ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568 ในห้วงเวลาเก้าปีที่หมุนผ่าน ณ มุมหนึ่งของจักรวาลแห่งความสัมพันธ์ เรื่องราวของ “ภารัณ” ชายหนุ่มผู้เก็บงำโลกส่วนตัวไว้ภายใน กับ “นับดาว” หญิงสาวผู้เจิดจรัสด้วยพลังบวก ได้ถักทอขึ้นจากมิตรภาพ สู่สายใยรักที่แสนพิสุทธิ์ ผลิบานท่ามกลางเสียงหัวเราะ หยาดน้ำตา และบททดสอบของจังหวะชีวิตที่ไม่เคยเป็นใจ ท้ายที่สุด…เส้นทางแห่งรักของคนทั้งคู่จะบรรจบกันที่ปลายทางแห่งความสุขนิรันดร์ได้หรือไม่?

ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568 ละครแนวโรแมนติกดราม่า เรื่องราวเล่าถึงความสัมพันธ์อันยาวนาน 9 ปี (พ.ศ. 2559-2567) ของ “ภารัณ” หนุ่มอินโทรเวิร์ตที่มีโลกส่วนตัวสูง และ “นับดาว” สาวพลังบวกที่สดใสและมองโลกในแง่ดี ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก คอยอยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษา และให้กำลังใจกันในยามที่อีกฝ่ายเผชิญปัญหาในชีวิต จากมิตรภาพที่แนบแน่น ความรู้สึกเริ่มพัฒนากลายเป็น “รักมากกว่าเพื่อน” แต่จังหวะชีวิตและโชคชะตาทำให้ความรักของทั้งคู่ไม่ลงตัว สร้างความท้าทายให้ทั้งสองต้องเผชิญกับรอยยิ้ม น้ำตา และการเติบโตไปด้วยกัน คำถามคือสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะลงเอยอย่างไร?

เรื่องราวเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2559 ในช่วงชีวิตวัยมหาวิทยาลัยของภารัณและนับดาว ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ฉากเด่นในตอนนี้เกิดขึ้นในงานพรอม เมื่อภารัณตัดสินใจสารภาพรักนับดาวต่อหน้าแฟนหนุ่มเก่าของเธอที่ยังตามตื้อขอคืนดี นับดาวที่กำลังอับอายและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียด ตัดสินใจ “เล่นใหญ่” โดยตอบรับความรักของภารัณและจูบเขากลางงานพรอม สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ฉากนี้จุดประกายความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความซับซ้อนในความรู้สึกของทั้งคู่

ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวเริ่มเผชิญความท้าทาย นับดาวต้องเผชิญกับความเหงา ปัญหาครอบครัว และความรู้สึกว้าเหว่ ทำให้ตัดสินใจบางอย่างที่อาจกระทบความสัมพันธ์ บทเรียนสำคัญในตอนนี้คือ “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของการตัดสินใจในช่วงวัยที่ยังไม่มั่นคง

เรื่องราวดำเนินต่อด้วยคำถาม “ใครขอจบ?” ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มสั่นคลอนเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะรักษามิตรภาพหรือก้าวข้ามไปสู่ความรักต่อไป

ภารัณและนับดาวเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การ “ตัดขาด” ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกทดสอบด้วยความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งที่ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริง

ความสัมพันธ์ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อมีการสารภาพความในใจ แต่คำถามคือ “สายไปแล้วหรือไม่?” และมีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของความสัมพันธ์ของทั้งคู่

สารบัญละคร

ซีรีส์แบ่งเรื่องราวเป็น 9 ปี โดยแต่ละตอนสะท้อนเหตุการณ์ในแต่ละปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2559-2567 ทำให้ผู้ชมได้เห็นการเติบโตของตัวละครและความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ไปพร้อมกับบริบทของยุคสมัย การแสดงของเอม สรรเพชญ์ และเฌอปราง อารีย์กุล ได้รับคำชื่นชมว่าสร้างความฟินและเข้ากันได้ดี โดยเฉพาะฉากจูบในตอนแรกที่ทำให้ผู้ชมใจสั่นและตั้งตารอตอนต่อไป ต่อไปนี้คือเรื่องราวสำคัญของละคร

จูบแห่งโชคชะตา (พ.ศ. 2559)
ในห้วงค่ำคืนของงานพรอม ปี 2559 ไฟระยิบระยับและเสียงเพลง “แพ้ทาง” ของลาบานูนดังก้องในหอประชุมของมหาวิทยาลัย ราวกับเป็นฉากหลังของโชคชะตาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง ภารัณ หนุ่มเงียบขรึมที่มีโลกส่วนตัวราวปราสาททรายอันเปราะบาง ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขาเป็นเพื่อนสนิทของ นับดาว สาวน้อยพลังบวกที่เปรียบดังแสงแดดยามเช้า กระนั้น คืนนี้หัวใจของเธอกำลังถูกบีบคั้นเมื่อแฟนเก่าผู้หยิ่งยโสพยายามรื้อฟื้นรักเก่าต่อหน้าผู้คน

ในวินาทีที่ความอับอายและความตึงเครียดคุกคามนับดาว ภารัณก้าวออกจากเงามืดของตัวเอง ด้วยความกล้าที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ เขาประกาศความรักต่อนับดาวต่อหน้าทุกคน คำพูดของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาด ฉีกกระชากความเงียบ และแล้วนับดาว ผู้ที่มักทำตามหัวใจมากกว่าเหตุผล ตอบสนองด้วยการจูบภารัณท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้คน รสจูบนั้นหวานปนขม ดุจจุดเริ่มต้นของบทเพลงรักที่ยังไม่มีชื่อ

ฉากนี้เป็นดั่งเปลวไฟที่จุดประกายความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน ทว่ามันก็ทิ้งคำถามไว้ในใจทั้งคู่ นี่คือความรัก หรือเพียงการแสดงเพื่อหนีจากเงื้อมมือแห่งอดีต? ผู้ชมต่างหลงใหลในเคมีอันร้อนแรงของภารัณและนับดาว ราวกับกำลังอ่านบทแรกของนิยายรักที่ทั้งหวานชื่นและชวนลุ้นระทึก

หัวใจที่เคว้งคว้าง
เมื่อแสงไฟแห่งงานพรอมจางลง ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวกลับยิ่งซับซ้อนราวเขาวงกต นับดาว สาวน้อยที่เคยสว่างไสว ต้องเผชิญหน้ากับเงามืดในใจ ความเหงาที่กัดกิน ปัญหาครอบครัวที่ร้าวราน และความรู้สึกเคว้งคว้างดั่งเรือที่ลอยกลางมหาสมุทรโดยไร้ทิศทาง เธอเลือกที่จะโยนตัวเองลงสู่ความสัมพันธ์กับภารัณ ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะหวังว่าความอบอุ่นของเขาจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจ

ทว่า การตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบนั้นเปรียบดั่งการโยนก้อนหินลงน้ำนิ่ง มันสร้างระลอกคลื่นแห่งความสับสน ภารัณ ผู้ที่มอบหัวใจให้เธออย่างเงียบๆ เริ่มรู้สึกถึงรอยร้าวในความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้น บทเรียนอันเจ็บปวดในบทนี้คือ “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ผู้ชมบางคนอาจรู้สึกขัดใจกับความหุนหันของนับดาว แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือภาพสะท้อนของวัยหนุ่มสาวที่ยังหลงทางในเขาวงกตของหัวใจ

เงาของตัวสำรอง
เมื่อเวลาผ่านไป ภารัณและนับดาวก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ ภารัณทำงานในบริษัทที่เต็มไปด้วยความกดดัน และที่นั่นเขาได้พบกับ มิรา หญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความสามารถและความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของหัวใจ มิราเริ่มรู้สึกถึงความพิเศษในตัวภารัณ แต่ยิ่งใกล้ชิด เธอยิ่งตระหนักว่าแสงสว่างในสายตาของเขามักส่องไปที่นับดาวเสมอ

เมื่อภารัณปกป้องนับดาวจาก เคน ชายหนุ่มที่อาจเป็นคู่แข่งหรือตัวร้ายในเงามืด จนทำให้เกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน มิราถูกบีบให้เผชิญหน้ากับความจริงอันเจ็บปวดว่าเธอเป็นเพียง “ตัวเลือกสำรอง” ในใจของภารัณ บทนี้เปรียบดั่งกระจกที่สะท้อนความเจ็บปวดของการรักโดยไม่ถูกมองเห็น ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจมิรา และบางคนอาจพบว่าตัวเองเคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน การยืนอยู่ในเงาของคนที่รักใครอีกคน

รอยร้าวแห่งการตัดขาด
ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวเดินมาถึงทางแยกที่เปราะบางราวสะพานไม้เก่าที่พร้อมพังทลาย ความขัดแย้งและความเข้าใจผิดดั่งลมพายุที่พัดกระหน่ำ ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่เจ็บปวด มิตรภาพที่เคยแน่นแฟ้นจะจบลงด้วยการ “ตัดขาด” หรือไม่? นับดาว ผู้ที่เคยเป็นแสงสว่าง เริ่มตั้งคำถามถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ส่วนภารัณต้องต่อสู้กับความกลัวที่จะสูญเสียคนสำคัญ

ในขณะเดียวกัน เซน ตัวละครรองที่เคยทำผิดพลาดด้วยการนอกใจคนรักในอดีต ปรากฏตัวขึ้นพร้อมแผลในใจที่ยังไม่หายดี เรื่องราวของเขาเปรียบดั่งเงาสะท้อนของการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งส่งผลกระทบยาวนานราวระลอกคลื่นในบึงน้ำ บทนี้เต็มไปด้วยความหน่วงในใจ ผู้ชมอาจรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในพายุแห่งอารมณ์ ที่ซึ่งทุกตัวเลือกนำมาซึ่งความเจ็บปวด

คำว่ารักที่รอคอย
หลังจากฝ่าฟันพายุแห่งความขัดแย้งและความสับสน บทที่ห้าเปรียบดั่งรุ่งอรุณหลังค่ำคืนอันยาวนาน ภารัณและนับดาวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ การสารภาพความในใจที่เก็บซ่อนมานาน 4 ปี คำว่า “ฉันรักแก” ดังขึ้นราวบทเพลงที่รอคอยมานาน ฉากเลิฟซีนในบทนี้เปรียบดั่งภาพวาดที่รังสรรค์ด้วยพู่กันแห่งอารมณ์ ละมุนละไมและเต็มไปด้วยความจริงใจ

ทั้งคู่ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างเพื่อนและคนรัก ราวกับกำลังข้ามสะพานสู่ดินแดนใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่ในความหวานชื่นนั้นยังแฝงไว้ด้วยความเปราะบาง เพราะความรักที่เริ่มต้นจากมิตรภาพยาวนานนั้นต้องเผชิญหน้ากับรอยแผลในอดีต ผู้ชมต่างหลงใหลในโมเมนต์นี้ โดยเฉพาะฉากที่ทั้งคู่มองตากันด้วยความรู้สึกที่ล้นทะลัก ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อพวกเขา

การแสดงของเอมและเฌอปรางได้รับคำชื่นชมว่าเข้ากันดี โดยเฉพาะฉากเลิฟซีนที่ละมุนและชวนฟิน ซีรีส์สะท้อนบทเรียนความสัมพันธ์ เช่น การตัดสินใจด้วยอารมณ์ การนอกใจ ของภารัณ หนุ่มอินโทรเวิร์ต และนับดาว สาวพลังบวก ที่พัฒนาจากมิตรภาพสู่ความรักท่ามกลางจังหวะชีวิตที่ไม่ลงตัว ต่อไปนี้คือจุดเด่นของ ละคร

การเล่าเรื่องตามกาลเวลา
ซีรีส์ใช้โครงเรื่องที่แบ่งเป็น 9 ปี โดยแต่ละตอนสะท้อนเหตุการณ์ในแต่ละปี ทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการของตัวละครและความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย การใช้เพลงประกอบยุคสมัย เช่น “แพ้ทาง” ของลาบานูนในปี 2559 ช่วยสร้างความรู้สึกย้อนยุคและอินไปกับตัวละคร ผู้ชมหลายคนชื่นชมว่าการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนดูชีวิตตัวเอง

เคมีพระนาง
เอม สรรเพชญ์ และ เฌอปราง อารีย์กุล ได้รับคำชมอย่างมากในเรื่องเคมีที่เข้ากัน ฉากเลิฟซีน โดยเฉพาะฉากจูบในงานพรอมตอนแรกและฉากสารภาพรัก ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “ละมุน” และ “ฟินจนใจสั่น” การแสดงของเอมในบทภารัณถ่ายทอดความทุ่มเทและความรักที่เก็บซ่อนได้ดี ส่วนเฌอปรางในบทนับดาวนำเสนอความสดใสแต่ก็เปราะบางได้สมจริง

ประเด็นความสัมพันธ์ที่สมจริง
ซีรีส์สำรวจความซับซ้อนของมิตรภาพที่กลายเป็นความรัก การตัดสินใจที่ผิดพลาดในวัยหนุ่มสาว และผลกระทบของจังหวะชีวิตที่ไม่ลงตัว เช่น การสารภาพรักในตอนที่ 1 ที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เริ่มด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ผู้ชมรู้สึกว่าเรื่องนี้สะท้อนชีวิตจริง โดยเฉพาะประเด็น “รักมากกว่าเพื่อนแต่ไม่กล้าบอก” หรือ “พลาดโอกาสเพราะจังหวะไม่เหมาะ”

ตัวละครรองที่น่าสนใจ
ตัวละครอย่าง มิรา (ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล) และ เซน (จิณภพ ปรารถนาสันติ) เพิ่มมิติให้เรื่องราว มิราในตอนที่ 3 นำเสนอมุมมองของผู้หญิงที่รู้สึกเป็นตัวเลือกสำรอง ส่วนเซนสะท้อนผลกระทบจากการนอกใจ ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองหลากหลายของความสัมพันธ์

โปรดักชันและเพลงประกอบ
การกำกับโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ และทีมเขียนบทที่แข็งแกร่งทำให้ซีรีส์มีจังหวะการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ฉากงานพรอม โมเมนต์โรแมนติก และดราม่าถูกถ่ายทอดด้วยภาพที่สวยงาม เพลงประกอบที่เลือกมา เช่น เพลงดังในแต่ละปี ช่วยเสริมอารมณ์และสร้างความน่าสนใจ

คะแนน 8.5/10 (จาก sence9.com)

“9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” เป็นซีรีส์ที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรื่องราวความรักที่สมจริง ผสมดราม่าและความฟิน ด้วยเคมีของเอมและเฌอปรางที่เป็นจุดขาย การเล่าเรื่องที่พาไปสำรวจ 9 ปีของความสัมพันธ์ และเพลงประกอบที่ชวนคิดถึง ถึงแม้จะมีบางจุดที่จังหวะช้าหรือการตัดสินใจของตัวละครอาจทำให้รู้สึกขัดใจ แต่โดยรวมเป็นละครที่ดูเพลินและให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักและจังหวะชีวิต แนะนำให้ดูเวอร์ชัน UNCUT ทางแอป oneD เพื่อประสบการณ์เต็มอิ่ม

ความฟินและใจเต้นแรงจากเคมีพระนาง
ฉากงานพรอม ฉากที่ภารัณสารภาพรักนับดาวต่อหน้าแฟนเก่า และนับดาวตอบด้วยการจูบเขากลางงานพรอม ทำให้หัวใจผู้ชมเต้นรัว ผู้ชมบนโซเซียล พูดถึงฉากนี้ว่า “ฟินจนอยากกรี๊ด” และ “เคมีเอม-เฌอปรางดีเกินคาด” การแสดงของทั้งคู่ถ่ายทอดความเขินอายและความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่วัยมหาวิทยาลัย

ฉากเลิฟซีน ฉากสารภาพรักหลังเก็บซ่อนมานาน 4 ปี ถูกพูดถึงว่า “ละมุน” และ “ชวนจิกหมอน” ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของโมเมนต์ที่ทั้งคู่ก้าวข้ามเส้นจากเพื่อนสู่คนรัก อารมณ์ฟินนี้ถูกขยายด้วยเพลงประกอบที่เข้ากับฉาก ทำให้รู้สึกอินและอยากให้ทั้งคู่สมหวัง

ความรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจตัวละคร
ความเปราะบางของนับดาว ในตอนที่นับดาวเผชิญความเหงาและปัญหาครอบครัว ทำให้ตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์ด้วยอารมณ์ ผู้ชมหลายคนรู้สึกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกเคว้งคว้างของเธอ เพราะมันสะท้อนช่วงวัยที่ยังสับสน บางคนบนโซเซียล แชร์ว่า “นับดาวเหมือนเราในวันที่ตัดสินใจอะไรโดยไม่คิด” ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้มองย้อนกลับไปในอดีตของตัวเอง

มุมมองของมิรา ตัวละครรองอย่างมิรา (ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล) ที่รู้สึกเป็นตัวสำรองในความสัมพันธ์ของภารัณ ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกสะเทือนใจและเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะผู้ที่เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กัน ความรู้สึก “ไม่ถูกเลือก” ถูกถ่ายทอดได้อย่างเจ็บปวดแต่สมจริง

ความคิดถึงและย้อนวัย
การใช้เพลงประกอบและบริบทของแต่ละปี เทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น บรรยากาศงานพรอม การแต่งตัว และสถานการณ์ในละครชวนให้คิดถึงวัยหนุ่มสาว ผู้ชมบางคนแชร์ในโซเซียลว่า “ดูแล้วคิดถึงสมัยเรียน อยากย้อนไปแก้ไขอะไรบางอย่าง” ความรู้สึกนี้ทำให้ละครไม่เพียงเป็นเรื่องราวของตัวละคร แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนชีวิตของผู้ชม

ความหงุดหงิดและดราม่าที่สมจริง
การตัดสินใจของนับดาวในบางตอน เช่น การเริ่มความสัมพันธ์โดยไม่มั่นใจในตอนที่ 2 หรือความขัดแย้งในตอนที่ 4 ที่นำไปสู่การ “ตัดขาด” ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ยอมรับว่านี่คือความสมจริงของตัวละครที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ บางคนในโซเซียล บอกว่า “นับดาวทำไมใจร้อนจัง แต่ก็เข้าใจเพราะมันเหมือนชีวิตจริง” ความรู้สึกนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมและอยากติดตามว่าตัวละครจะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้อย่างไร

ดราม่าในตอนที่ 3-4 ที่ตัวละครเผชิญความเข้าใจผิดหรืออุปสรรคในความสัมพันธ์ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในวงจรของความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ บางคนรู้สึก “ลุ้นจนเหนื่อย” แต่ก็หยุดดูไม่ได้

ข้อคิดและการเติบโต
ละครนำเสนอบทเรียนเกี่ยวกับความรักและจังหวะชีวิต เช่น “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ในตอนที่ 2 หรือ “การสารภาพรักอาจสายเกินไป” ในตอนที่ 5 ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ข้อคิดและทบทวนความสัมพันธ์ของตัวเอง บางคนแชร์ในโซเซียลว่า “ดูแล้วอยากไปบอกคนที่รักว่าชอบเขาก่อนจะสายเกินไป”

การเติบโตของภารัณและนับดาว โดยเฉพาะในตอนท้ายๆ  ที่ทั้งคู่อยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ และเริ่มมองย้อนกลับไปในอดีต ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความหวังและการยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น

ซีรีส์ “9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” เหมือนได้เดินทางไปกับความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความหวาน ความเจ็บปวด และการเติบโต ผู้ชมจะรู้สึก ฟิน กับโมเมนต์โรแมนติก สะเทือนใจ กับดราม่า คิดถึง ช่วงวัยหนุ่มสาว และได้ ข้อคิด เกี่ยวกับความรักและจังหวะชีวิต ละครเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรื่องราวความรักที่สมจริงและอยากย้อนนึกถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิต ถึงแม้บางฉากอาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดหรือหน่วง แต่โดยรวมแล้วมันคือประสบการณ์ที่ครบรสและน่าจดจำ


ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568

ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568

ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568 EP.1-6oneD​​​​​​

ซีน ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568

ยิ้มง่าย (Better Together) – fellow fellow [OFFICIAL MV] | OST. 9 Years of you แต่ละปีที่มีเธอ

ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568

ซีรีส์นี้เล่าถึงชีวิตของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) หนุ่มอินโทรเวิร์ตสุดเงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) สาวพลังบวกที่เหมือนแสงแดดส่องสว่างให้ทุกคนรอบตัว ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กเลยนะ สนิทแบบรู้ทุกซอกทุกมุมของกันและกัน คอยซัพพอร์ต ให้คำปรึกษา และเป็นที่พักพิงในวันที่ชีวิตพังๆ

แต่เดี๋ยวก่อน จากมิตรภาพสุดแน่น มันเริ่มมีโมเมนต์ที่หัวใจเต้นตึบตั้บ ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนจาก “เพื่อนรัก” เป็น “รักเพื่อน” แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเนาะ จังหวะรักของทั้งคู่ดันไม่ลงตัวซะงั้น เรื่องนี้จะพาเราย้อนไปดู 9 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2567 คำถามคือ สุดท้ายแล้วความรักของภารัณและนับดาวจะสมหวังมั้ย หรือจะจบแบบน้ำตาไหล? ต้องตามดูให้ครบ

ตอนแรกนี่คือปังมาก ฉากเปิดมาในงานพรอมของมหาวิทยาลัย ปี 2559 บรรยากาศสุดชิล มีเพลง “แพ้ทาง” ของลาบานูนเป็นแบ็กกราวนด์ ฟีลแบบย้อนวัยสุดๆ ภารัณ หนุ่มเงียบๆ ที่ปกติไม่ค่อยพูด แต่ใจมันรักนับดาวมานาน ต้องมาเจอสถานการณ์สุดอึดอัด เมื่อแฟนเก่าของนับดาวโผล่มาง้อขอคืนดีต่อหน้าทุกคน! นับดาวตอนนั้นคือหน้าเสียสุดๆ แบบช่วยด้วยยย

แล้วจู่ๆ ภารัณก็ฮีโร่มาก เขาก้าวออกมาสารภาพรักนับดาวต่อหน้าทุกคนเลย ทุกคนในงานแบบอึ้งไปเลยยย และที่พีคกว่านั้นคือ นับดาวเล่นใหญ่ เธอตอบด้วยการ จูบภารัณ กลางงานพรอม โอ้โห ฉากนี้คือใจเต้นตึกๆๆ ทุกคนบนโซเซียล แชร์กันกระจายว่า “เคมีเอม-เฌอปรางคือสุดยอด” ฉากจูบนี่คือฟินจนอยากกรี๊ด แต่เดี๋ยวก่อน มันทำให้เรานั่งลุ้นว่า นี่คือรักจริง หรือแค่นับดาวเล่นใหญ่เพื่อเอาตัวรอด? ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างเลย

ต่อมาในความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวเริ่มซับซ้อนแล้วล่ะ ทุกคน นับดาวตอนนี้เหมือนคนที่กำลังหลงทางในชีวิต เธอเจอปัญหาครอบครัว ความเหงา ความรู้สึกเคว้งคว้างแบบที่วัยรุ่นหลายคนต้องเคยเจอ แล้วด้วยความรู้สึกชั่ววูบ เธอตัดสินใจเริ่มต้นความสัมพันธ์กับภารัณ! แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่เพราะรักลึกซึ้งอะไรขนาดนั้นนะ มันเหมือนเธอแค่อยากหาที่พักใจ

ตรงนี้แหละที่เริ่มดราม่า ภารัณที่แอบรักนับดาวมานานเริ่มรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์นี้ ตอนนี้สอนบทเรียนสำคัญเลยว่า “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ผู้ชมบางคนแบบ “นับดาว ทำไมใจร้อนแบบนี้” แต่ก็มีคนที่เข้าใจนับดาวนะ เพราะมันสมจริงมาก วัยนี้ใครๆ ก็เคยตัดสินใจอะไรไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ฉากนี้คือหน่วงๆ แต่ก็ทำให้เราอยากรู้ว่าเรื่องจะไปต่อยังไง

มาถึงตอนที่เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้น ภารัณและนับดาวก้าวจากวัยมหาลัยเข้าสู่โลกทำงานแล้ว ภารัณทำงานในบริษัท และที่นี่เราได้เจอกับ มิรา (รับบทโดย ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล หรือ มายด์) สาวสวยที่มีความมั่นใจแต่แอบเปราะบางในใจ มิราเริ่มรู้สึกดีกับภารัณ แต่ปัญหาคือ ภารัณยังคงให้ความสำคัญกับนับดาวมากกว่านะสิ

แล้วมันดราม่าตรงที่ภารัณไปปกป้องนับดาวจนมีปัญหากับ เคน ตัวละครที่เหมือนจะเป็นคู่แข่งหรือตัวร้ายนิดๆ จนกระทบงานในบริษัทเลย มิราถึงจุดที่รู้สึกว่า “ฉันมันแค่ตัวสำรอง” อ่ะ ทุกคน ฉากนี้คือเจ็บจี๊ด ผู้ชมหลายคนบอกว่าเห็นใจมิรามาก เพราะมันเหมือนเราเคยอยู่ในโมเมนต์ที่รู้สึกรักใครสักคน แต่เขาไม่เคยมองเห็นเราเลย ตอนนี้คือหน่วงสุดๆ แต่ก็ทำให้เราเริ่มเห็นมิติของตัวละครรองที่เด่นขึ้นมา

ตอนนี่คือจุดที่ทุกอย่างเริ่มพีค ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวมาถึงทางแยกที่แบบ “จะไปต่อหรือตัดขาดกันไปเลย?” มีความขัดแย้งและความเข้าใจผิดที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกจริงๆ ในใจ นับดาวเริ่มสงสัยว่าเธอรู้สึกอะไรกับภารัณกันแน่ ส่วนภารัณก็กลัวว่าจะเสียเพื่อนสนิทคนนี้ไป

นอกจากนี้ยังมี เซน (รับบทโดย จิณภพ ปรารถนาสันติ) ตัวละครรองที่โผล่มาเพิ่มดราม่า เซนเคยนอกใจแฟนในอดีต แล้วตอนนี้เขาต้องเจอกับผลของการกระทำนั้น ทุกคน ฉากนี้มันเหมือนตอกย้ำว่าการตัดสินใจในอดีตมันตามมาหลอกหลอนได้จริงๆ ผู้ชมบางคนบอกว่าตอนนี้หน่วงมากกก เพราะมันเหมือนเรากำลังเห็นความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามเริ่มมีรอยร้าว อยากรู้เลยว่าทั้งคู่จะผ่านมันไปได้มั้ย

ตอนนี่คือพีคของพีค หลังจากดราม่ามาหลายตอน ในที่สุดเราก็ได้เห็นโมเมนต์ที่รอคอย ภารัณและนับดาวมาถึงจุดที่ต้องสารภาพความในใจแบบจริงจัง คำว่า “ฉันรักแก” ที่ออกจากปากคือแบบ ใจเต้นตึกๆๆ ฉากเลิฟซีนในตอนนี้คือละมุนสุดๆ ผู้ชมบนโซเซียลบอกว่า “ฉากนี้คือจิกหมอนขาด” เพราะมันสื่อถึงความรักที่เก็บซ่อนมานาน 4 ปีได้แบบถึงใจ

ทั้งคู่ฝ่าฟันปัญหามาเยอะจนก้าวข้ามเส้นจาก “เพื่อน” ไปเป็น “คนรัก” ได้ในที่สุด แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องมันไม่ได้จบง่ายๆ นะ เพราะยังมีความเปราะบางจากอดีตที่อาจจะมากวนใจ ตอนนี้คือฟินปนลุ้น ทุกคนจะรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะเลย

เอาจริงๆ นะ ซีรีส์นี้มันเหมือนพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนไปดูชีวิตวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานเลย เพลงประกอบแต่ละปี ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนไปสมัยนั้นจริงๆ เคมีของ เอม กับ เฌอปราง คือที่สุด ฉากจูบ ฉากสารภาพรัก คือฟินจนอยากกรี๊ด แต่ก็มีโมเมนต์หน่วงๆ ที่ทำให้แอบน้ำตาคลอ เช่น ความเจ็บปวดของมิราที่เป็นตัวสำรอง หรือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของนับดาว

บางคนอาจจะรู้สึกว่านับดาวตัดสินใจไวไปหน่อย แบบ “นี่เธอใจร้อนไปมั้ย?” แต่เราว่านี่แหละคือความสมจริงของวัยหนุ่มสาวที่ยังสับสนในความรู้สึกตัวเอง ละครเรื่องนี้มันเหมือนกระจกที่สะท้อนชีวิตเราในบางมุมเลยนะ ใครเคยแอบรักเพื่อนหรือเจอจังหวะรักที่ไม่ลงตัว ต้องอินแน่นอน

“9 YEARS OF YOU” ไม่ใช่แค่ละคร แต่เหมือนไดอารี่ของความรักที่พาเราย้อนไปดูทั้งความสุขและความเจ็บปวด ถ้าคุณเคยแอบรักเพื่อน หรือเคยรู้สึกว่าจังหวะรักมันไม่ลงตัว เรื่องนี้จะทำให้คุณอินสุดๆ

เบื้องหลัง ของซีรีส์สุดปังแห่งปี 2568 “9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” บอกเลยว่างานนี้คือการรวมตัวของทีมงานคุณภาพที่ทำให้ซีรีส์นี้ฟินจนใจสั่น

เบื้องหลังของความรัก 9 ปี
ก่อนอื่นเลย ทุกคนต้องรู้ว่า “9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ 9 ปี (2559-2567) ของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) หนุ่มอินโทรเวิร์ตสุดเงียบขรึม และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) สาวพลังบวกที่เหมือนแสงแดดในวันที่ฝนตก ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก คอยซัพพอร์ตกันทุกเรื่อง แต่จู่ๆ ความรู้สึกมันเริ่มเปลี่ยนจาก “เพื่อนรัก” เป็น “รักมากกว่าเพื่อน” แต่จังหวะชีวิตดันไม่ลงตัว เรื่องนี้มีทั้งความฟิน ความหน่วง และดราม่าที่ทำให้เราน้ำตาคลอ ทีมงานเบื้องหลังคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทุกฉากมันตราตรึงใจขนาดนี้

ทีมเขียนบท 4 นักเขียนที่รังสรรค์เรื่องราวสุดละมุน

มาเริ่มที่ทีมเขียนบทกันก่อนเลย ทุกคน บทโทรทัศน์ของเรื่องนี้เขียนโดย พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์, เชษฐ์ สงวนนาม, กรณิภา ดวงมุสิทธิ์, และ ฐานิตา วัชวงค์ ซึ่งแต่ละคนคือมือฉมังในวงการบทละครเลยนะ

พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์

4 1 scaled
พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์

คนนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเขียนบทที่ลึกซึ้ง อารมณ์จัดเต็ม เคยฝากผลงานในละครดังๆ ที่ทำให้คนดูร้องไห้มาแล้ว ในเรื่องนี้ เธอน่าจะเป็นคนที่ใส่ความดราม่าของตัวละครอย่างนับดาวที่ต้องเจอปัญหาครอบครัวและความเหงา ทำให้เรารู้สึกอินสุดๆ

เชษฐ์ สงวนนาม
นักเขียนที่เก่งเรื่องการสร้างโมเมนต์หวานๆ ชวนฟิน ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 หรือฉากสารภาพรักในตอนที่ 5 ที่ทุกคนกรี๊ดกันทั้ง X น่าจะมีกลิ่นอายฝีมือของเขาอยู่แน่ๆ

กรณิภา ดวงมุสิทธิ์

qYyRe5 5c
กรณิภา ดวงมุสิทธิ์

คนนี้เด่นเรื่องการถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน อย่างความรักที่ไม่ลงตัวของภารัณและนับดาว หรือดราม่าของตัวละครรองอย่างมิรา ที่ทำให้เรารู้สึกเห็นใจ

ฐานิตา วัชวงค์
นักเขียนที่ช่วยเติมสีสันให้เรื่องราวมีมิติ อาจจะเป็นคนที่ใส่บริบทของแต่ละปี ในตอนแรกที่ชวนเราย้อนวัย

ทีมเขียนบททั้ง 4 คนนี้คือเหมือนเชฟที่ปรุงอาหารจานเด็ด เขาเอาความหวาน ความดราม่า และความสมจริงมารวมกัน จนได้บทที่ทำให้เราลุ้นทุกตอนว่าความรักของภารัณและนับดาวจะไปต่อยังไง บอกเลยว่าเคมีของบทมันลงตัวสุดๆ เพราะทีมนี้รู้วิธีทำให้เราทั้งฟินและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน

ผู้กำกับ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณตำนานเลิฟสตอรี่

DSCF8285
บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ

มาถึงหัวเรือใหญ่ของเรื่องนี้ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้กำกับที่เรียกว่าเป็นตำนานของวงการเลย พี่บอยเคยฝากผลงานเลิฟสตอรี่สุดคลาสสิกไว้เพียบ เช่น รักในรอยแค้น, เพื่อเธอ, หรือ ยามเมื่อลมพัดหวน ซึ่งผ่านมา 30 ปีแล้วที่พี่บอยไม่ได้กำกับแนวรักโรแมนติกแบบเต็มตัว การกลับมากำกับ 9 YEARS OF YOU ครั้งนี้เลยเหมือนการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่

พี่บอยเล่าว่าเขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอเคมีของ เอม และ เฌอปราง เพราะทั้งคู่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงละครรักในยุคก่อนๆ ที่มีซิกเนเจอร์ของความหวานปนดราม่า ฉากในงานพรอมตอนที่ 1 ที่ภารัณสารภาพรักและนับดาวจูบเขากลางงาน คือตัวอย่างของการกำกับที่พี่บอยใส่ใจทุกรายละเอียด

ทุกคนบนโซเซียลกรี๊ดฉากนี้กันหนักมาก เพราะมันทั้งเขินทั้งลุ้น พี่บอยยังเลือกเพลงประกอบแต่ละปี เช่น “แพ้ทาง” ของลาบานูน เพื่อให้ฟีลย้อนยุคสมจริง และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในช่วงนั้นจริงๆ

การกำกับของพี่บอยคือการถ่ายทอดความรักที่เปราะบางแต่ทรงพลัง ทุกฉากมันเหมือนภาพวาดที่ทั้งสวยและเจ็บปวด อย่างฉากเลิฟซีนในตอนที่ 5 ที่ทุกคนบอกว่า “ละมุนสุดๆ” นี่คือฝีมือของพี่บอยที่ทำให้โมเมนต์นั้นมันตราตรึงใจ

งานเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่

เบื้องหลังของซีรีส์นี้มันปังตั้งแต่เริ่มเลยนะ เพราะวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ทาง oneD ORIGINAL จัดงานเปิดตัวที่ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมฉาย 2 ตอนแรกให้สื่อและแฟนๆ ดูก่อนใคร งานนี้มีทั้ง พี่บอย ถกลเกียรติ, เอม สรรเพชญ์, เฌอปราง, และนักแสดงสมทบอย่าง เจี๊ยบ โสภิตนภา, นุ้ย สุจิรา, น็อต วรฤทธิ์, ดวงดาว จารุจินดา, มายด์ ลภัสลัล, กั้ง กรณ์, และอีกมากมาย รวมกว่า 500 คน บรรยากาศคือคึกคักสุดๆ มีสื่อ KOL อินฟลูเอนเซอร์ และแฟนคลับลั่นชัตเตอร์รัวๆ

งานนี้ทำให้เห็นว่าเบื้องหลังของซีรีส์มันเต็มไปด้วยพลังและความทุ่มเท ทีมงานทุกคนตั้งใจให้ 9 YEARS OF YOU เป็นมากกว่าละคร แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับทุกโมเมนต์

ความรู้สึกจากนักแสดงและทีมงาน

ในงานเปิดตัว นักแสดงอย่าง เอม และ เฌอปราง ได้แชร์ความรู้สึกว่านี่เป็นโปรเจกต์ที่พิเศษมาก เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกัน และเป็นการแสดงครั้งแรกของเฌอปรางกับช่องวัน 31 ด้วย เอมบอกว่าเขารู้สึกท้าทายกับบท ภารัณ เพราะต้องถ่ายทอดความเป็นคนอินโทรเวิร์ตที่รักลึกๆ แต่ไม่กล้าบอก ส่วนเฌอปรางบอกว่า นับดาว ทำให้เธอได้สำรวจอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความสดใสไปจนถึงความเปราะบาง

พี่บอยยังเล่าด้วยว่าการเลือกนักแสดงทั้งคู่มาเจอกันคือเหมือนเจอ “เคมีที่ใช่” ทำให้เขาตัดสินใจกลับมากำกับแนวรักโรแมนติกอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ทีมนักเขียนก็ทำงานหนักมากเพื่อให้บทสะท้อนความสมจริงของวัยหนุ่มสาว และใส่บริบทของแต่ละปีให้เข้ากับยุคสมัย เช่น การใช้เพลงดังในช่วงนั้นๆ หรือเหตุการณ์ที่คนดูจะรู้สึก “อ๋อ คิดถึงสมัยนั้นเลย”

“9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” คือผลงานที่ทีมงานใส่ใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่บทที่เขียนโดย 4 นักเขียนสุดเก่ง ไปจนถึงการกำกับของพี่บอยที่ทำให้ทุกฉากมันตราตรึงใจ ถ้าคุณชอบเรื่องรักที่สมจริง มีทั้งความหวานและความเจ็บปวด เรื่องนี้ห้ามพลาด

นักแสดง

→ สรรเพชญ์ คุณากร รับบท ภารัณ

สรรเพชญ์ คุณากร

ภารัณ คือหนุ่มอินโทรเวิร์ตที่มีโลกส่วนตัวสูงมากกก เขาเป็นคนเงียบขรึม เก็บตัว และมักจะใช้สมองมากกว่าใจในการตัดสินใจ ภารัณเป็นทายาทของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ชีวิตตอนแรกเหมือนเกิดมาในกองเงินกองทองเลย แต่พอโลกเปลี่ยน ธุรกิจของพ่อ (รับบทโดย น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์) ล้มละลาย ทิ้งหนี้ 300 ล้านให้เขากับแม่ (รับบทโดย เจี๊ยบ โสภิตนภา ชุ่มภาณี) ต้องแบกรับ ชีวิตของภารัณเลยเหมือนรถไฟเหาะ มีทั้งขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด

มิตรภาพและความรัก
ภารัณเป็นเพื่อนสนิทของ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) ตั้งแต่เด็ก เขาคอยเป็นที่พักใจให้เธอในวันที่ชีวิตมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือความรัก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มจากมิตรภาพที่แน่นปึ้ก แต่ลึกๆ ในใจ ภารัณแอบมีความรู้สึกเกินเพื่อนมานานแล้ว เขาแค่ไม่กล้าบอก

ความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่
ถึงจะดูเงียบๆ แต่ภารัณเป็นคนอบอุ่นมากกก คอยอยู่เคียงข้างทุกคน โดยเฉพาะนับดาว เอม สรรเพชญ์ บอกเองเลยว่า “ภารัณเป็นผู้ชายอบอุ่นที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและดูแลทุกคน ทำให้คนดูหลงรักคาแรกเตอร์กัน”

ชีวิตที่รันทด
ชีวิตภารัณนี่ดราม่าสุดๆ นอกจากเรื่องหนี้ 300 ล้านแล้ว ยังเจอปัญหาเปิดบริษัทที่ไม่ราบรื่น แถมชีวิตส่วนตัวก็หนักหน่วง มีโพสต์บนโซเซียลบอกว่า “แต่งงานครั้งแรกเมียท้องก็เสียลูกไป จะแต่งงานครั้งที่สองแฟนก็เป็นมะเร็งอีก” บอกเลยว่าชีวิตภารัณคือสุดรันทด แต่เขาก็ยังสู้ต่อ

ฉายาของภารัณ: “NA-NING หน้านิ่ง”
ฉายานี้ปังมาก NA-NING หน้านิ่ง มาจากความเป็นคนเงียบขรึม อินโทรเวิร์ตของภารัณ ที่ดูเหมือนหน้านิ่งแต่ใจอบอุ่น ฉายานี้กลายเป็นตัวการ์ตูนในเรื่องที่แฟนๆ หลงรัก จนถึงขั้นมี สติ๊กเกอร์ Line และ ART TOY NA-NING ออกมาเป็นของสะสม มี 3 สี 3 ความรู้สึก ช่วยฮีลใจแฟนๆ กันเลยทีเดียว เอมเล่าว่าฉายานี้สะท้อนตัวตนของภารัณที่เป็นคนนิ่งๆ แต่คอยซัพพอร์ตทุกคนอย่างเงียบๆ บนโซเซียลมีคนพูดถึงความน่ารักของ NA-NING ว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่ทำให้คนดูรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่เห็น

ข้อคิดจากภารัณ
ความรักต้องใช้เวลาและจังหวะ ภารัณแอบรักนับดาวมานาน แต่เขารู้ว่าจังหวะชีวิตสำคัญ ถ้าไม่พร้อมหรือสถานการณ์ไม่เหมาะ การรอคอยอาจจะดีกว่าการฝืน ข้อคิดนี้คือ “รักแท้ต้องอดทน รอจังหวะที่ใช่ แล้วทุกอย่างจะลงตัว”

ความเงียบไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึก ถึงภารัณจะเป็นคนเงียบๆ แต่เขามีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ข้อคิดคือ “บางครั้งคนที่เงียบที่สุดอาจจะมีอะไรในใจมากที่สุด อย่ามองข้ามคนที่อยู่ข้างๆ คุณ”

สู้ต่อแม้ชีวิตจะรันทด ภารัณเจอปัญหาหนักๆ ตั้งแต่หนี้ 300 ล้าน ไปจนถึงความสูญเสียในชีวิตส่วนตัว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ข้อคิดคือ “ไม่ว่าชีวิตจะโยนอะไรมาที่คุณ จงสู้ต่อไป เพราะทุกปัญหามีทางออก”

ทำไมภารัณถึงน่าจดจำ
การแสดงของเอม สรรเพชญ์ นี่คือผลงานการแสดงครั้งแรกของเอม แต่แฟนๆ ชมว่า “ดีเกินคาด” และ “ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแรก” เอมบอกว่าเขากดดันมากตอนแรก แต่พี่บอย ถกลเกียรติ คอยให้คำแนะนำ ทำให้ภารัณมีมิติและสมจริงสุดๆ เคมีของเอมกับเฌอปรางคือปังมากกก ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 หรือฉากสารภาพรักในตอนที่ 5 ทำให้คนดูจิกหมอนขาดบนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “เคมีเอม-เฌอปรางคือฟินระเบิด”

ภารัณคือตัวแทนของคนที่รักใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก หรือต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ใครที่เคยแอบรักเพื่อนต้องอินกับภารัณแน่นอน

→ เฌอปราง อารีย์กุล รับบท นับดาว

hq720
เฌอปราง อารีย์กุล

นับดาว คือสาวพลังบวกตัวแม่ เธอเป็นสาวเอ็กซ์โทรเวิร์ตที่สดใส ร่าเริง และเหมือนแสงแดดที่ส่องสว่างให้ทุกคนรอบตัว เธอรักการวาดรูปและแอนิเมชันเป็นชีวิตจิตใจ แถมยังเป็นคนที่ใช้ใจนำทางมากกว่าเหตุผล แต่ชีวิตของนับดาวไม่ได้ง่ายเลยนะ ทุกคน เธอเป็นลูกสาวคนเล็กในครอบครัวที่ทำร้านอาหาร และมักถูกแม่ (รับบทโดย นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์) เปรียบเทียบกับพี่สาวที่เป็นเชฟมิชลินสตาร์ ทำให้เธอรู้สึกกดดันและเคว้งคว้างบ่อยๆ

มิตรภาพและความรัก
นับดาวเป็นเพื่อนสนิทของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) ตั้งแต่เด็ก เธอคอยเป็นพลังบวกให้ภารัณในวันที่เขาต้องเจอปัญหาหนักๆ เช่น หนี้ 300 ล้านจากธุรกิจครอบครัวที่ล้มละลาย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มซับซ้อนเมื่อความรู้สึกเกินเพื่อนเริ่มก่อตัว ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 ที่นับดาวเล่นใหญ่จูบภารัณต่อหน้าทุกคนคือจุดสปาร์กที่ทำให้คนดูกรี๊ด

ความเปราะบางในใจ
ถึงจะดูสดใส แต่ลึกๆ นับดาวมีมุมที่เปราะบาง เธอเจอปัญหาครอบครัว ความเหงา และความสับสนในความรู้สึก ทำให้บางครั้งตัดสินใจอะไรไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เช่น การเริ่มต้นความสัมพันธ์กับภารัณในตอนที่ 2 ที่หลายคนมองว่า “ใจร้อนไปหน่อย”

ความแตกต่างจากเฌอปราง
เฌอปรางเล่าว่านับดาวคือคนละขั้วกับตัวเอง เธอบอกว่า “ตัวจริงฉันอินโทรเวิร์ต คิดเยอะ มีเสียงดีและร้ายในหัวตลอดเวลา แต่ต้องมาเล่นเป็นสาวเอ็กซ์โทรเวิร์ตสุดพลังบวก” เพื่อให้สมบทบาท เธอถึงขั้นไปเวิร์กช็อปการวาดรูปกับ ครูปาน (สมนึก คลังนอก) ศิลปินชื่อดังที่ออกแบบตัวการ์ตูน หน้านิ่ง (NA-NING) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากภารัณ ทำให้ฉากที่เธอวาดรูปในเรื่องดูสมจริงสุดๆ

ฉายาของนับดาว: “SUNSHINE GIRL สาวพลังบวก”
ฉายานี้คือปังมากกก SUNSHINE GIRL สาวพลังบวก สะท้อนตัวตนของนับดาวที่เป็นเหมือนแสงแดดส่องสว่างให้ทุกคน โดยเฉพาะภารัณที่มักอยู่ในโลกเงียบๆ ของตัวเอง บนโซเซียลมีแฟนๆ โพสต์ว่า “นับดาวคือตัวแทนของคนที่ยิ้มได้แม้ชีวิตจะหนัก” ฉายานี้ยังเข้ากับความรักในการวาดรูปของเธอ เพราะเธอมักวาดอะไรที่เต็มไปด้วยสีสันและความหวัง แถมในเรื่องยังมีโมเมนต์ที่นับดาววาดตัวการ์ตูนหน้านิ่ง ซึ่งกลายเป็นสติ๊กเกอร์ Line และ ART TOY สุดน่ารัก

ข้อคิดจากนับดาว
รักตัวเองก่อนรักคนอื่น นับดาวในช่วงแรกตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์กับภารัณด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เพราะความเหงาและปัญหาครอบครัว แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน เธอเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและเลือกสิ่งที่ใจต้องการจริงๆ ข้อคิดนี้คือ “อย่าเป็นคนอะไรก็ได้ ยอมเลือกแม้ยังไม่ชอบ” จากโพสต์บนโซเซียล ที่บอกว่านับดาวคือตัวแทนของการเติบโตที่รักตัวเองมากขึ้น

กล้าแสดงความรู้สึก แม้จะแย่ นับดาวสอนว่าไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา การร้องไห้หรือระบายความรู้สึกไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ เฌอปรางเองบอกว่า “การเล่นเป็นนับดาวทำให้ฉันกล้ารู้สึกแย่และยอมรับความอ่อนไหว” ข้อคิดนี้คือ “กล้าที่จะรู้สึกแย่ เพราะมันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น”

ชีวิตสั้น รีบทำในสิ่งที่รัก โมเมนต์ที่นับดาววิ่งไปบอกภารัณว่า “ฉันรักแก” คือการตัดสินใจที่มาจากใจล้วนๆ ข้อคิดจากโพสต์บนโซเซียล คือ “ชีวิตมันสั้น…อะไรที่มีความสุข ให้รีบทำ” ทำให้เราเห็นว่านับดาวกล้าตามหัวใจตัวเอง แม้ว่าจะเสี่ยง

ทำไมนับดาวถึงน่าจดจำ
การแสดงของเฌอปราง นี่คือผลงานการแสดงครั้งแรกของเฌอปรางกับช่องวัน 31 และแฟนๆ ชมว่าเธอถ่ายทอดความเป็นนับดาวได้สมจริงสุดๆ แม้ว่าจะต่างจากตัวตนจริงของเธอที่เป็นคนอินโทรเวิร์ต เฌอบอกว่า “การเล่นเป็นนับดาวทำให้ฉันเข้าใจความหลากหลายของมนุษย์และมี empathy มากขึ้น”

นับดาวคือสาวที่กล้าใช้ใจนำทาง แม้ว่าบางครั้งจะตัดสินใจผิดพลาด แต่เธอก็เรียนรู้และเติบโต ใครที่เคยสับสนในความรักหรือชีวิตต้องอินกับนับดาวแน่นอน

→ ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล รับบท มิรา

ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล

มิรา คือตัวละครรองที่มาแรงและขโมยซีนสุดๆ ใน 9 YEARS OF YOU เธอเป็นสาวมั่นใจ ฉลาด และมีความสามารถเต็มเปี่ยม เป็นคนที่ทำงานเก่งและมีเป้าหมายชัดเจนในชีวิต มิราโผล่มาในช่วงที่ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) เข้าสู่โลกของการทำงาน โดยทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพเพื่อแก้ปัญหาหนี้ 300 ล้านของครอบครัวภารัณ แต่สิ่งที่ทำให้มิราน่าสนใจคือหัวใจของเธอที่ทั้งเข้มแข็งและเปราะบาง

ความรักที่เงียบงัน
มิราเริ่มรู้สึกดีกับภารัณจากการทำงานร่วมกัน แต่ปัญหาคือหัวใจของภารัณมันยังวนเวียนอยู่กับ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) เพื่อนสนิทของเขา ทำให้มิราต้องอยู่ในสถานะ “ตัวสำรอง” ที่เจ็บปวด เธอพยายามพิสูจน์ตัวเอง แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเป็นที่หนึ่งในใจเขา

ความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก
ในตอนที่ 3-4 มิราตัดสินใจคบกับภารัณเพื่อหวังให้เขามูฟออนจากนับดาว แต่ความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความไม่มั่นคง สุดท้ายมิราเลือกบอกเลิกเพราะไม่อยากอยู่ในความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก ฉากนี้คือหน่วงมาก ทุกคน ผู้ชมบนโซเซียล บอกว่า “มิราเจ็บแทนได้เลย อยากกอด”

ดราม่าการตั้งครรภ์
พีคสุดคือเมื่อมิราพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเมื่อเธอสูญเสียลูกในท้อง โมเมนต์นี้ทำให้คนดูรู้สึกเห็นใจมิรามาก เพราะมันเหมือนชีวิตโยนความเจ็บปวดมาให้เธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ลภัสลัล หรือ มายด์ ถ่ายทอดมิราออกมาได้สมจริงมาก เธอเคยเป็นที่รู้จักจากบท แมวนำ ใน Ugly Duckling Series: Don’t ทำให้แฟนๆ รู้ว่าเธอเล่นดราม่าได้ถึงใจ ในบทมิรา มายด์ทำให้เรารู้สึกถึงความเข้มแข็งที่ซ่อนความเปราะบางไว้ บน โวเซียล มีคนชมว่า “มายด์เล่นเป็นมิราจนรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่เจอเรื่องหนักๆ จริงๆ”

ฉายาของมิรา: “SHADOW STAR ดาวเงา”
ฉายานี้คือปังและเจ็บจี๊ดในเวลาเดียวกัน SHADOW STAR ดาวเงา สะท้อนตัวตนของมิราที่เหมือนดวงดาวที่สวยงามและส่องแสงในแบบของตัวเอง แต่ต้องอยู่ในเงาของนับดาวที่เป็นแสงหลักในใจของภารัณ ฉายานี้ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “เหมาะกับมิรามาก เพราะเธอเก่ง สวย แต่เหมือนไม่เคยถูกมองเห็น” ถึงจะเจ็บ แต่ฉายานี้ก็ทำให้มิราเป็นที่รักของแฟนๆ เพราะมันแสดงถึงความพยายามและความเจ็บปวดของเธอที่อยากเป็นมากกว่า “ตัวสำรอง”

ข้อคิดจากมิรา
เลือกตัวเองเมื่อความรักไม่ใช่ มิราสอนว่าในความสัมพันธ์ที่ท็อกซิกหรือทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวเอง การเลือกเดินออกมาคือความกล้าหาญ ข้อคิดนี้คือ “รักตัวเองให้มากพอที่จะปล่อยวางเมื่อมันไม่ใช่”

ความเจ็บปวดทำให้เราเติบโต การสูญเสียลูกและความรักที่ไม่สมหวังของมิราทำให้เธอเจ็บปวด แต่ก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น ข้อคิดคือ “ทุกความเจ็บปวดคือบทเรียนที่ทำให้เราเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีกว่า”

คุณค่าสร้างได้ด้วยตัวเอง มิราเป็นสาวเก่งที่ทำงานหนักและมีเป้าหมาย แม้จะไม่ได้รับความรักจากคนที่หวัง แต่เธอก็พิสูจน์ว่าคุณค่าของเราอยู่ที่ตัวเราเอง ข้อคิดคือ “อย่ารอให้ใครมามองเห็นคุณ จงส่องแสงในแบบของคุณเอง”

ทำไมมิราถึงน่าจดจำ
การแสดงของลภัสลัล มายด์คือมืออาชีพตัวจริง เธอถ่ายทอดความมั่นใจและความเปราะบางของมิราได้อย่างลงตัว แฟนๆ บนโซเซียล ชมว่า “มายด์เล่นดราม่าจนน้ำตาไหลตาม” การที่เธอเคยทำร้านขนม “ลองเด่ะ” สมัยมัธยมและเป็นนางแบบที่มีแฟนเพจเยอะ แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่มีเสน่ห์และความสามารถหลากหลาย

มิราเป็นเหมือนกระจกสะท้อนของคนที่เคยรักใครสักคนแต่รู้สึกเหมือนอยู่ในเงาของคนอื่น ฉากที่เธอบอกเลิกภารัณเพราะไม่อยากทนกับความสัมพันธ์ท็อกซิกคือพีคมาก การทำงานร่วมกับภารัณในบริษัทสตาร์ทอัพทำให้เห็นมิติของมิราที่เก่งและมุ่งมั่น แม้จะไม่ได้หัวใจภารัณ แต่เธอก็พิสูจน์ว่าเธอเป็นดาวที่ส่องแสงได้ด้วยตัวเอง

กรณ์ ศิริสรณ์ รับบท เคน
ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์ รับบท นิ้ง
จิณภพ ปรารถนาสันติ รับบท เซน
ณพัทร์พล จรรยาศิริกุล รับบท พี่แก่
โสภิตนภา ชุ่มภาณี รับบท แม่มล
วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ รับบท พ่อศักดิ์
สุจิรา อรุณพิพัฒน์ รับบท แม่สมร
ดวงดาว จารุจินดา รับบท ยายสมัย
อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร รับบท นับเดือน
พุฒิพงษ์ จีรังกุลฤทธิ์ รับบท จิว
ปริชญ์ดิศรณ์ ชัยสุทธิวงศ์ รับบท ภารัณ (เด็ก)
มาชิดา สุทธิกุลพานิช รับบท นับดาว (เด็ก)