จีนกับสหรัฐ ใครถือไพ่เหนือกว่าในสนามเศรษฐกิจโลก ในปี 2026

จีนกับสหรัฐ ใครถือไพ่เหนือกว่าในสนามเศรษฐกิจโลก ในปี 2026
จีนกับสหรัฐ ใครถือไพ่เหนือกว่าในสนามเศรษฐกิจโลก ในปี 2026

การวิเคราะห์เรื่องความได้เปรียบระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกาในเศรษฐกิจโลกปี 2026 นั้นเป็นเรื่องที่สนุกและซับซ้อนมาก เพราะทั้งสองประเทศมีจุดแข็งที่แตกต่างกันชัดเจน ทำให้ยากที่จะบอกว่าฝ่ายไหนชนะขาดลอยแบบเด็ดขาด

ถ้ามองที่สหรัฐฯ ในปี 2025 จะเห็นว่ายังครองตำแหน่งเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดของโลกด้วยมูลค่า GDP ที่คาดว่าจะทะยานไปแตะระดับประมาณ 31-32 ล้านล้านดอลลาร์ ซึ่งจุดเด่นหลักคือความเป็นผู้นำในเทคโนโลยีชั้นสูง โดยเฉพาะ AI ที่กลายเป็นตัวขับเคลื่อนหลักของผลิตภาพและการเติบโต บริษัทเทคยักษ์ในซิลิคอนวัลเลย์ไม่ได้แค่พัฒนาซอฟต์แวร์ธรรมดา แต่กำลังพลิกโฉมเศรษฐกิจทั้งประเทศให้เข้าสู่ยุค AI เต็มตัว ส่งผลให้มีการลงทุนมหาศาล การสร้างงานใหม่ๆ ในรูปแบบที่ล้ำสมัย

นอกจากนี้เงินดอลลาร์ยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลกที่ทุกประเทศต้องพึ่งพา แม้หลายชาติจะพยายามลดการพึ่งพา แต่ในช่วงเศรษฐกิจโลกผันผวน คนก็ยังหันหาความมั่นคงจากดอลลาร์เหมือนเดิม ซึ่งข้อมูลล่าสุดจาก IMF และหน่วยงานอื่นๆ ยืนยันว่าสหรัฐฯ ยังมี GDP nominal สูงกว่าจีนชัดเจน แม้จีนจะเติบโตเร็วแต่ก็ยังตามในแง่ตัวเลขรวม

แต่สหรัฐฯ ก็มีจุดอ่อนใหญ่ที่เหมือนพายุกำลังถล่ม

นั่นคือหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ทำให้ต้องกังวลเรื่องความยั่งยืน การกู้เงินมาอัดฉีดเศรษฐกิจและนโยบายภาษีต่างๆ ทำให้งบประมาณตึงเครียดมาก นโยบายกีดกันการค้า ตั้งกำแพงภาษีสูงเพื่อสกัดจีน กลายเป็นดาบสองคมเพราะทำให้สินค้านำเข้าภายในประเทศแพงขึ้น ส่งผลให้กำลังซื้อของประชาชนลดลงและเงินเฟ้อฝังรากลึก การรักษาการเติบโตพร้อมควบคุมราคาสินค้าจึงเป็นโจทย์ยากที่รัฐบาลต้องแก้ในปีนั้น ซึ่งข้อมูลจริงชี้ว่าหนี้สหรัฐฯ สูงถึง 123% ของ GDP ขณะที่การเติบโตคาดอยู่ราว 2% ทำให้ต้องระวังเรื่องความเปราะบาง

ทางฝั่งจีน ปี 2026 เป็นช่วงที่จีนพยายามก้าวพ้นจากภาพโรงงานโลกไปสู่ผู้นำเทคโนโลยีสีเขียวและนวัตกรรมการผลิต

จีนครองแชมป์ในอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าและพลังงานหมุนเวียนแบบไม่มีคู่แข่ง ไม่ใช่แค่ผลิตเยอะแต่เทคโนโลยีล้ำและราคาจับต้องได้จริง มีระบบห่วงโซ่อุปทานการผลิตครบวงจรที่ยากจะตัดขาด การเน้นเติบโตเชิงคุณภาพมากกว่าปริมาณ การบุกตลาดประเทศกำลังพัฒนาผ่านโครงการต่างๆ ทำให้จีนมีพันธมิตรใหม่ๆ แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งข้อมูลจริงยืนยันว่าจีนครองส่วนแบ่ง EV โลกกว่า 60% และส่งออกพลังงานสะอาดมหาศาล การเติบโต GDP คาดราว 4-5% สูงกว่าสหรัฐฯ ทำให้ในแง่ PPP จีนอาจใกล้เคียงหรือแซงในบางตัวชี้วัด

อย่างไรก็ตาม จีนก็มีปัญหาโครงสร้างภายในที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะสังคมสูงวัยเร็วทำให้แรงงานลดและภาระสวัสดิการพุ่ง ภาคอสังหาฯ ยังมีปัญหาค้างคาแม้พยายามแก้หลายปี การถูกตะวันตกโดดเดี่ยวในชิปขั้นสูงทำให้ต้องทุ่มงบมหาศาลพัฒนาเอง แม้มีความก้าวหน้าแต่ยังต้องใช้เวลาตามทัน ซึ่งข้อมูลล่าสุดชี้ว่าจีนมีหนี้รวมสูงถึง 300% ของ GDP และปัญหา deflation ที่อาจยืดเยื้อถึง 2026-2027 ทำให้การบริโภคภายในยังอ่อนแอ

ส่วนที่น่าสนใจคือทฤษฎีกับดักธูซิดิดีส(Thucydides)

 ที่อธิบายว่ามหาอำนาจใหม่อย่างจีนขึ้นมาท้าทายมหาอำนาจเดิมอย่างสหรัฐฯ มักนำไปสู่ความขัดแย้ง แต่ในเศรษฐกิจปี 2026 สิ่งที่เกิดคือการแบ่งขั้วชัดเจน หรือ decoupling โดยสหรัฐฯ เน้นครองซอฟต์แวร์ การเงิน และเทคโนโลยีต้นน้ำ ส่วนจีนครองการผลิตและทรัพยากรใหม่ๆ อย่างแร่หายาก ซึ่งจำเป็นต่ออนาคต ทฤษฎีนี้ไม่ใช่ชะตากรรมแน่นอน แต่ขึ้นกับการจัดการของมนุษย์ และข้อมูลจริงชี้ว่าทั้งสองฝ่ายต่างพึ่งพากันในหลายด้าน ทำให้สงครามเต็มรูปแบบยากเกิด

โดยรวมปี 2026 ทั้งสองถือไพ่เหนือกว่าในกระดานต่างกัน

สหรัฐฯ กำหนดกติกาเงินและเทคโนโลยีมูลค่าสูง จีนเป็นหัวใจผลิตและพลังงานสะอาด ใครได้เปรียบขึ้นกับการแก้ปัญหาภายใน สหรัฐฯ ต้องจัดการหนี้และเฟ้อ จีนต้องกระตุ้นบริโภคและแก้ประชากร ทำให้สถานการณ์เป็นสมดุลตึงเครียด แต่ขาดกันไม่ได้

ถ้าเจาะลึกอุตสาหกรรม ชิปประมวลผลคือหัวใจศตวรรษที่ 21

สหรัฐฯ ครองต้นน้ำ การออกแบบชิป AI ขั้นสูง บริษัทอย่าง Nvidia ยังนำหลายขุม แต่จีนทุ่มเป็นเจ้าในชิปพื้นฐานขนาด 28 นาโนเมตรขึ้นไป ที่ใช้ในเครื่องใช้ไฟฟ้าและรถ EV ซึ่งปี 2026 จีนจะเป็นผู้ผลิตใหญ่ที่สุดโลก ตลาดต้องพึ่งพาจีนแม้สหรัฐฯ พยายามดึงโรงงานกลับด้วย CHIPS Act แต่ต้นทุนสูงและขาดแรงงานทำให้ยากแข่ง ซึ่งข้อมูลจริงยืนยันว่าจีนครอง mature nodes มากขึ้น และมี fab ใหม่มากที่สุดช่วงนั้น

ในพลังงานสะอาดและ EV จีนครองเกือบเบ็ดเสร็จ

ควบคุมห่วงโซ่อุปทานแบตเตอรี่ตั้งแต่ขุดแร่ถึงกลั่น พัฒนาแบตเตอรี่กึ่งแข็งหรือโซเดียมไอออนที่ถูกลง ทำให้ราคา EV จีนถูกคู่แข่งตะวันตกหืดจับ สหรัฐฯ พยายามพัฒนา solid-state และร่วมมือพันธมิตร แต่ปี 2026 ยังอยู่ในขั้นเริ่ม ทำให้จีนกำหนดราคาโลก ซึ่งข้อมูลชี้จีนครอง EV โลก 60-70% และส่งออกพุ่ง

สำหรับ AI ปี 2026 ไม่ใช่แค่แข่งอัลกอริทึมแต่แข่งพลังงานและโครงสร้างพื้นฐาน

เพราะดาต้าเซ็นเตอร์กินไฟมหาศาล สหรัฐฯ มีโมเดลใหญ่เก่งกว่า แต่จีนนำใน applied AI เชื่อมข้อมูลประชากรและอุตสาหกรรม ทำให้พัฒนาเร็วในปฏิบัติ เทรนด์ sovereign AI ทำให้แบ่งขั้วชัด สหรัฐฯ เน้นสร้างสรรค์ จีนเน้นควบคุมผลิต ซึ่งใครจัดการพลังงานและความร้อนดีกว่าชนะ และข้อมูลจริงชี้ consumption ดาต้าเซ็นเตอร์โลกพุ่ง โดยสหรัฐฯ และจีนครอง growth 80%

สุดท้าย แร่หายากคือไพ่ตายจีน

ครองการกลั่น 80-90% แม้ปี 2025-2026 มีการผ่อนผันควบคุมส่งออก gallium germanium antimony ชั่วคราวเพราะดีลการค้า แต่จีนยังกุมอำนาจต่อรองสูง การหาแหล่งใหม่ของสหรัฐฯ ต้องใช้เวลา 5-10 ปี ทำให้ปี 2026 จีนยังเหนือกว่าในจุดนี้

สรุปปี 2026 ความเหนือกว่าวัดที่การพึ่งตนเองและขัดขวางห่วงโซ่อุปทานอีกฝ่าย สหรัฐฯ เจ้าด้านปัญญาและนวัตกรรม จีนเจ้าแห่งผลิตและทรัพยากรรากฐาน ทำให้การแข่งขันยังสูสีและตึงเครียดต่อไป


แชร์ให้เพื่อน