรุดลงยาวนาน บางตัวตกไป 70-80% ก็มีให้เห็นบ่อยๆ แม้ตัวบริษัทจะยังดีอยู่ แต่จังหวะที่ซื้อผิดทำให้ต้องรอนานหลายปีกว่าจะกลับมาเท่าเดิม
สุดท้ายแล้ว หุ้นดีที่ซื้อในราคาที่เหมาะสมหรือถูกกว่ามูลค่าจะสร้างความมั่งคั่งได้มหาศาล
เพราะเวลาทำงานให้เงินเติบโตไปเรื่อยๆ แต่หุ้นดีที่ซื้อแพงเกินไปอาจกลายเป็นฝันร้าย ทำให้เงินหายวับไปครึ่งหนึ่งหรือมากกว่านั้นในเวลาสั้นๆ การลงทุนที่ประสบความสำเร็จจริงๆ จึงไม่ได้ขึ้นอยู่แค่ว่าซื้อหุ้นบริษัทดีตัวไหน แต่ขึ้นอยู่กับว่าราคาที่จ่ายไปนั้นสมเหตุสมผลหรือไม่ ความอดทนรอจังหวะที่ราคาปรับตัวลงมาอยู่ในโซนที่ปลอดภัย รอให้ตลาดตื่นตระหนกหรือมีความผิดหวังชั่วคราว นั่นแหละคือสิ่งที่แยกนักลงทุนที่ร่ำรวยระยะยาวออกจากคนที่มักจะติดดอย รอคอยนานๆ แล้วสุดท้ายก็ยอมตัดขาดทุน การมีวินัยเรื่องราคาและความอดทนคือกุญแจสำคัญที่ทำให้การลงทุนในหุ้นดีกลายเป็นเรื่องที่สวยงามจริงๆ

