การกลับมามั่งคั่งอีกครั้งหลังจากเคยล้มละลายหรือขาดทุนหนักในตลาดหุ้นนั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคดีอย่างเดียวแน่นอน แต่มาจากการเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและการวางแผนที่แน่นหนามากกว่าเดิมหลายเท่าเลย จุดเริ่มต้นที่สำคัญที่สุดคือการยอมรับความจริงตรงๆ ว่าความผิดพลาดที่ผ่านมาเกิดจากอะไรกันแน่ โดยส่วนใหญ่แล้วมักมาจากการเทรดตามอารมณ์ เช่น โกรธ เสียใจ หรือโลภจนเกินไป บางครั้งก็ไล่ราคาหุ้นตามกระแสที่เห็นในโซเชียลมีเดียคนพูดกันเยอะ หรือไม่ก็ขาดความรู้ลึกจริงๆ เกี่ยวกับธุรกิจของบริษัทที่ซื้อหุ้นนั้น
เมื่อเข้าใจสาเหตุชัดเจนแล้ว สิ่งต่อไปที่ต้องทำคือหยุดพักเพื่อตั้งสติให้ดีก่อน อย่ารีบร้อนเอาเงินก้อนสุดท้ายที่เหลือไปทุ่มเพื่อหวังถอนทุนคืนแบบด่วนๆ เพราะนั่นเรียกว่า Revenge Trading ซึ่งอารมณ์อยากเอาคืนจะทำให้ตัดสินใจผิดพลาดหนักกว่าเดิมอีก
การกลับมารวยใหม่ต้องเริ่มจากสร้างฐานทุนที่แข็งแรงขึ้นมาอีกรอบ พร้อมกับเติมความรู้ให้เต็มเปี่ยม โดยเฉพาะเรื่องการบริหารเงินทุนหรือ Money Management ที่เป็นหัวใจหลักเลย เพราะช่วยให้นักลงทุนระดับโลกอยู่รอดและเติบโตได้ยาวๆ
ส่วนความรู้ที่ควรมีติดตัวไว้เพิ่มเติมคือเรื่อง Risk-Reward Ratio หรืออัตราส่วนระหว่างความเสี่ยงกับผลตอบแทนที่คาดหวัง
ก่อนซื้อหุ้นทุกครั้งต้องคำนวณให้แน่ว่าถ้าผิดพลาดจะเสียเงินเท่าไหร่ และถ้าถูกทางจะได้กำไรเท่าไหร่ ถ้าผลตอบแทนที่คาดไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่ต้องรับ ก็ควรข้ามไปเลยดีกว่า ไม่ต้องฝืนเข้าไปเสี่ยง นอกจากนี้การเข้าใจเรื่องดอกเบี้ยทบต้นก็ทรงพลังมาก เพราะการทำกำไรทีละนิดแต่สะสมไปเรื่อยๆ แบบช้าๆ จะให้ผลยั่งยืนกว่าการหวังรวยข้ามคืนจากหุ้นตัวเดียวที่เด้งแรง การกระจายความเสี่ยงด้วยการไม่ทุ่มเงินทั้งหมดในหุ้นตัวเดียวหรืออุตสาหกรรมเดียวกันก็สำคัญ เพราะช่วยป้องกันไม่ให้พอร์ตการลงทุนพังยับหากเกิดวิกฤตเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งขึ้นมาแบบไม่คาดคิด
ในการกลับมาครั้งนี้ วินัยคือสิ่งที่ทำให้แตกต่างระหว่างคนที่ลงทุนแบบนักพนันกับนักลงทุนตัวจริง
การมีแผนชัดเจนว่าจุดไหนจะเข้าซื้อ จุดไหนขายทำกำไร และจุดไหนตัดขาดทุนถ้าผิดทาง จะช่วยให้ตัดสินใจด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ การหมั่นศึกษางบการเงิน ติดตามเศรษฐกิจใหญ่ๆ และเข้าใจวงจรขึ้นลงของอุตสาหกรรมต่างๆ จะทำให้เห็นโอกาสในช่วงที่คนอื่นกลัวกันหมด ซึ่งช่วงนั้นแหละที่หุ้นดีๆ มักราคาถูกลงจนน่าซื้อ การสะสมหุ้นพื้นฐานแน่นในช่วงวิกฤตช่วยให้หลายคนกลับมารวยได้เร็วกว่าที่คิด แต่ต้องอดทนรอจังหวะดีๆ เหมือนราชสีห์ที่ซุ่มรอเหยื่อ ไม่ใช่กระโดดเข้าใส่ทุกอย่างที่เคลื่อนไหว
การดูแลจิตใจในการลงทุนหรือ Psychology ถือเป็นส่วนที่ยากแต่สำคัญที่สุด
การเชื่อมั่นในระบบที่ตัวเองพิสูจน์แล้วว่าใช้ได้จริง และไม่สั่นคลอนไปกับข่าวลือหรือความเห็นมากมายในตลาด จะช่วยรักษาแนวทางของตัวเองไว้ได้ดี การจดบันทึกการเทรดทุกครั้งหรือ Trading Journal แล้วย้อนดูว่าอะไรดีอะไรต้องปรับ จะสร้างประสบการณ์ที่ล้ำค่ามาก ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในอดีตที่เคยขาดทุนหนักนั้น ถือเป็นค่าเล่าเรียนที่แพง แต่ถ้าถอดบทเรียนได้ครบ มันจะกลายเป็นรากฐานแข็งแกร่งสำหรับสร้างความมั่งคั่งรอบใหม่ที่มั่นคงกว่าหลายเท่า และครั้งนี้ไม่ใช่แค่เงินเพิ่มขึ้น แต่คือการเติบโตเป็นนักลงทุนที่มีคุณภาพจริงๆ
เรื่องการเลือกหุ้นเพื่อผลตอบแทนดีและยั่งยืนนั้น เหมือนการใช้แว่นขยายสองอันซ้อนกันเพื่อเห็นภาพชัดสุดๆ
อันแรกคือการวิเคราะห์พื้นฐาน โดยดูงบการเงินเพื่อเข้าใจว่าบริษัททำธุรกิจอะไร มีกำไรจริงไหม และแข็งแกร่งขนาดไหน
อันที่สองคือการวิเคราะห์เทคนิค โดยดูกราฟราคาเพื่อหาจังหวะซื้อขายที่เหมาะสม การเริ่มดูพื้นฐานควรเริ่มจากงบแสดงฐานะการเงินก่อน เพื่อเช็คสินทรัพย์และหนี้สิน โดยเฉพาะหนี้ที่มีดอกเบี้ย ถ้าสัดส่วนหนี้ต่อทุนหรือ D/E Ratio สูงเกินไป กำไรที่หาได้อาจไหลไปจ่ายดอกเบี้ยหมด
ต่อมาคืองบกำไรขาดทุน ควรเห็นรายได้โตต่อเนื่อง และกำไรสุทธิโตตามหรือโตมากกว่า แสดงถึงการควบคุมต้นทุนเก่ง อีกตัวที่เซียนชอบดูคือ ROE หรือผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น ควรสูงกว่า 15% สม่ำเสมอ เพราะบอกว่าผู้บริหารใช้เงินผู้ถือหุ้นสร้างกำไรได้ดีแค่ไหน และที่ขาดไม่ได้คืองบกระแสเงินสด เพื่อยืนยันว่ากำไรนั้นเป็นเงินสดจริง ไม่ใช่แค่ตัวเลขในกระดาษ
พอคัดหุ้นพื้นฐานดีได้แล้ว ต้องใช้เทคนิคหาจังหวะ
เพราะหุ้นดีแต่ซื้อแพงก็อาจติดอยู่นาน การดูกราฟเริ่มง่ายๆ จากแนวโน้ม ถ้าราคาทำจุดสูงใหม่สูงขึ้นและจุดต่ำยกสูงขึ้นเรื่อยๆ คือขาขึ้นที่น่าเข้า แนวรับแนวต้านเหมือนพื้นกับเพดานราคา ซื้อที่รับขายที่ต้านใช้ได้ดีเสมอ RSI ช่วยบอกว่าหุ้นร้อนเกิน (Overbought) ถ้าเกิน 70 หรือถูกเกิน (Oversold) ถ้าต่ำ 30 แล้วเริ่มขึ้น เป็นโอกาสสะสม
การดู Volume ปริมาณซื้อขาย ถ้าราคาขึ้นแรงพร้อมวอลุ่มสูง แสดงว่ารายใหญ่เข้าเก็บจริง ไม่ใช่ปั่นชั่วคราว
เส้น Moving Average เช่น 50 วันกับ 200 วัน ถ้าเส้นสั้นตัดเส้นยาวขึ้นหรือ Golden Cross มักเริ่มขาขึ้นใหญ่ การผสมพื้นฐานเลือกหุ้นดีกับเทคนิคหาจังหวะ จะลดการใช้อารมณ์ตัดสินใจ เพราะมีข้อมูลทั้งงบและกราฟหนุนหลัง ความสำเร็จมาจากการอดทนรอให้ทั้งสองอย่างมาบรรจบกันก่อนลงเงิน
การเจาะงบกระแสเงินสดลึกๆ คือขั้นสูงสุด
เพราะกำไรสุทธิอาจเป็นกำไรทิพย์ที่ยังไม่ใช่เงินสด งบนี้เหมือนเครื่องจับเท็จ บอกเงินสดจริงไหลเข้าเท่าไหร่ แบ่งสามส่วน เริ่มจากกระแสเงินสดจากดำเนินงานหรือ CFO สำคัญที่สุด ควรบวกและใหญ่กว่ากำไรสุทธิ แสดงขายของได้เงินสดทันที ถ้า CFO ติดลบแต่กำไรโต อาจเงินจมลูกหนี้หรือสต็อกขายไม่ออก อันตรายมาก
ส่วนกระแสเงินสดจากลงทุนหรือ CFI
บริษัทโตมักติดลบเพราะลงทุนขยาย แต่เป็นการจ่ายวันนี้เพื่อรวยพรุ่งนี้ ถ้าบวกเยอะอาจกำลังขายสมบัติประทังชีวิต ส่วนกระแสเงินสดจากจัดหาเงินหรือ CFF ถ้าบวกคือกู้หรือเพิ่มทุน ถ้าติดลบคือจ่ายคืนหนี้หรือปันผล บริษัทแกร่งจริงมัก CFF ติดลบสม่ำเสมอ เพราะเลี้ยงตัวเองได้โดยไม่พึ่งกู้
Free Cash Flow หรือ FCF คำนวณจาก CFO หัก CapEx หรือเงินลงทุนขยายกิจการ
เงินส่วนนี้คือเงินเย็นจริง ใช้จ่ายปันผลพิเศษ ซื้อหุ้นคืน หรือเก็บไว้ซื้อกิจการตอนวิกฤต บริษัท Cash Cow มี FCF บวกและโตทุกปี ยิ่งเงินสดสูงยิ่งได้เปรียบ เพราะ Cash is King ในธุรกิจ
สัญญาณอันตรายเช่น กู้เงินจ่ายปันผล หรือ CFO บวกเพราะค้างจ่ายเจ้าหนี้ ต้องดูควบวงจรเงินสดว่าหมุนเงินไวแค่ไหน ยิ่งไวยิ่งเก่งเสกเงินสด บริษัทแบบนี้แหละที่รวยยั่งยืนจริงๆ


