สุสานคนเป็น Tomb Watcher 2568 ถ้าคุณชอบหนังแนวระทึกขวัญผสมดราม่าครอบครัวที่พอให้ลุ้น แต่ก็น่ากลัวจนนอนไม่หลับ เรื่อง สุสานคนเป็น (Tomb Watcher) ปี 2568 นี่แหละคือคำตอบ หนังเรื่องนี้กำกับโดย วทัญญู อิงควิวัฒน์ ที่มาพร้อมพล็อตสุดเข้มข้น ผสมความรักต้องห้าม ดราม่าชู้รัก และการแก้แค้นที่ชวนให้ใจสั่น ไปดูกันเลยว่าเรื่องราวมันเป็นยังไง
เรื่องเริ่มจากรักสามเส้าและความตาย
เรื่องราวเริ่มต้นที่ “ลั่นทม” เศรษฐีนีเจ้าของธุรกิจร้อยล้าน ผู้เป็นเมียหลวงที่ทั้งสวย รวย และเก่ง แต่ชีวิตของเธอกลับจบลงอย่างกะทันหันเมื่อเธอเสียชีวิตลง หลังจากนั้น “ชีพ” สามีของลั่นทม ก็ไม่รอช้า ควงแขน “รสสุคนธ์” ชู้รักที่แอบคบกันมานาน ออกมาใช้ชีวิตคู่รักกันแบบเปิดเผยซะเลย เรียกว่าเป็นโอกาสทองที่รสสุคนธ์รอคอยมานานแสนนาน
ชีพชวนรสสุคนธ์ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่บ้านพักตากอากาศสุดหรู ฟังดูเหมือนจะเป็นการเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่แสนหวานชื่น แต่เดี๋ยวก่อน! เรื่องมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น เพราะเมื่อรสสุคนธ์ก้าวเข้าไปในบ้านหลังนี้ เธอก็ต้องเจอกับความสยองขวัญที่คาดไม่ถึง
โลงแก้วปริศนากับความลับสุดหลอน
ถ้าคุณย้ายเข้าไปอยู่ในบ้านใหม่กับแฟน แล้วจู่ ๆ ก็เจอ โลงแก้ว ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในบ้าน และในโลงนั้นคือศพของ ลั่นทม เมียหลวงที่ควรจะตายไปแล้ว รสสุคนธ์เจอแบบนั้นจริง ๆ ศพของลั่นทมที่ดูเหมือนจะ “ยังไม่ไปไหน” กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความหลอนที่ทำให้คนดูอย่างเราต้องเกร็ง
แต่เรื่องมันยิ่งซับซ้อนกว่านั้น เพราะชีพและรสสุคนธ์ถูกบังคับให้ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ด้วย เงื่อนไขบางอย่าง ที่ผูกติดกับความรักต้องห้ามของทั้งคู่ เงื่อนไขนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินหรือมรดกนะ แต่เป็นอะไรที่ลึกซึ้งและน่ากลัวกว่านั้นมาก มันเกี่ยวโยงกับความรักที่ผิดศีลธรรม ความลับที่ถูกซ่อนไว้ และการแก้แค้นที่ค่อย ๆ คลายปมออกมาทีละนิด จนกลายเป็นฝันร้ายที่ทั้งคู่ (และคนดู) ต้องเผชิญ
สุสานคนเป็น ไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญธรรมดา แต่มันผสมผสานความดราม่าของความสัมพันธ์รักสามเส้าเข้ากับความลึกลับและความหลอนได้อย่างลงตัว ตัวละครแต่ละตัวมีปมในใจที่ทำให้เราอยากรู้ว่าเรื่องราวจะไปจบที่ตรงไหน ลั่นทมที่ตายไปแล้วจะกลับมาแก้แค้นยังไง? ชีพและรสสุคนธ์จะหนีจากเงื่อนไขลึกลับนี้ได้หรือเปล่า? แล้วโลงแก้วนั้นมันซ่อนอะไรไว้กันแน่? ต่อไปนี้คือเนื้อเรื่องสำคัญของละคร
แสงจันทร์สาดส่องลงบนบ้านพักตากอากาศอันเงียบสงบ รสสุคนธ์ เดินตาม ชีพ เข้ามาในบ้านด้วยหัวใจพองโต ในที่สุด เธอก็ได้ครองรักกับชายที่เธอหลงรักมานาน หลังจากการตายของ ลั่นทม เมียหลวงเศรษฐินีที่ร่ำรวยสุดขีด ชีพสัญญากับรสสุคนธ์ว่าจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยกันที่นี่ บ้านที่ควรจะเป็นสวรรค์ของคู่รัก
แต่เมื่อรสสุคนธ์ก้าวเข้าไปในห้องโถงใหญ่ ความหนาวเย็นที่ไม่สมเหตุสมผลก็แผ่ออกมาจากมุมหนึ่งของบ้าน สายตาของเธอหยุดอยู่ที่ โลงแก้ว อันงดงามวางเด่นเป็นสง่ากลางห้อง ภายในนั้นคือร่างของลั่นทม ใบหน้าซีดขาวแต่ยังคงงดงามราวมีชีวิต รสสุคนธ์กรีดร้อง ใจเต้นแรงราวจะระเบิด “ชีพ! นี่มันอะไรกัน?!” เธอตะโกน แต่ชีพเพียงยิ้มแห้ง ๆ และบอกว่า “แค่ของตกแต่ง ไม่ต้องคิดมาก”
รสสุคนธ์อยากหนีออกจากบ้านหลังนี้ทันที แต่ชีพยืนยันว่าพวกเขาไม่มีทางเลือก เงื่อนไขในพินัยกรรมของลั่นทมระบุชัด: ถ้าชีพต้องการครอบครองมรดก เขาต้องอาศัยในบ้านหลังนี้เป็นเวลาหนึ่งปี รสสุคนธ์รู้สึกถึงความผิดปกติ แต่ความรักทำให้เธอยอมจำนน เธอเลือกอยู่ต่อเพื่อชีพ
แต่ทุกคืน ความหลอนเริ่มคืบคลาน เสียงฝีเทาเบา ๆ ดังจากชั้นบน รสสุคนธ์ตื่นขึ้นมากลางดึกและเห็นเงาคล้ายลั่นทมยืนอยู่ที่ปลายเตียง ดวงตาคู่สวยจ้องมองเธอด้วยความโกรธแค้น รสสุคนธ์พยายามบอกตัวเองว่านี่เป็นแค่จินตนาการ แต่เมื่อเธอพบว่าชีพเริ่มมีท่าทีหวาดระแวงและซ่อนบางอย่างจากเธอ ความสงสัยก็เริ่มก่อตัว
คืนหนึ่ง รสสุคนธ์ตัดสินใจเผชิญหน้ากับความกลัว เธอเดินไปที่โลงแก้วเพื่อตรวจดูให้แน่ใจว่าร่างของลั่นทม “ตาย” จริง ๆ แต่เมื่อมือของเธอสัมผัสโลง แสงวูบวาบจากภายในทำให้เธอเห็นภาพในอดีต—ภาพที่ชีพและตัวเธอเองยื่นยาพิษให้ลั่นทมในคืนที่เธอเสียชีวิต! ความจริงอันโหดร้ายปรากฏขึ้น: การตายของลั่นทมไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นการฆาตกรรมที่ทั้งคู่วางแผนไว้เพื่อครอบครองทรัพย์สมบัติ
ที่แย่กว่านั้นคือ ลั่นทมรู้เรื่องนี้ตั้งแต่แรก เธอฉลาดเกินกว่าที่ทั้งคู่จะคาดถึง ลั่นทมใช้ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ผสมผสานกับพิธีกรรมลึกลับ สร้างโลงแก้วที่รักษาร่างกายของเธอให้เหมือนมีชีวิต และฝัง คำสาป ไว้ในบ้านเพื่อลงโทษคนที่ทรยศเธอ คำสาปนี้จะทำให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการตายของเธอต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดและความกลัวจนกว่าชีวิตจะดับสูญ
ความหลอนทวีคูณ รสสุคนธ์เริ่มเห็นลั่นทมในทุกมุมของบ้าน บางครั้งเป็นเงา บางครั้งเป็นร่างที่ยิ้มเยาะเย้ย ชีพเองก็เริ่มเสียสติ เขาเล่าให้รสสุคนธ์ฟังว่าเขาฝันเห็นลั่นทมทุกคืน เธอบอกเขาว่า “แกหนีฉันไม่ได้” ทั้งคู่พยายามทำลายโลงแก้วเพื่อหยุดคำสาป แต่ทุกครั้งที่พยายาม โลงนั้นกลับแข็งแกร่งราวกับมีพลังปกป้อง
รสสุคนธ์เริ่มตระหนักว่าเธอรักชีพจนยอมทำผิด แต่ชีพกลับไม่เหมือนเดิม เขาดูเหมือนจะปกป้องตัวเองมากกว่าความรักของทั้งคู่ ในคืนสุดท้าย ชีพตัดสินใจหนีออกจากบ้าน ทิ้งรสสุคนธ์ไว้เผชิญหน้ากับความมืดเพียงลำพัง
สุสานคนเป็น ผสมผสานความสยองขวัญแบบจิตวิทยาเข้ากับดราม่ารักสามเส้าที่เข้มข้นได้อย่างลงตัว การแสดงของ วรนุช ภิรมย์ภักดี ในบทลั่นทมคือจุดเด่นที่ทำให้คนดูทั้งรักทั้งกลัว ส่วน อรัชพร โภคินภากร และ ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล ก็ถ่ายทอดความซับซ้อนของตัวละครได้ดีเยี่ยม ต่อไปนี้คือจุดเด่นของละคร
การแสดงสุดปัง
วรนุช ภิรมย์ภักดี ในบทลั่นทมคือตัวแม่แห่งวงการจริง ๆ เธอถ่ายทอดความสง่างามและความน่ากลัวได้อย่างลงตัว แม้จะปรากฏในบทที่ “ไม่ค่อยมีชีวิต” แต่ทุกฉากที่เธออยู่คือขโมยซีนสุด ๆ อรัชพร โภคินภากร ก็ไม่น้อยหน้า เล่นเป็นรสสุคนธ์ที่ทั้งเปราะบางและมีความรักแบบยอมทำทุกอย่างได้น่าเห็นใจ ส่วน ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล ในบทชีพก็นำเสนอความเป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัวได้น่าหมั่นไส้สุด ๆ
บรรยากาศหลอนแบบจิตวิทยา
หนังไม่ได้พึ่งผีโผล่มาหลอกแบบ jumpscare เยอะ ๆ แต่ใช้ความกดดันทางจิตใจและความรู้สึกผิดของตัวละครมาสร้างความหลอน การออกแบบบ้านพักตากอากาศและโลงแก้วให้ความรู้สึกทั้งสวยงามและน่าขนลุกในเวลาเดียวกัน ซาวนด์ประกอบก็ช่วยบิ้วท์อารมณ์ได้ดีมาก โดยเฉพาะฉากที่เงียบจนได้ยินแค่เสียงลมหายใจ
พล็อตที่ผสมผสานได้ลงตัว
การผสมดราม่ารักสามเส้าเข้ากับความสยองขวัญและปมแก้แค้นคือจุดขายของเรื่องนี้ หนังทำให้เราลุ้นว่าใครจะรอด ใครจะร่วง และความลับของโลงแก้วคืออะไร ปมต่าง ๆ ค่อย ๆ เผยออกมาแบบไม่รีบร้อนเกินไป ทำให้คนดูอยากติดตามจนจบ
คะแนนรวม 8/10 สุสานคนเป็น (Tomb Watcher) ปี 2568 เป็นหนังที่ผสมความสยองขวัญและดราม่าได้อย่างน่าประทับใจ การกำกับของ วทัญญู อิงควิวัฒน์ และการแสดงของสามนักแสดงนำทำให้เรื่องนี้โดดเด่น แม้จะมีบางจังหวะที่ช้าไปบ้าง แต่โดยรวมคือสนุก ลุ้น และหลอนพอให้คุยกับเพื่อนได้ยาว ๆ หลังดูจบ คุณพร้อมจะก้าวเข้าไปในบ้านที่มีโลงแก้วตั้งอยู่หรือยัง? ไปพิสูจน์ด้วยตัวเองเลย
ตั้งแต่ฉากแรกที่ รสสุคนธ์ (อรัชพร โภคินภากร) และ ชีพ (ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล) ย้ายเข้าไปในบ้านพักตากอากาศ ความรู้สึกตื่นเต้นก็เริ่มมาเลย บรรยากาศในบ้านที่ทั้งสวยหรูแต่ชวนขนลุกมันทำให้รู้สึกเหมือนตัวเองเข้าไปอยู่ในนั้นด้วย พอเจอ โลงแก้ว ที่มีร่างของ ลั่นทม (วรนุช ภิรมย์ภักดี) วางอยู่กลางบ้าน บอกเลยว่าใจหล่นไปที่ตาตุ่ม! หนังไม่ได้ใช้ผีโผล่แบบ jumpscare เยอะ แต่ความหลอนแบบค่อย ๆ บิ้วท์อารมณ์นี่แหละที่ทำให้ต้องเกร็งตลอดเวลา
ทุกครั้งที่มีเงาแวบ ๆ หรือเสียงแปลก ๆ ดังขึ้นในฉาก ใจมันก็ลุ้นว่า “อะไรจะเกิดต่อวะเนี่ย?” โดยเฉพาะฉากที่รสสุคนธ์เริ่มเห็นภาพหลอนของลั่นทม มันชวนให้รู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองอยู่ตลอดเวลา นี่คือความสยองขวัญแบบจิตวิทยาที่เล่นกับหัวใจคนดูได้ดีมาก
นอกจากความหลอน หนังยังพาไปเจาะลึกดราม่าความสัมพันธ์ของตัวละครที่ซับซ้อนสุด ๆ การได้เห็น รสสุคนธ์ ที่รักชีพจนยอมทำทุกอย่าง แม้จะรู้ว่าเป็นรักต้องห้าม มันทำให้รู้สึกทั้งสงสารและหงุดหงิดในเวลาเดียวกัน ส่วน ชีพ นี่คือตัวละครที่ทำให้รู้สึกหมั่นไส้สุด ๆ เพราะความเห็นแก่ตัวของเขา ส่วน ลั่นทม แม้จะปรากฏในฐานะ “คนที่จากไป” แต่ทุกครั้งที่เธอโผล่มา กลับทำให้รู้สึกถึงพลังของความแค้นและความเจ็บปวดที่ลึกซึ้ง
ฉากที่ตัวละครต้องเผชิญหน้ากับความผิดของตัวเอง โดยเฉพาะช่วงท้ายที่ปมทุกอย่างค่อย ๆ เผยออกมา มันทำให้รู้สึกสะเทือนใจมาก รู้สึกเหมือนได้เห็นด้านมืดของความรักและความโลภที่นำไปสู่จุดจบที่ไม่มีใครคาดถึง หนังทำให้เรานั่งคิดว่า “ถ้าฉันเป็นตัวละครนี้ ฉันจะเลือกยังไง?”
การแสดงของ วรนุช ภิรมย์ภักดี คือสิ่งที่ทำให้อารมณ์ค้างหลังดูจบ เธอเล่นบทลั่นทมได้ทั้งสง่างามและน่ากลัวจนขนลุก ทุกครั้งที่เห็นหน้าเธอในโลงแก้วหรือในภาพหลอน มันเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้รู้สึกว่าเธอ “ยังอยู่” จริง ๆ อรัชพร ก็ทำให้รู้สึกถึงความเปราะบางของรสสุคนธ์ได้ดีมาก ส่วน ธนเวทย์ ในบทชีพก็ทำให้อยากตะโกนใส่ว่า “ทำไมแกทำแบบนี้!” การกำกับของ วทัญญู อิงควิวัฒน์ ก็ต้องชื่นชม เพราะเขาสร้างบรรยากาศที่ทั้งสวยและหลอนได้ลงตัวสุด ๆ
ดนตรีประกอบและการออกแบบฉากก็เป็นอีกจุดที่ทำให้รู้สึกว้าว โดยเฉพาะโลงแก้วที่เป็นเหมือนหัวใจของเรื่อง มันทั้งสวยและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ทำให้รู้สึกเหมือนมันมีชีวิตจริง ๆ
ถ้าจะให้ติหน่อย บางช่วงของหนังรู้สึกช้าไปนิด โดยเฉพาะตอนที่เน้นดราม่าความสัมพันธ์เยอะ ๆ ทำให้ความตื่นเต้นจากความสยองขวัญลดลงบ้าง แต่ก็เข้าใจว่านี่คือส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวสมบูรณ์ อีกอย่างคือบางปมในเรื่องเดาได้ไม่ยาก ถ้าเป็นคอหนังสยองขวัญอาจจะรู้สึกว่าไม่เซอร์ไพรส์เท่าที่หวัง แต่โดยรวมก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสเสีย
สุสานคนเป็น ให้ความรู้สึกคือทั้งตื่นเต้น สะเทือนใจ และหลอนในเวลาเดียวกัน หนังทำให้เรานั่งลุ้นตลอด 90 นาที และออกจากโรงมาด้วยคำถามในใจว่า “ความรักมันคุ้มค่าขนาดนั้นจริงเหรอ?” และ “ถ้าฉันทำผิดแบบนี้ ฉันจะหนีจากความรู้สึกผิดได้มั้ย?” มันเป็นหนังที่ทำให้อยากชวนเพื่อนมาคุยต่อว่าแต่ละคนรู้สึกยังไงกับตอนจบ ถ้าคุณชอบหนังที่ผสมความสยองขวัญแบบจิตวิทยาเข้ากับดราม่ารักสุดเข้มข้น เรื่องนี้จะทำให้คุณอินจนลืมไม่ลง
สุสานคนเป็น Tomb Watcher 2568
สุสานคนเป็น Tomb Watcher 2568
เรื่องนี้เริ่มด้วย ลั่นทม (รับบทโดย วรนุช ภิรมย์ภักดี) เศรษฐินีตัวแม่ เจ้าของธุรกิจร้อยล้าน สวย รวย เก่ง ครบสูตร แต่โชคร้าย เธอดันเสียชีวิตแบบกะทันหัน ปล่อยให้ ชีพ (ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล) สามีของเธอ อยู่กับ รสสุคนธ์ (อรัชพร โภคินภากร) ชู้รักที่แอบคบกันมานาน พอลั่นทมไม่อยู่ ชีพก็ไม่รอช้า ควงรสสุคนธ์ไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่บ้านพักตากอากาศสุดหรู ฟังดูหวานชื่นใช่มั้ย? แต่ เรื่องมันกำลังจะพีค
พอรสสุคนธ์ก้าวเข้าไปในบ้านพักตากอากาศ สิ่งแรกที่เจอคือ ตู้ม โลงแก้ว ตั้งเด่นเป็นสง่ากลางบ้าน และในนั้นคือร่างของ ลั่นทม เมียหลวงที่ควรจะตายไปแล้ว ขนลุกเลยใช่มั้ยล่ะ? รสสุคนธ์ถึงกับช็อก ถามชีพว่า “นี่มันอะไรกันเนี่ย?!” แต่ชีพทำหน้านิ่ง ๆ บอกแค่ว่า “อย่าคิดมาก” แบบนี้ใครจะไม่คิดมากวะ ศพเมียเก่าอยู่ในบ้าน มันต้องมีอะไรไม่ปกติแน่ ๆ
ที่แย่กว่านั้นคือ ทั้งคู่ หนีออกจากบ้านไม่ได้ เพราะมีเงื่อนไขลึกลับบางอย่างผูกมัดไว้ ถ้าอยากได้มรดกก้อนโตของลั่นทม ต้องอยู่ในบ้านหลังนี้ต่อไป เงื่อนไขนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเงินนะ แต่เหมือนมีพลังอะไรบางอย่างในบ้านที่ทำให้รู้สึกเหมือนถูกจับตาท ฟีลนี้มันหลอนมาก
จากจุดนี้ เรื่องมันเริ่มเข้มข้นขึ้นเรื่อย ๆ รสสุคนธ์เริ่มเห็นอะไรแปลก ๆ ในบ้าน เช่น เงาของลั่นทมที่โผล่มาจากมุมมืด เสียงฝีเทาในตอนดึก หรือบางทีก็รู้สึกเหมือนมีคนยืนอยู่ข้างหลัง ชีพเองก็เริ่มมีท่าทีแปลก ๆ เหมือนรู้อะไรบางอย่างแต่ไม่ยอมบอก ทำเอาคนดูอย่างเราอยากตะโกนว่า “พี่ บอกมาเถอะ! อย่าปล่อยให้รสสุคนธ์ลุ้นคนเดียว!”
บอกเลยว่า ต้องดู ถ้าคุณชอบหนังสยองขวัญที่ผสมดราม่าและมีปมให้ลุ้น สุสานคนเป็น จะไม่ทำให้ผิดหวัง การกำกับของวทัญญู อิงควิวัฒน์คือดีงาม การแสดงของนักแสดงนำคือระดับท็อป และเรื่องราวที่ผสมความรัก ความแค้น และความหลอนมันทำให้อยากชวนเพื่อนมาดูด้วยกัน
เบื้องหลังการสร้าง สุสานคนเป็น (Tomb Watcher) ปี 2568 หนังสยองขวัญผสมดราม่าที่กำลังมาแรง และที่สำคัญ หนังเรื่องนี้กำกับโดย วทัญญู อิงควิวัฒน์ ผู้กำกับสุดเจ๋งที่ทำให้เราหลอนจนนอนไม่หลับ มาดูกันว่าเบื้องหลังการทำงานของพี่เขามันเด็ดยังไง

พี่วทัญญูคือผู้กำกับที่ขึ้นชื่อเรื่องการเล่าเรื่องที่ผสมความสยองขวัญแบบจิตวิทยาเข้ากับดราม่าที่บีบหัวใจ ถ้าใครเคยดูผลงานเก่า ๆ ของเขา จะรู้เลยว่าเขามีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ชอบเล่นกับอารมณ์คนดูแบบให้ลุ้นจนตัวเกร็ง และใน สุสานคนเป็น เขาก็ใส่ความเป็นตัวเองลงไปเต็ม ๆ
วทัญญูเล่าว่าเขาได้ไอเดียจากความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนในชีวิตจริง ผสมกับความหลอนแบบไทย ๆ ที่ไม่ต้องพึ่งผีโผล่ แต่เน้นความกดดันทางจิตใจ เขาอยากทำหนังที่ทำให้คนดูรู้สึกเหมือนถูกขังอยู่ในบ้านกับตัวละคร และต้องเผชิญหน้ากับความผิดของตัวเอง ลึกซึ้งมาก
โลงแก้วที่เป็นเหมือนหัวใจของเรื่องนี่คือไอเดียสุดปังของวทัญญู เขาอยากให้มันดูทั้งสวยและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน ทีมงานเลยต้องออกแบบโลงให้ดูเหมือนของจริง ใช้กระจกพิเศษที่สะท้อนแสงได้แบบหลอน ๆ และต้องเซ็ตฉากให้มันเด่นสุดในบ้าน ทุกคน ทีมงานคือทุ่มสุดตัว การถ่ายฉากโลงแก้วนี่ต้องใช้เวลาเป็นวัน ๆ เพื่อให้ได้ฟีลที่ทั้งสวยและสะพรึง
วทัญญูทำงานใกล้ชิดกับ วรนุช ภิรมย์ภักดี (ลั่นทม), อรัชพร โภคินภากร (รสสุคนธ์), และ ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล (ชีพ) เพื่อดึงความรู้สึกของตัวละครออกมา เขาบอกว่าเขาจะคุยกับนักแสดงก่อนถ่ายทุกฉาก เพื่อให้ทุกคนเข้าใจปมลึก ๆ ของตัวละคร โดยเฉพาะฉากที่รสสุคนธ์ต้องเผชิญหน้ากับความกลัว วทัญญูถึงกับให้อรัชพรอยู่ในห้องมืดคนเดียวก่อนถ่าย เพื่อให้ได้ฟีลหวาดระแวงจริง ๆ โหดไปอีก
การถ่ายทำในบ้านพักตากอากาศนี่ไม่ง่ายเลย เพราะต้องทำให้บ้านดูทั้งหรูและหลอนในเวลาเดียวกัน ทีมงานต้องควบคุมแสงให้ได้อารมณ์กดดัน และต้องเซ็ตระบบเสียงให้ได้ยินทุกอย่าง ตั้งแต่ลมพัดยันฝีเทา วทัญญูบอกว่าเขาอยากให้คนดูรู้สึกเหมือนอยู่ในบ้านนั้นจริง ๆ เลยต้องพิถีพิถันทุกดีเทล นับถือใจทีมงานเลย
วทัญญูบอกว่า สุสานคนเป็น ไม่ใช่แค่หนังสยองขวัญ แต่เป็นเรื่องของผลที่ตามมาจากความรักที่ผิดศีลธรรม เขาอยากให้คนดูตั้งคำถามกับตัวเองว่า “ถ้าเราทำผิดแบบนี้ เราจะหนีจากความรู้สึกผิดได้มั้ย?” ฟังแล้วรู้สึกเลยว่าเขาตั้งใจใส่อารมณ์ลงไปในหนังเต็ม ๆ
การได้รู้เบื้องหลังจาก วทัญญู อิงควิวัฒน์ ทำให้รู้เลยว่า สุสานคนเป็น ไม่ใช่แค่หนังหลอน ๆ แต่เป็นงานศิลปะที่ทีมงานทุ่มเทสุดตัว ตั้งแต่การออกแบบโลงแก้ว การกำกับนักแสดงให้ถึงอารมณ์ ไปจนถึงการสร้างบรรยากาศที่ทำให้เราขนลุก ถ้าคุณดูหนังเรื่องนี้แล้ว รับรองว่าการรู้เบื้องหลังจะทำให้อินยิ่งกว่าเดิม
นักแสดง
→ วรนุช ภิรมย์ภักดี รับบท ลั่นทม

ลั่นทมคือเศรษฐินีตัวท็อป เจ้าของธุรกิจร้อยล้าน สวยสง่า ฉลาด และมีออร่าที่ทำให้ทุกคนต้องยอมสยบ แต่ชีวิตของเธอจบลงแบบกะทันหันด้วยการเสียชีวิตที่เต็มไปด้วยปริศนา แม้จะตายไปแล้ว แต่ลั่นทมยังคงเป็นตัวละครหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องราวผ่านร่างในโลงแก้วสุดหลอน และพลังแห่งความแค้นที่ทำให้ทั้ง ชีพ สามี และ รสสุคนธ์ ชู้รัก ต้องเผชิญหน้ากับฝันร้าย วรนุชเล่นบทนี้ได้แบบทั้งสง่างามและน่าสะพรึงกลัว ทุกครั้งที่ปรากฏตัว ไม่ว่าจะในโลงหรือในภาพหลอน มันเหมือนมีพลังบางอย่างที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าเธอยังมีชีวิตอยู่จริงๆ
ลั่นทมไม่ใช่แค่เมียหลวงที่ถูกทรยศ เธอคือสัญลักษณ์ของความยุติธรรมที่กลับมาเอาคืนแบบไม่ให้ใครหนีรอด การแสดงของวรนุชทำให้เราเห็นทั้งด้านที่เปราะบางจากความเจ็บปวดของการถูกหักหลัง และด้านที่แข็งแกร่งเหมือนราชินีที่พร้อมลงโทษคนที่ทำร้ายเธอ บอกเลยว่านี่คือคาแร็คเตอร์ที่ทั้งลึกซึ้งและทรงพลัง
ฉายา ราชินีแห่งโลงแก้ว
ถ้าจะให้ฉายาเด็ดๆ แก่ลั่นทม ต้องยกให้ ราชินีแห่งโลงแก้ว เพราะโลงแก้วที่เก็บร่างของเธอคือศูนย์กลางของความหลอนในเรื่อง มันไม่ใช่แค่ของตกแต่ง แต่เหมือนเป็นตัวแทนของความแค้นและพลังของลั่นทมที่ยังคงครอบงำทุกคนในบ้าน วรนุชถ่ายทอดบทนี้ได้แบบทำให้โลงแก้วดูมีชีวิต ทุกครั้งที่กล้องแพนไปที่ร่างของเธอในโลง มันเหมือนเธอกำลังจ้องมองทั้งตัวละครและคนดู ราวกับบอกว่า “แกหนีฉันไม่พ้นหรอก” บอกเลยว่าฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เพราะลั่นทมคือราชินีที่ปกครองเรื่องราวนี้จากในโลงแก้ว
ข้อคิด ความรักที่ถูกทรยศนำมาซึ่งผลลัพธ์ที่เจ็บปวด
ข้อคิดที่ได้จากลั่นทมคือ การทรยศในความรักอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครอยากเจอ ลั่นทมถูกสามีและชู้รักหักหลัง ซึ่งนำไปสู่การแก้แค้นที่ทั้งน่าสะพรึงกลัวและสะเทือนใจ ตัวละครนี้สอนให้เราเห็นว่าความรักที่เริ่มจากความผิดศีลธรรมมักจบลงด้วยความเจ็บปวด ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายที่ถูกทรยศอย่างลั่นทม หรือฝ่ายที่ทรยศอย่างชีพและรสสุคนธ์ หนังทำให้เราคิดว่า ถ้าเราเลือกที่จะทำร้ายคนที่รักเรา สุดท้ายเราอาจต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกผิดและผลกรรมที่ตามมา บอกเลยว่าข้อคิดนี้มันหนักหน่วงและทำให้เรานั่งนึกถึงตัวเลือกในชีวิตจริงๆ
→ อรัชพร โภคินภากร รับบท รสสุคนธ์

รสสุคนธ์คือชู้รักของ ชีพ (ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล) ผู้ชายที่แต่งงานกับ ลั่นทม เศรษฐินีสุดปัง เธอเป็นผู้หญิงที่รักชีพสุดหัวใจ รอมานานแสนนานเพื่อได้ใช้ชีวิตคู่รักกับเขาอย่างเปิดเผย พอลั่นทมตาย รสสุคนธ์คิดว่านี่คือโอกาสทอง แต่พอย้ายไปอยู่บ้านพักตากอากาศกับชีพ ฝันหวานๆ กลับกลายเป็นฝันร้ายเมื่อเจอโลงแก้วที่มีร่างของลั่นทมตั้งอยู่กลางบ้าน อรัชพรเล่นบทนี้ได้แบบทำให้เรารู้สึกถึงความเปราะบาง ความหวาดกลัว และความรักที่ยอมทำทุกอย่าง แม้ว่าจะผิดศีลธรรม เธอคือตัวละครที่ทำให้เรานั่งลุ้นว่า “จะรอดมั้ยเนี่ย?” และในขณะเดียวกันก็แอบหงุดหงิดที่เธอยอมให้ความรักพาไปในทางที่อันตราย
รสสุคนธ์ต้องเผชิญหน้ากับทั้งความหลอนจากโลงแก้วและความรู้สึกผิดในใจตัวเอง อรัชพรถ่ายทอดความซับซ้อนของตัวละครนี้ออกมาได้ดีมาก ฉากที่เธอหวาดกลัวจนตัวสั่นหรือฉากที่ยอมรับความผิดคือพีคสุด ทำให้เราอินไปกับการเดินทางของเธอตั้งแต่ต้นจนจบ
ฉายา นางเอกแห่งความรักต้องห้าม
ถ้าจะให้ฉายาเด็ดๆ แก่รสสุคนธ์ ต้องเป็น นางเอกแห่งความรักต้องห้าม เพราะเธอคือตัวแทนของคนที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อความรัก แม้ว่าจะรู้ว่ามันผิด รสสุคนธ์รักชีพจนยอมอยู่ในความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความลับและบาป เธอเป็นเหมือนนางเอกในนิยายรักที่ต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์สุดสะพรึง อรัชพรทำให้ฉายานี้สมบูรณ์แบบด้วยการแสดงที่แสดงถึงความรักที่ทั้งบริสุทธิ์และบิดเบี้ยว ทุกครั้งที่เธอมองชีพด้วยสายตาเต็มไปด้วยความหวัง หรือตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับภาพหลอนของลั่นทม มันเหมือนรสสุคนธ์กำลังบอกเราว่า “ฉันรักเขาจนยอมจมลงไปในนรก” บอกเลยว่าฉายานี้คือเป๊ะ
ข้อคิด ความรักที่ครอบงำอาจนำไปสู่การทำลายตัวเอง
ข้อคิดที่ได้จากรสสุคนธ์คือ ความรักที่ครอบงำจนขาดสติอาจทำลายทั้งตัวเราและคนรอบข้าง รสสุคนธ์ยอมให้ความรักที่มีต่อชีพพาเธอไปสู่ทางเลือกที่ผิดศีลธรรม ซึ่งนำไปสู่ความหลอนและความรู้สึกผิดที่ตามหลอกหลอนเธอในบ้านพักตากอากาศ ตัวละครนี้สอนให้เราเห็นว่าการรักใครสักคนมากเกินไปจนลืมมองความถูกต้องอาจทำให้เราต้องจ่ายราคาแพง อรัชพรถ่ายทอดความรู้สึกของรสสุคนธ์ได้แบบทำให้เรานึกถึงตัวเอง ว่าถ้าเราเคยรักใครจนยอมทำอะไรที่รู้ว่าไม่ควร มันอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เจ็บปวดเหมือนที่รสสุคนธ์เจอ
→ ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล รับบท ชีพ

ชีพคือสามีของ ลั่นทม เศรษฐินีร้อยล้าน และแฟนลับๆ ของ รสสุคนธ์ ชู้รักที่เขาคบซ้อนมานาน พอเมียหลวงตาย ชีพก็ควงรสสุคนธ์ย้ายไปอยู่ที่บ้านพักตากอากาศเพื่อเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่เดี๋ยวก่อน เพราะบ้านหลังนี้มีโลงแก้วของลั่นทมรออยู่ และมันคือจุดเริ่มต้นของฝันร้าย ธนเวทย์เล่นบทชีพได้แบบทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นผู้ชายที่ทั้งเจ้าเล่ห์และเห็นแก่ตัว มีความลับซ่อนอยู่ในสายตาและรอยยิ้มที่ดูไม่น่าไว้ใจ
ชีพไม่ใช่แค่สามีที่ทรยศเมีย แต่เขายังเป็นตัวละครที่เหมือนจะควบคุมทุกอย่างได้ แต่สุดท้ายก็ต้องเผชิญหน้ากับผลของการกระทำตัวเอง ธนเวทย์ถ่ายทอดความซับซ้อนของชีพออกมาได้ดีมาก ฉากที่เขาเริ่มหวาดระแวงหรือพยายามปกป้องตัวเองคือทำให้เราอยากตะโกนว่า “ทำไมแกทำแบบนี้วะ” เขาคือตัวละครที่ทำให้เราทั้งเกลียดและอยากรู้ว่าเขาจะจบยังไง
ฉายา จอมทรยศแห่งบ้านหลอน
ถ้าจะให้ฉายาเจ๋งๆ แก่ชีพ ต้องยกให้ จอมทรยศแห่งบ้านหลอน เพราะชีพคือตัวละครที่ทรยศทุกคนรอบตัว ไม่ว่าจะเป็นลั่นทมเมียหลวงที่เขานอกใจ หรือแม้แต่รสสุคนธ์ที่เขาดูเหมือนจะรักแต่ก็พร้อมทิ้งเมื่อเจอปัญหา ธนเวทย์ทำให้ฉายานี้สมบูรณ์แบบด้วยการแสดงที่เต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์และความเห็นแก่ตัว ทุกครั้งที่เขาอยู่ในฉาก โดยเฉพาะตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับโลงแก้วหรือความหลอนในบ้าน มันเหมือนเขากำลังพยายามหนีจากเงาของการทรยศที่ตามหลอกหลอน บอกเลยว่าชีพคือตัวแทนของคนที่คิดว่าตัวเองรอดได้ทุกสถานการณ์ แต่สุดท้ายก็ต้องเจอผลกรรม
ข้อคิด ความเห็นแก่ตัวอาจนำไปสู่จุดจบที่เลวร้าย
ข้อคิดที่ได้จากชีพคือ ความเห็นแก่ตัวและการทรยศอาจนำไปสู่จุดจบที่ไม่มีทางหนีพ้น ชีพเลือกที่จะนอกใจลั่นทมและใช้รสสุคนธ์เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง แต่การตัดสินใจเหล่านี้ทำให้เขาต้องติดอยู่ในบ้านที่เต็มไปด้วยความหลอนและความรู้สึกผิด ธนเวทย์ถ่ายทอดให้เห็นว่าความเห็นแก่ตัวของชีพคือสิ่งที่ทำลายทั้งตัวเขาและคนรอบข้าง ข้อคิดนี้ทำให้เรานึกถึงการกระทำในชีวิตจริง ว่าถ้าเราเลือกเห็นแก่ตัวโดยไม่สนใจความรู้สึกของคนอื่น สุดท้ายเราอาจต้องเจอกับผลลัพธ์ที่เจ็บปวดไม่ต่างจากชีพ
หลังจากความสยองขวัญในภาคแรกของ สุสานคนเป็น ที่ทำให้ผู้ชมทั้งหลอนและสะเทือนใจ คำสาปของลั่นทมยังคงวนเวียนอยู่ในใจทุกคน ภาค 2 นี้จะพาคุณดำดิ่งสู่ชั้นลึกยิ่งขึ้นของความแค้นและความลับที่ซ่อนเร้น
เรื่องราวภาค 2 เริ่มต้นหนึ่งปีหลังจากเหตุการณ์ในบ้านพักตากอากาศ รสสุคนธ์ (อรัชพร โภคินภากร) ผู้รอดชีวิตคนเดียวจากคำสาปของลั่นทม ใช้ชีวิตแบบเงียบเชียบในกรุงเทพฯ เธอพยายามลืมทุกอย่าง โดยทำงานเป็นที่ปรึกษาธุรกิจเล็กๆ เพื่อหลีกหนีจากความมั่งคั่งที่เคยเป็นของลั่นทม แต่ความสงบนั้นพังทลายลงเมื่อเธอได้รับจดหมายลึกลับจากทนายความของลั่นทม ที่เปิดเผยมรดกส่วนที่สองธุรกิจโรงงานผลิตเครื่องประดับแก้วที่ซ่อนอยู่ในต่างจังหวัด จดหมายนั้นมาพร้อมกับเงื่อนไข รสสุคนธ์ต้องไปดูแลโรงงานเป็นเวลาหกเดือน มิเช่นนั้น มรดกทั้งหมดจะถูกบริจาคให้มูลนิธิที่ลั่นทมเคยก่อตั้งเพื่อช่วยเหลือผู้หญิงที่ถูกทรยศในความรัก
ด้วยความอยากรู้และความรู้สึกผิดที่ยังค้างคา รสสุคนธ์ตัดสินใจย้ายไปยังโรงงานเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ใกล้ป่าทึบ โรงงานแห่งนี้เคยเป็นจุดเริ่มต้นของอาณาจักรธุรกิจของลั่นทม และที่นั่น เธอได้พบกับตัวละครใหม่: ธิดา (รับบทโดยนักแสดงหน้าใหม่ชื่อดัง) ลูกสาวบุญธรรมของลั่นทมที่เพิ่งกลับจากต่างประเทศ ธิดาเป็นหญิงสาวฉลาดหลักแหลมแต่เย็นชา เธออ้างว่ามาเพื่อรับส่วนแบ่งมรดก แต่จริงๆ แล้ว ธิดามีจุดประสงค์ลึกลับที่เกี่ยวข้องกับความลับของลั่นทมที่ยังไม่ถูกเปิดเผย
ไม่นาน รสสุคนธ์เริ่มสังเกตเห็นสิ่งผิดปกติในโรงงาน: แก้วที่ผลิตออกมาบางชิ้นมีรอยร้าวที่คล้ายใบหน้าของลั่นทม และพนักงานบางคนเล่าเรื่องผีสิงที่เดินวนเวียนในโรงงานตอนกลางคืน โดยเฉพาะในห้องหลอมแก้วที่เคยเป็นสถานที่ลับของลั่นทม ธิดาเริ่มสนิทสนมกับรสสุคนธ์ และเล่าเรื่องราวในอดีตของลั่นทมที่เธอรู้: ลั่นทมไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุหรือพิษอย่างที่คิด แต่เธอวางแผน “การฟื้นคืนชีพ” ทางจิตวิญญาณ โดยใช้พิธีกรรมโบราณที่ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อให้วิญญาณของเธอสามารถครอบงำร่างกายของผู้ที่ทรยศได้
ขณะเดียวกัน ชีพ (ธนเวทย์ สิริวัฒน์ธนกุล) ที่รอดชีวิตแบบหวุดหวิดจากอุบัติเหตุในภาคแรก (แต่บาดเจ็บหนักจนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลไกลบ้าน) เริ่มฟื้นตัวและตามหาข่าวคราวของรสสุคนธ์ เขาเชื่อว่าคำสาปยังไม่จบ และพยายามติดต่อรสสุคนธ์เพื่อขอโทษและช่วยเหลือ แต่เมื่อเขามาถึงโรงงาน ชีพกลับพบว่าตัวเองถูกดึงเข้าไปในกับดักใหม่: พนักงานในโรงงานบางคนคือญาติของลั่นทมที่แฝงตัวมาเพื่อแก้แค้นเขาโดยเฉพาะ
ปมเรื่องพีคขึ้นเมื่อรสสุคนธ์ค้นพบสมุดบันทึกเก่าของลั่นทมในห้องลับใต้โรงงาน สมุดนั้นบันทึกแผนการแก้แค้นที่ครอบคลุมหลายชั่วอายุคน ลั่นทมไม่ได้แค่สาปชีพและรสสุคนธ์ แต่เธอวางแผนให้คำสาปแพร่กระจายไปยังลูกหลานและคนใกล้ชิด ธิดาซึ่งจริงๆ แล้วคือลูกสาวแท้ๆ ของลั่นทม (ที่ถูกซ่อนไว้เพื่อปกป้อง) เปิดเผยตัวตนและกลายเป็นพันธมิตรที่ไม่แน่นอนของรสสุคนธ์ ทั้งสองต้องร่วมมือกันเพื่อทำลายแกนกลางของคำสาปกระจกโบราณที่ฝังวิญญาณของลั่นทมไว้
แต่การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ง่าย วิญญาณของลั่นทม (วรนุช ภิรมย์ภักดี) กลับมาอีกครั้งผ่านกระจกเหล่านั้น ทำให้รสสุคนธ์และชีพต้องเผชิญหน้ากับภาพหลอนที่รุนแรงขึ้น รวมถึงการที่ร่างกายของพวกเขาค่อยๆ ถูกครอบงำโดยความทรงจำและอารมณ์ของลั่นทม ในตอนท้าย รสสุคนธ์ต้องเลือกระหว่างการทำลายคำสาป (ซึ่งอาจหมายถึงการสูญเสียมรดกและอิสรภาพ) หรือยอมรับบทบาทใหม่ในฐานะผู้สืบทอดความแค้นของลั่นทม