ณ สถานที่อันศักดิ์สิทธิ์และเปี่ยมด้วยมนต์ขลังแห่งพุทธธรรม “พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช(แพ)” ณ “วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร” กรุงเทพมหานคร สถานที่แห่งนี้มิได้เป็นเพียงที่ประดิษฐานพระรูปและเครื่องอัฐบริขารของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าเท่านั้น แต่ยังเป็นแหล่งรวบรวมและอนุรักษ์มรดกทางปัญญาอันล้ำค่าของชาติ นั่นคือ “พระคัมภีร์ใบลานโบราณอักษรขอม”
ในวันนี้ พิพิธภัณฑ์แห่งนี้มิได้เป็นเพียงอนุสรณ์สถานถึงเกียรติคุณของพระองค์เท่านั้น แต่ยังเป็นขุมทรัพย์ทางปัญญาที่เก็บรักษา “พระคัมภีร์ใบลานโบราณอักษรขอม” อันล้ำค่า ซึ่งเป็นร่องรอยแห่งพระธรรมคำสอนและภูมิปัญญาของบรรพชน
ก่อนที่เราจะดำดิ่งสู่โลกแห่งอักษรขอมโบราณบนใบลาน ขอเชิญท่านผู้ชมได้ชื่นชมความสง่างามและความประณีตศิลป์ของ “ตู้พระคัมภีร์โบราณ” ที่ใช้เก็บรักษาคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ ตู้แต่ละหลังล้วนเป็นงานฝีมือชั้นครู ที่สะท้อนถึงความศรัทธาและความเคารพต่อพระธรรมคำสอนผ่านลวดลายแกะสลักอันวิจิตรบรรจง
และอีกหนึ่งสิ่งที่ไม่อาจละสายตาได้ คือ “ผ้าห่อคัมภีร์” หลากสีสัน หลายลวดลาย ที่มิได้มีเพียงหน้าที่ในการปกป้องรักษาใบลานจากกาลเวลา แต่ยังเป็นประจักษ์พยานถึงศิลปะการทอผ้าและจิตรกรรมอันเป็นเอกลักษณ์ของแต่ละยุคสมัย
ขอเชิญทุกท่านร่วมสัมผัสความขลังและความงดงามของมรดกทางปัญญาอันทรงคุณค่านี้ ณ พิพิธภัณฑ์ตำหนักพระสังฆราช (แพ) วัดสุทัศน์ พร้อมกัน ที่ซึ่งอดีต ปัจจุบัน และอนาคตแห่งพระธรรมคำสอนได้มาบรรจบกัน
ตู้พระคัมภีร์โบราณ ลายรดน้ำเขียนลายเรื่องรามเกียรติ์ โดยเจ้ากรมแดง
ตู้เก็บพระคัมภีร์โบราณลายรดน้ำเขียนลายเรื่องรามเกียรติ์ ถือเป็น สุดยอดงานศิลปหัตถกรรมอันทรงคุณค่า ที่ผสานความศรัทธาในพระธรรมคำสอนเข้ากับความวิจิตรงดงามของวรรณคดีเอกของชาติได้อย่างลงตัว ตู้ใบนี้มิได้เป็นเพียงเครื่องเก็บรักษาพระคัมภีร์ แต่ยังเป็น ผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงฝีมือช่างชั้นสูงและรสนิยมทางศิลปะในสมัยนั้น
ตู้นี้มีความสำคัญอย่างไร ทำไมถึงนำมาจัดแสดงอยู่ในบริเวณห้องเก็บพระคัมภีร์

ในห้องเก็บพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ ตู้พระธรรมลายรดน้ำขาสิงห์อันวิจิตรตระการตานี้ยืนเด่นเป็นสง่า ดึงดูดทุกสายตาด้วยลวดลายเรื่องรามเกียรติ์ที่เขียนด้วยฝีมือประณีต แม้วัดแห่งนี้จะมีตู้พระธรรมหลายใบ แต่ตู้นี้ได้รับเกียรติให้จัดแสดงด้วยเหตุผลอันลึกซึ้งที่ผสานทั้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์และศิลปะ
ตู้ใบนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2433 โดยมีจารึกที่เผยที่มาอันน่าทึ่ง ด้วยฝีมือของ “เจ้ากรมแดง (หมื่นศิริธัชสังกาศ)” ผู้ซึ่งไม่เพียงเป็นช่างเขียนลายอันเลื่องชื่อ แต่ยังเป็นผู้สร้างสรรค์ภาพ “พระสุนทรีวาณี” อันงดงามที่ประดับอยู่บนโถงกลางของห้องนี้ ภาพพระสุนทรีวาณีนั้นเขียนขึ้นตามนิมิตของ “สมเด็จพระวันรัต (แดง สีลวฑฺฒโน)” ผู้นำทางจิตวิญญาณอันยิ่งใหญ่ โดยเจ้ากรมแดงได้ถ่ายทอดวิสัยทัศน์นั้นผ่านฝีแปรงที่ละเมียดละไม สร้างความเชื่อมโยงอันลึกซึ้งระหว่างตู้พระธรรมและภาพศักดิ์สิทธิ์

ลายรดน้ำบนตู้ใบนี้สะท้อนความประณีตที่คล้ายคลึงกับภาพพระสุนทรีวาณี ทั้งลวดลายอันอ่อนช้อยและสีสันที่เปี่ยมด้วยชีวิตชีวา ทุกเส้นสายบนตู้เล่าเรื่องราวแห่งรามเกียรติ์อย่างมีพลัง ขณะเดียวกันก็หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งยุคสมัยและความศรัทธาไว้อย่างกลมกลืน ตู้ใบนี้จึงมิใช่เพียงงานศิลปะ แต่เป็นสะพานเชื่อมโยงมรดกแห่งความเชื่อ ฝีมือช่างชั้นครู และเก บันทึกของผู้สร้างสรรค์อันทรงคุณค่า
ด้วยเหตุนี้ ตู้พระธรรมใบนี้จึงไม่เพียงเป็นที่จัดเก็บพระคัมภีร์ หากแต่เป็นสัญลักษณ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์และความงามที่คงอยู่เหนือกาลเวลา เป็นมรดกที่เชิญชวนให้ผู้มาเยือนได้ชื่นชมและซาบซึ้งในความหมายอันลึกซึ้งของศิลปะและศรัทธาในหัวใจของวัดแห่งนี้
พระคัมภีร์ใบลานฉบับที่เก่าที่สุดในไทย สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ต้นกรุงศรีอยุธยา
สำหรับคัมภีร์โบราณชุดนี้ เป็นคัมภีร์โบราณอักษรขอมภาษาบาลี ในสมัยก่อนเรานิยมใช้อักษรขอม ในการจดจานคัมภีร์เกี่ยวกับพุทธศาสนาต่างๆซึ่งก็มีหลักฐานมาตั้งแต่สมัยอยุธยา
โดยเฉพาะเล่มนี้ เป็นคัมภีร์ใบลานอักษรขอมซึ่งสร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช พ.ศ. 2148 เป็นหนึ่ง่ในคัมภีร์โบราณที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย

คัมภีร์ชุดนี้มิใช่เพียงแค่บันทึกตัวอักษร แต่เป็นเสมือนสะพานเชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบัน ด้วยอักษรขอมอันงดงามที่ใช้จารึกคำสอนแห่งพุทธศาสนา ซึ่งเป็นที่นิยมอย่างยิ่งในยุคสมัยอยุธยา ทุกตัวอักษรที่ถูกสลักลงบนใบลานเปรียบดังลมหายใจของกาลเวลา บอกเล่าเรื่องราวของศรัทธา ความรู้ และความมุ่งมั่นในการรักษาพระธรรมให้คงอยู่
พระคัมภีร์ใบลานฉบับนี้ไม่เพียงแต่เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของวัฒนธรรมและศาสนาในสมัยนั้น แต่ยังเป็นสมบัติอันศักดิ์สิทธิ์ที่สะท้อนถึงความปราณีตและความทุ่มเทของช่างจารึกแห่งอดีต ทุกเส้นสายของอักษรขอมที่ปรากฏบนใบลานล้วนเปี่ยมด้วยความหมาย ราวกับเป็นบทกวีที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญพระพุทธศาสนา
พระคัมภีร์ใบลานในสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. 2321 มรดกแห่งปัญญาในสมัยกรุงธนบุรี
ในช่วงปลายสมัยกรุงธนบุรี พ.ศ. 2321 พระคัมภีร์ใบลานอันทรงคุณค่าได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นด้วยความประณีตงดงาม ถือเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความรุ่งเรืองทางศิลปะและภูมิปัญญาของยุคสมัย คัมภีร์เหล่านี้มิใช่เพียงบันทึกตัวอักษร แต่เป็นงานศิลป์ที่ผสานความวิจิตรและความศักดิ์สิทธิ์ไว้อย่างลงตัว

เมื่อการจารึกคัมภีร์บนใบลานเสร็จสิ้น ใบลานแต่ละแผ่นจะถูกร้อยเข้าด้วยกันด้วย “สายสนอง” อันเปรียบเสมือนการเย็บเล่มด้วยความละเมียดละไม เพื่อให้หน้าใบลานทุกแผ่นคงอยู่เป็นหนึ่งเดียวโดยไม่กระจัดกระจาย คัมภีร์ที่ร้อยสายสนองแล้วจะกลายเป็น “ผูก” ซึ่งหนึ่งฉบับอาจประกอบด้วยหลายผูก เอกลักษณ์ของคัมภีร์แต่ละฉบับจะถูกระบุผ่าน “ไม้บัญชัก” อันทำจากงาช้างอันทรงคุณค่า ซึ่งเสียบอยู่ด้านหน้าคัมภีร์เพื่อบ่งบอกชื่อและจำนวนผูก
นอกจากนี้ คัมภีร์ยังได้รับการปกป้องและประดับประดาด้วย “ไม้ประกับ” ที่อยู่ส่วนหัวและท้าย ไม้ประกับเหล่านี้มักถูกตกแต่งอย่างงดงามด้วยลายเส้นอันวิจิตร การรดน้ำประดับมุก หรือการฝังกระจกสีที่สะท้อนแสงระยิบระยับ บางฉบับอาจทาด้วยชาดแดงเข้มหรือลงรักปิดทอง เพิ่มความสง่างามและความศักดิ์สิทธิ์
หนึ่งในความงามอันโดดเด่นคือ “ฉบับล่องชาด” คัมภีร์ใบลานที่ประดับด้วยทองคำเปลวอันเรืองรอง ตรงกลางทาด้วยสีชาดแดงเข้ม ซึ่งเปรียบเสมือนการหลอมรวมความรุ่งโรจน์ของทองและพลังแห่งสีชาดเข้าไว้ด้วยกัน สร้างความตื่นตาตื่นใจแก่ผู้พบเห็น
พระคัมภีร์ใบลานสมัยกรุงธนบุรีนี้ไม่เพียงเป็นที่เก็บรักษาคำสอนและเรื่องราวอันทรงคุณค่า หากแต่ยังเป็นพยานแห่งความรุ่งเรืองทางศิลปะและวัฒนธรรม ที่ยังคงเปล่งประกายความงามผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบัน
พระคัมภีร์ใบลาน สมัยรัชกาลที่ 1
ในปี พ.ศ. 2325 เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 เสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีใหม่ ด้วยพระราชปณิธานอันแน่วแน่ที่จะรื้อฟื้นความรุ่งเรืองแห่งกรุงศรีอยุธยา พระองค์ทรงมุ่งหวังให้กรุงเทพฯ เป็นดั่งภาพสะท้อนของอดีตอันงดงาม เพื่อดึงดูดราษฎรจากกรุงเก่าให้มาสร้างชีวิตใหม่ในราชธานีแห่งนี้
หนึ่งในพระราชกรณียกิจอันยิ่งใหญ่คือการโปรดเกล้าฯ ให้จัดทำสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์ ณ วัดพระศรีสรรเพชญ์ อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สมัยอยุธยา หลังจากการสังคายนาเสร็จสิ้น พระองค์ทรงมีพระราชดำริให้จารึกพระไตรปิฎกลงในพระคัมภีร์ใบลาน ลงรักปิดทองอย่างวิจิตรบรรจง สร้างสรรค์เป็น “พระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่” หรือที่รู้จักในนาม “ฉบับทองทึบ” อันเปี่ยมด้วยความงดงามและความศักดิ์สิทธิ์

พระไตรปิฎกฉบับนี้มิใช่เพียงคัมภีร์ธรรมะ หากแต่เป็นศิลปวัตถุชิ้นเอกแห่งยุค หน้าปกประดับด้วยตราพระราชลัญจกร ตรงกลางเป็นตราพระมหาอุณาโลม ล้อมรอบด้วยฉัตร 7 ชั้นในกรอบรูปไข่ อันเป็นสัญลักษณ์แห่งราชอำนาจและความสูงส่ง ตัวประกับคัมภีร์ประณีตด้วยลายรดน้ำลายทับทิม ส่วนด้านข้างของคัมภีร์ปิดทองทึบทั้งหมด สะท้อนแสงสุกปลั่งราวกับอัญมณีแห่งปัญญา จึงได้รับการขนานนามว่า “ฉบับทองทึบ” อันเลื่องลือ

พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมณฑปและตู้มุกอันงดงามเพื่อประดิษฐานพระไตรปิฎก ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และสำหรับคัมภีร์ที่เหลือ พระองค์ทรงมอบหมายให้สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท สร้างหอพระมณเฑียรธรรม เพื่อเป็นที่เก็บรักษาคัมภีร์อันทรงคุณค่าเหล่านี้

นอกจากนี้ ยังทรงพระราชทานพระคัมภีร์ไปยังวัดหลวงต่าง ๆ ทั่วราชอาณาจักร รวมถึงวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งได้รับพระราชทานคัมภีร์ตั้งแต่สมัยแรกเริ่มของรัชกาล


พระไตรปิฎกฉบับทองใหญ่ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2332 หลังรัชกาลที่ 1 ครองราชย์ได้ 7 ปี ถือเป็นมรดกอันล้ำค่าที่ผสานความศรัทธา ศิลปะ และภูมิปัญญาเข้าไว้ด้วยกันอย่างสมบูรณ์ เป็นดั่งสัญลักษณ์แห่งการฟื้นฟูพุทธศาสนาและวัฒนธรรมอันรุ่งโรจน์ในยุคเริ่มต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ สะท้อนพระราชวิสัยทัศน์อันยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์ผู้ทรงสถาปนาราชวงศ์จักรีให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป
พระคัมภีร์ ฉบับจากประเทศลังกา
มีชื่อว่า ปทรูปสิทธิ เป็นคัมภีร์เกี่ยวกับบาลีปกรณ์ เพราะว่าลังกามีความรู้เรื่องภาษาบาลีเป็นอย่างมาก แล้วก็ส่งมาถึงพระไทยด้วย ปทรูปสิทธิ เป็นคัมภีร์ภาษาบาลีที่เขียนด้วยอักษรสิงหล

ปทรูปสิทธิเน้นการวิเคราะห์ไวยากรณ์บาลีอย่างละเอียด เช่น การผันคำ การสร้างประโยค และความสัมพันธ์ระหว่างคำคัมภีร์นี้ไม่ใช่ส่วนหนึ่งของพระไตรปิฎกโดยตรง แต่เป็นเครื่องมือเสริมที่ช่วยในการศึกษาคัมภีร์หลัก
บริบทของพระไตรปิฎกในลังกา
ศรีลังกาเป็นศูนย์กลางสำคัญของพุทธศาสนาเถรวาทและมีบทบาทในการรักษาพระไตรปิฎกฉบับบาลี ซึ่งเป็นคัมภีร์หลักของพุทธศาสนา ประกอบด้วย วินัยปิฎก (ระเบียบวินัยของสงฆ์), สุตตันตปิฎก (พระสูตรหรือคำสอนของพระพุทธเจ้า), และ อภิธรรมปิฎก (ปรัชญาและจิตวิทยาเชิงลึก). พระไตรปิฎกฉบับลังกาได้รับการจารึกและอนุรักษ์ด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะในสมัยโบราณที่ใช้ใบลานและอักษรสิงหลในการบันทึก
ปทรูปสิทธิ
ปทรูปสิทธิ เป็นคัมภีร์ไวยากรณ์ภาษาบาลีที่เน้นการวิเคราะห์โครงสร้างคำ (ปท = คำ, รูป = รูปแบบ, สิทธิ = ความสำเร็จ) เพื่อช่วยให้เข้าใจภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง คัมภีร์นี้เขียนด้วยภาษาบาลีและบันทึกด้วยอักษรสิงหล ซึ่งเป็นอักษรที่ใช้ในศรีลังกาในสมัยโบราณ ผู้แต่งคัมภีร์นี้มักถูกเชื่อมโยงกับนักปราชญ์ในลังกา ซึ่งแสดงถึงความเชี่ยวชาญของลังกาในด้านภาษาบาลีและการศึกษาคัมภีร์
ความสำคัญของลังกาในภาษาบาลี
ศรีลังกามีประเพณีการศึกษาภาษาบาลีที่เข้มแข็ง โดยมีสถาบันสงฆ์ เช่น มหาวิหารในอนุราธปุระและโปโลนนารุวะ ที่เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ คัมภีร์อย่างปทรูปสิทธิช่วยให้พระสงฆ์และนักปราชญ์สามารถแปล อธิบาย และรักษาความถูกต้องของพระไตรปิฎกได้อย่างแม่นยำ
ความรู้จากลังกาถูกส่งต่อมายังประเทศไทยผ่านการแลกเปลี่ยนทางศาสนาและวัฒนธรรม โดยเฉพาะในสมัยสุโขทัยและอยุธยา ซึ่งพระสงฆ์ไทยได้เดินทางไปศึกษาที่ลังกาและนำคัมภีร์ รวมถึงความรู้ด้านบาลีกลับมา
อิทธิพลต่อประเทศไทย
คัมภีร์ปทรูปสิทธิและความรู้ด้านภาษาบาลีจากลังกามีส่วนช่วยในการพัฒนาการศึกษาพระพุทธศาสนาในประเทศไทย โดยเฉพาะในด้านการแปลและตีความพระไตรปิฎก การที่ลังกาใช้อักษรสิงหลในการบันทึกคัมภีร์ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนเมื่อนำมาใช้ในไทย ซึ่งมักใช้อักษรขอมหรืออักษรไทยในการจารึกใบลาน
สรุป ปทรูปสิทธิเป็นคัมภีร์ไวยากรณ์บาลีที่เขียนด้วยอักษรสิงหลจากศรีลังกา ซึ่งสะท้อนความเชี่ยวชาญด้านภาษาบาลีของลังกาและมีบทบาทสำคัญในการรักษาความถูกต้องของพระไตรปิฎก ความรู้จากคัมภีร์นี้ถูกถ่ายทอดมายังประเทศไทย ช่วยเสริมสร้างการศึกษาพระพุทธศาสนาและภาษาบาลีในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
มหัศจรรย์ “พระคัมภีร์” ใน “พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช” | เปิดตำนานกับเผ่าทอง ทองเจือ
“อ.เผ่าทอง ทองเจือ” พาพบกับความมหัศจรรย์ ของ “พระคัมภีร์ใบลานโบราณอักษรขอม” พร้อมชมลวดลายความสวยงามของ “ตู้พระคัมภีร์โบราณ” และ “ผ้าห่อคัมภีร์” ชนิดต่าง ๆ ที่ “พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช”
มหัศจรรย์ “พระคัมภีร์ใบลานโบราณอักษรขอม” ณ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช การเดินทางผ่านกาลเวลากับ อ.เผ่าทอง ทองเจือ
ในรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง ทองเจือ ออกอากาศเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2568 ทางสถานี PPTV อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ นักโบราณคดีและนักประวัติศาสตร์ชื่อดังของไทย ได้พาผู้ชมย้อนเวลาสู่มรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ใน พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) ณ วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพฯ โดยมุ่งเน้นไปที่ความมหัศจรรย์ของ พระคัมภีร์ใบลานโบราณอักษรขอม พร้อมทั้งตู้พระคัมภีร์และผ้าห่อคัมภีร์ที่สะท้อนถึงศิลปะและภูมิปัญญาไทยโบราณ
ความสำคัญของพระคัมภีร์ใบลาน
พระคัมภีร์ใบลานถือเป็นสมบัติทางปัญญาและมรดกทางวัฒนธรรมที่บันทึกความรู้หลากหลายด้านของสังคมไทยในอดีต ไม่ว่าจะเป็นคำสอนทางพระพุทธศาสนา ประวัติศาสตร์ พงศาวดาร ตำรับยา หรือแม้แต่วรรณคดี คัมภีร์เหล่านี้มักจารึกด้วย อักษรขอม ซึ่งเป็นอักษรโบราณที่ใช้บันทึกภาษาบาลีและภาษาไทยในสมัยโบราณ โดยใบลานที่ใช้ทำจากใบของต้นตาลหรือต้นลาน ซึ่งผ่านกระบวนการตากแห้งและรมควันเพื่อให้คงทนต่อกาลเวลา
คัมภีร์ใบลานมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวงการพระพุทธศาสนา เนื่องจากเป็นแหล่งกำเนิดของพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางศาสนาอื่น ๆ ที่ใช้เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า ในประเทศไทยมีคัมภีร์ใบลานนับล้านฉบับกระจายอยู่ตามวัดและหอสมุดต่าง ๆ แต่หลายฉบับยังไม่ได้รับการศึกษา วิจัย หรือแปลอย่างละเอียด ทำให้การอนุรักษ์และเผยแพร่ความรู้จากคัมภีร์เหล่านี้เป็นภารกิจสำคัญ
พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช ขุมทรัพย์แห่งมรดก

พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช (แพ ติสฺสเทวมหาเถร) ตั้งอยู่ในบริเวณวัดสุทัศนเทพวราราม เป็นสถานที่เก็บรักษาคัมภีร์ใบลานโบราณและวัตถุโบราณที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา อาจารย์เผ่าทองได้นำผู้ชมสำรวจความงดงามของคัมภีร์เหล่านี้ ซึ่งบางฉบับมีอายุหลายร้อยปี และยังคงได้รับการดูแลรักษาอย่างดีเพื่อป้องกันการเสื่อมสภาพ สถานที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งอนุรักษ์ แต่ยังเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน
ความมหัศจรรย์ของตู้พระคัมภีร์และผ้าห่อคัมภีร์
นอกจากตัวคัมภีร์ใบลานแล้ว สิ่งที่ดึงดูดความสนใจในรายการคือ ตู้พระคัมภีร์โบราณ และ ผ้าห่อคัมภีร์ ซึ่งเป็นงานศิลปะชั้นสูงที่แสดงถึงความประณีตและความศรัทธาของช่างไทยในอดีต
ตู้พระคัมภีร์ ตู้เหล่านี้มักทำจากไม้เนื้อดี เช่น ไม้สัก และตกแต่งด้วยลวดลายลงรักปิดทองหรือแกะสลักอย่างวิจิตร ใช้สำหรับเก็บรักษาคัมภีร์ใบลานให้ปลอดภัยจากความชื้นและแมลง ลวดลายบนตู้มักสะท้อนอิทธิพลศิลปะสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ เช่น ลายพรรณพฤกษา ลายเทพนม หรือลายเทวรูป ซึ่งแสดงถึงความเคารพต่อคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์
ผ้าห่อคัมภีร์ ผ้าที่ใช้ห่อคัมภีร์มักทอด้วยฝีมือประณีต บางผืนเป็นผ้าทอมือจากภูมิภาคต่าง ๆ เช่น ผ้าฝ้าย ผ้าไหม หรือผ้าทอยกดอกที่มีลวดลายมงคล ผ้าเหล่านี้ไม่เพียงปกป้องคัมภีร์จากฝุ่นและความชื้น แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการถวายเกียรติแด่คำสอนทางศาสนา อาจารย์เผ่าทอง ซึ่งมีความเชี่ยวชาญด้านผ้าไทย ได้อธิบายถึงความหลากหลายของผ้าห่อคัมภีร์ที่สะท้อนเอกลักษณ์ท้องถิ่นและความงามของศิลปะ
บทบาทของ อ.เผ่าทอง ทองเจือ
อาจารย์เผ่าทอง ทองเจือ เป็นที่รู้จักในฐานะนักโบราณคดี นักประวัติศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านศิลปวัฒนธรรมไทย โดยเฉพาะผ้าไทยและเครื่องแต่งกายโบราณ ด้วยความรู้ที่ลึกซึ้งและความสามารถในการถ่ายทอดอย่างน่าสนใจ เขาได้นำพาผู้ชมเข้าสู่โลกของมรดกวัฒนธรรมผ่านรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง ซึ่งออกอากาศทุกวันเสาร์เวลา 08:00-09:00 น. ทาง PPTV การนำเสนอของอาจารย์เผ่าทองไม่เพียงให้ความรู้ แต่ยังสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ชมเห็นคุณค่าของมรดกไทยและมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์
การเดินทางไปกับอาจารย์เผ่าทอง ทองเจือในรายการ เปิดตำนานกับเผ่าทอง ณ พิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสังฆราช ไม่เพียงเผยให้เห็นความงดงามของพระคัมภีร์ใบลานโบราณอักษรขอม ตู้พระคัมภีร์ และผ้าห่อคัมภีร์ แต่ยังสะท้อนถึงความศรัทธา ภูมิปัญญา และความมุ่งมั่นของคนไทยในการรักษามรดกทางวัฒนธรรม คัมภีร์ใบลานเหล่านี้ไม่ใช่เพียงเอกสารโบราณ แต่เป็นสะพานเชื่อมโยงอดีตสู่ปัจจุบันและอนาคต เป็นเครื่องเตือนใจให้เราร่วมกันปกป้องและสืบสานสมบัติอันล้ำค่านี้ต่อไป