ละคร สายรักสายเลือด 2568 ละครแนวความรักดราม่า เรื่องราวของ “ตระกูล เหมรัตน์ศิริ” ครอบครัวที่ร่ำรวยและทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจไทย-จีน เรื่องราวเริ่มต้นด้วยโศกนาฏกรรมเมื่อ “เจ้าสัวปรีดา” ประมุขของตระกูล ถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับในคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงเทพฯ เหตุการณ์นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งภายในครอบครัว เมื่อพินัยกรรมที่ระบุตัวทายาทหายไป ทำให้ทุกคนในตระกูลกลายเป็นผู้ต้องสงสัย และความลับอันมืดมิดของครอบครัวเริ่มถูกเปิดเผย
“เมฆินทร์” หลานชายคนโตที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องเกียรติและผลประโยชน์ของตระกูล ต้องเผชิญกับความจริงที่โหดร้ายเมื่อพบว่าเขาไม่ใช่สายเลือดแท้ของตระกูลเหมรัตน์ศิริ แต่เป็นเพียง “หมาก” ที่เจ้าสัวปรีดาใช้เพื่อผลประโยชน์บางอย่าง ความจริงนี้ทำให้เมฆินทร์ต้องต่อสู้ทั้งกับความรู้สึกภายในใจและศัตรูภายในครอบครัวที่พร้อมแย่งชิงอำนาจ
ในขณะเดียวกัน “มนต์มีนา” ลูกสาวของตระกูลที่ถูกมองว่าเป็นคู่แข่งสำคัญในการชิงมรดก กลายเป็นเป้าหมายของเมฆินทร์ที่วางแผนใช้ความรักเพื่อครอบครองอำนาจในบริษัท H Group ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เต็มไปด้วยความซับซ้อน ทั้งรักและแค้นที่ถาโถม ขณะที่ตัวละครอื่น ๆ เช่น ปรินทร์ (ธัชพล กู้วงศ์บัณฑิต) และ อาภาภัทร (พาเมล่า เบาว์เด้น) ก็มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความขัดแย้ง โดยเฉพาะเมื่อความสัมพันธ์แม่ลูกของปรินทร์และอาภาภัทรถึงจุดแตกหัก
สายรักสายเลือด ได้รับการยกย่องว่าเป็น “ม้ามืด” และ “Masterpiece” ของช่อง 3 ในปี 2568 ด้วยพล็อตที่เข้มข้นและการดำเนินเรื่องที่ “เดือดทุกตอน” การแสดงของนักแสดงนำอย่างอาเล็ก ธีรเดช และจีน่า ญีนา ได้รับคำชื่นชมว่าสามารถถ่ายทอดอารมณ์ความขัดแย้งและความซับซ้อนของตัวละครได้อย่างยอดเยี่ยม ละครยังโดดเด่นด้วยการผสมผสานระหว่างดราม่าครอบครัว แอ็กชัน และความโรแมนติกที่ตึงเครียด ทำให้ผู้ชมติดตามอย่างต่อเนื่อง
ละครเรื่องนี้เน้นการต่อสู้แย่งชิงอำนาจภายในตระกูลที่เต็มไปด้วยความลับ ความโลภ และการทรยศ การตายของเจ้าสัวปรีดาทำให้ครอบครัวเหมรัตน์ศิริแตกแยก สมาชิกในครอบครัวต่างเปิดเผยด้านมืดของตัวเองเพื่อช่วงชิงตำแหน่งประธานบริษัท เมฆินทร์ที่เคยภักดีต่อตระกูลต้องเผชิญกับการถูกหักหลัง และเริ่มเดินเกมรุกเพื่อยึดอำนาจ โดยมี เจ้าสัวหวัง (ณัฐวุฒิ สกิดใจ) คอยชักใยอยู่เบื้องหลัง ด้านมนต์มีนาก็ต้องปกป้องตัวเองท่ามกลางความวุ่นวายและภัยคุกคามจากคนรอบข้าง
สายรักสายเลือด เป็นละครที่นำเสนอเรื่องราวของการต่อสู้เพื่ออำนาจและความรักที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งในตระกูลเหมรัตน์ศิริ ด้วยพล็อตที่ซับซ้อนและการแสดงที่ทรงพลัง ละครเรื่องนี้ไม่เพียงแต่สร้างความบันเทิง แต่ยังสะท้อนถึงด้านมืดของมนุษย์เมื่อต้องเผชิญกับความโลภและการทรยศ ต่อไปนี้คือเนื้อหาสำคัญของละคร
จุดเริ่มต้นของความขัดแย้ง
ละครเริ่มต้นด้วยโศกนาฏกรรมในตระกูล เหมรัตน์ศิริ ครอบครัวมหาเศรษฐีที่มีอิทธิพลในวงการธุรกิจไทย-จีน เมื่อ เจ้าสัวปรีดา (สหัสชัย ชุมรุม) ประมุขของตระกูล ถูกฆาตกรรมอย่างลึกลับในคฤหาสน์หรูใจกลางกรุงเทพฯ การตายของเขาทำให้เกิดรอยร้าวในครอบครัว โดยเฉพาะเมื่อพินัยกรรมที่ระบุตัวทายาทหายไป สมาชิกในตระกูลต่างกลายเป็นผู้ต้องสงสัย และความลับดำมืดเริ่มถูกเปิดเผย
เมฆินทร์ (ธีรเดช เมธาวรายุทธ) หลานชายคนโตที่ภักดีต่อตระกูล ต้องเผชิญกับความจริงที่สั่นสะเทือนว่าเขาไม่ใช่ทายาทสายเลือดแท้ แต่เป็นเพียงเครื่องมือที่เจ้าสัวปรีดาใช้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของบริษัท H Group ความจริงนี้ผลักดันให้เมฆินทร์เริ่มวางแผนยึดอำนาจเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ขณะที่ มนต์มีนา (ญีนา ซาลาส) ลูกสาวของตระกูลและคู่แข่งสำคัญในการชิงมรดก กลายเป็นเป้าหมายในเกมรักและแค้นของเมฆินทร์
การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ
ตั้งแต่ตอนแรก (EP.1-5) ละครแสดงให้เห็นถึงความขัดแย้งภายในครอบครัวเหมรัตน์ศิริ ปรินทร์ (ธัชพล กู้วงศ์บัณฑิต) ลูกชายคนเล็กของตระกูล และ อาภาภัทร (พาเมล่า เบาว์เด้น) แม่ของเขา ต่างมีเป้าหมายแย่งชิงตำแหน่งประธานบริษัท H Group ขณะที่ เจ้าสัวหวัง (ณัฐวุฒิ สกิดใจ) นักธุรกิจคู่แข่งจากจีน ปรากฏตัวพร้อมความลับที่เชื่อมโยงกับการตายของเจ้าสัวปรีดา เมฆินทร์เริ่มสงสัยว่าเจ้าสัวหวังอาจเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลัง
ในช่วงกลางเรื่อง (EP.6-12) เมฆินทร์และมนต์มีนาพัฒนาความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน ทั้งรักและเกลียด เมฆินทร์พยายามใช้มนต์มีนาเป็นเครื่องมือเพื่อควบคุมบริษัท แต่ความรู้สึกที่แท้จริงเริ่มก่อตัว ทำให้เขาต้องเลือกระหว่างความรักและความแค้น ขณะเดียวกัน ปรเมศ (อัมรินทร์ นิติพน) น้องชายของเจ้าสัวปรีดา เปิดเผยว่าเขามีส่วนรู้เห็นในการตายของพี่ชาย และพยายามกำจัดเมฆินทร์เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง
ความลับและการหักหลัง
ใน EP.13-16 ความลับสำคัญถูกเปิดเผยว่าเมฆินทร์เป็นบุตรบุญธรรมที่เจ้าสัวปรีดานำมาเลี้ยงเพื่อใช้เป็น “โล่” ปกป้องทายาทตัวจริงจากภัยคุกคาม ความจริงนี้ทำให้เมฆินทร์ตัดสินใจทรยศครอบครัว โดยร่วมมือกับเจ้าสัวหวังเพื่อโค่นล้มปรเมศและอาภาภัทร อย่างไรก็ตาม มนต์มีนาค้นพบแผนการของเมฆินทร์และตัดสินใจต่อสู้เพื่อปกป้องมรดกของตระกูล ฉากแอ็กชันในช่วงนี้เข้มข้น โดยเฉพาะฉากต่อสู้ในโกดังร้าง (EP.15) ที่เมฆินทร์เกือบเสียชีวิต
จุดพีค
ในช่วงท้ายของเรื่อง เมฆินทร์เผชิญหน้ากับมนต์มีนาในเกมสุดท้ายเพื่อควบคุม H Group เขาต้องตัดสินใจว่าจะยอมทิ้งความแค้นเพื่อความรัก หรือเดินหน้าทำลายทุกอย่างเพื่อชัยชนะ ขณะเดียวกัน เจ้าสัวหวังเปิดเผยว่าเขาคือผู้อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมเจ้าสัวปรีดา โดยมีเป้าหมายกลืนบริษัท H Group เข้าสู่เครือข่ายธุรกิจของตัวเอง
สายรักสายเลือด เป็นละครที่ผสมผสานดราม่าครอบครัว แอ็กชัน และความรักได้อย่างลงตัว เรื่องราวของเมฆินทร์และมนต์มีนาท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจและความลับของตระกูลเหมรัตน์ศิริ การเสียสละของเมฆินทร์และปมปริศนาทำให้ละครเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงอย่างมาก ต่อไปนี้คือจุดเด่นของละคร
เนื้อเรื่องที่เข้มข้นและหักมุม
ละครเรื่องนี้โดดเด่นด้วยพล็อตที่ซับซ้อนและคาดเดายาก การเปิดเผยความลับ เช่น ตัวตนที่แท้จริงของเมฆินทร์ใน EP.13 หรือบทบาทของ เจ้าสัวหวัง (ณัฐวุฒิ สกิดใจ) ในฐานะผู้บงการใน EP.18 ทำให้ผู้ชมลุ้นระทึกทุกตอน การเล่าเรื่องสลับระหว่างดราม่าครอบครัว ความรักที่ตึงเครียด และฉากแอ็กชัน เช่น การต่อสู้ในโกดังร้าง (EP.15) สร้างสมดุลที่ลงตัวและน่าติดตาม
การแสดงที่ทรงพลัง
อาเล็ก ธีรเดช ถ่ายทอดบทเมฆินทร์ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยเฉพาะฉากอารมณ์ที่ต้องเลือกระหว่างความรักและความแค้นใน EP.18 ซึ่งได้รับคำชื่นชมอย่างมากในโซเชียลมีเดีย จีน่า ญีนา ในบทมนต์มีนาก็แสดงถึงความแข็งแกร่งและเปราะบางได้อย่างน่าประทับใจ เคมีระหว่างทั้งคู่ในฉากโรแมนติกและการปะทะอารมณ์ เช่น ฉากในห้องประชุม H Group (EP.18) เป็นไฮไลต์ที่แฟน ๆ พูดถึงในแฮชแท็ก #สายรักสายเลือด บนโซเซียล นักแสดงสมทบอย่าง ณัฐวุฒิ สกิดใจ และ พาเมล่า เบาว์เด้น ก็เพิ่มมิติให้ตัวละครเจ้าสัวหวังและอาภาภัทรได้อย่างน่าจดจำ
งานโปรดักชันและฉากแอ็กชัน
ฉากแอ็กชัน เช่น การไล่ล่าใน EP.10 และการต่อสู้ใน EP.15 ได้รับการออกแบบอย่างประณีต ด้วยมุมกล้องและการตัดต่อที่ทันสมัย คฤหาสน์ของตระกูลเหมรัตน์ศิริและสำนักงาน H Group มีความสมจริงและหรูหรา สะท้อนถึงความมั่งคั่งของตัวละคร ดนตรีประกอบโดย ธนาคาร ศรีบรรจง ช่วยเสริมอารมณ์ในฉากดราม่าและแอ็กชันได้อย่างดีเยี่ยม
คะแนน 8.5/10 (จาก sence9.com)
สายรักสายเลือด เป็นละครที่ผสมผสานความเข้มข้นของดราม่าครอบครัว ความซับซ้อนของความรัก และความตื่นเต้นของฉากแอ็กชันได้อย่างลงตัว การแสดงของนักแสดงนำและงานโปรดักชันที่ยอดเยี่ยมทำให้ละครเรื่องนี้กลายเป็นหนึ่งในผลงานที่โดดเด่นของช่อง 3 ในปี 2568 แม้จะมีข้อบกพร่องในเรื่องจังหวะและตอนจบที่เปิดกว้าง แต่ความเข้มข้นของพล็อตและเคมีระหว่างเมฆินทร์กับมนต์มีนาทำให้ผู้ชมติดตามจนจบ
การเดินทางทางอารมณ์ที่เข้มข้น
ตั้งแต่ตอนแรก (EP.1) ละครเรื่องนี้ดึงดูดความสนใจทันทีด้วยฉากการฆาตกรรมของ เจ้าสัวปรีดา (สหัสชัย ชุมรุม) ที่ทั้งลึกลับและชวนให้ตั้งคำถาม ความรู้สึกแรกคือความอยากรู้อยากเห็นว่าใครคือคนร้าย และพินัยกรรมที่หายไปจะนำพาเรื่องราวไปในทิศทางใด การแนะนำตัวละครอย่าง เมฆินทร์ และ มนต์มีนา ทำให้รู้สึกถึงพลังของตัวละครหลักที่ทั้งแข็งแกร่งและเปราะบางในเวลาเดียวกัน โดยเฉพาะเมฆินทร์ที่ต้องเผชิญกับความจริงว่าเขาไม่ใช่สายเลือดแท้ของตระกูลเหมรัตน์ศิริ ซึ่งสร้างความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอย่างมาก
ในช่วงกลางเรื่อง (EP.6-12) ความรู้สึกเริ่มเข้มข้นขึ้นเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างเมฆินทร์และมนต์มีนาพัฒนาเป็นความรักที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง ฉากที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากันในห้องประชุมของ H Group (EP.18) ทำให้รู้สึกถึงความตึงเครียดและเคมีที่ระเบิดออกมา ทุกครั้งที่เมฆินทร์ต้องเลือก междуความรักและความแค้น ผู้ชมอย่างเราก็อดไม่ได้ที่จะลุ้นให้เขาตัดสินใจด้วยหัวใจ แต่ในขณะเดียวกันก็เข้าใจเหตุผลของการเลือกอำนาจเพื่อพิสูจน์ตัวเอง
ฉากที่ตราตรึงใจ
หนึ่งในฉากที่สร้างความประทับใจมากที่สุดคือฉากต่อสู้ในโกดังร้าง (EP.15) ที่เมฆินทร์เกือบเสียชีวิต การแสดงของอาเล็กในฉากนี้ถ่ายทอดความสิ้นหวังและความมุ่งมั่นได้อย่างสมจริง ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วย ดนตรีประกอบที่ตึงเครียดและการตัดต่อที่รวดเร็วช่วยกระตุ้นอะดรีนาลีนให้พุ่งพล่าน ในทางกลับกัน ฉากโรแมนติกระหว่างเมฆินทร์และมนต์มีนา เช่น ฉากที่ทั้งคู่คุยกันใต้แสงจันทร์ใน EP.10 นำมาซึ่งความรู้สึกอบอุ่นและหวังว่าทั้งคู่จะสมหวัง แม้จะรู้ว่ามันเป็นไปได้ยาก
ตอนจบ (EP.20) เป็นจุดที่ทำให้อารมณ์พีคถึงขีดสุด ฉากที่เมฆินทร์เสียสละตัวเองเพื่อปกป้องมนต์มีนาและต่อสู้กับ เจ้าสัวหวัง (ณัฐวุฒิ สกิดใจ) ทำให้รู้สึกทั้งสะเทือนใจและภูมิใจในตัวละคร การที่เมฆินทร์ล้มลงในอ้อมกอดของมนต์มีนานำน้ำตาให้ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว อย่างไรก็ตาม ฉากหลังเครดิตที่ทิ้งปมว่าเมฆินทร์อาจยังมีชีวิตอยู่สร้างความรู้สึกสับสนปนตื่นเต้น อยากรู้ว่าหากมีภาคต่อ เรื่องราวจะดำเนินไปอย่างไร
ความรู้สึกต่อการแสดงและงานโปรดักชัน
การแสดงของ อาเล็ก ธีรเดช และ จีน่า ญีนา เป็นหัวใจของละคร อาเล็กทำให้เมฆินทร์เป็นตัวละครที่ทั้งน่าสงสารและน่าเกรงขาม ขณะที่จีน่าสามารถถ่ายทอดความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนของมนต์มีนาได้อย่างสมดุล นักแสดงสมทบอย่าง ณัฐวุฒิ สกิดใจ ในบทเจ้าสัวหวัง ทำให้รู้สึกถึงความน่ากลัวและเจ้าเล่ห์ของตัวร้ายได้อย่างยอดเยี่ยม งานโปรดักชันก็ไม่น้อยหน้า คฤหาสน์ของตระกูลเหมรัตน์ศิริและฉากในสำนักงาน H Group สร้างความรู้สึกถึงความยิ่งใหญ่และความกดดันของโลกธุรกิจ ดนตรีประกอบโดย ธนาคาร ศรีบรรจง ช่วยขับอารมณ์ในทุกฉากให้ถึงจุดสูงสุด
ละคร สายรักสายเลือด มีทั้งความตื่นเต้นจากฉากแอ็กชัน ความลุ้นระทึกจากปมการหักหลัง และความสะเทือนใจจากความรักที่ไม่มีวันสมหวัง ละครเรื่องนี้ทำให้ตระหนักถึงความซับซ้อนของมนุษย์ เมื่อความรัก ความแค้น และความโลภมาบรรจบกัน แม้ว่าตอนจบจะทิ้งปมให้รู้สึกค้างคา แต่โดยรวมแล้วมันเป็นประสบการณ์ที่คุ้มค่าและน่าจดจำ
ละคร สายรักสายเลือด 2568
ละคร สายรักสายเลือด 2568 EP.1-20 ตอนจบCH3+
ซีน ละคร สายรักสายเลือด 2568
ละคร สายรักสายเลือด 2568
เรื่องที่เข้มข้น แซ่บถึงทรวง บอกเลยว่าใครชอบแนวสืบสวนสอบสวน หักเหลี่ยมเฉือนคม ต้องดู
เรื่องนี้คือเรื่องของตระกูล เหมรัตน์ศิริ ที่รวยระดับประเทศเลย เป็นเจ้าของธุรกิจไทย-จีนที่ใหญ่โตมาก แต่แล้วจู่ๆ ก็เกิดเรื่องขึ้น เมื่อ เจ้าสัวปรีดา ประมุขของตระกูล ถูกฆาตกรรมปริศนาในคฤหาสน์สุดหรูกลางกรุง ทุกอย่างวุ่นวายไปหมด
ที่พีคไปกว่านั้นคือ พินัยกรรม ที่จะบอกว่าใครคือทายาทตัวจริง หายไป ทำให้คนในบ้านที่เหมือนจะรักกันดีๆ กลายเป็นศัตรูทันที ทุกคนต่างเป็นผู้ต้องสงสัย แล้วก็หันมาแทงข้างหลังกันเองแบบไม่ยั้ง
แต่คนที่น่าสงสารที่สุดคือ เมฆินทร์ หลานชายคนโต ที่อุทิศทั้งชีวิตเพื่อตระกูลนี้มาตลอด พอเจ้าสัวตายปุ๊บ ความลับอันโหดร้ายก็ถูกเปิดเผยว่า เขาไม่ใช่สายเลือดแท้ๆ ของตระกูลเหมรัตน์ศิริ เป็นแค่เบี้ยตัวหนึ่งที่เจ้าสัวหลอกใช้มาตลอด โห… เจ็บยิ่งกว่าโดนรถสิบล้อชน
หลังจากเจ้าสัวตาย ทุกคนในบ้านก็เริ่มแย่งชิงอำนาจกันแบบไม่มีกั๊กเลยแม่
ปรเมศ ลูกชายคนโตนี่คือไร้ความสามารถมาก แต่ก็ยังหวังจะเกาะอำนาจของลูกชายอย่างเมฆินทร์
ปราโมทย์ ลูกชายคนรองที่เหมือนจะถูกมองข้ามมาตลอดก็มีเมียเป็น คุณหมอนวลจันทร์ ที่พร้อมจะซัพพอร์ตสามีเต็มที่
อาภาภัทร สะใภ้เล็กก็ดันลูกชายตัวเองอย่าง ปรินทร์ ให้ขึ้นเป็นใหญ่ให้ได้ ไม่ว่าจะต้องเหยียบหัวใครก็ตาม
แม้แต่น้องสาวคนละแม่ของเมฆินทร์อย่าง ตรีประภา ก็ดูเหมือนจะมีความลับอะไรบางอย่างซ่อนอยู่
และที่ทำให้เรื่องวุ่นวายเข้าไปอีกคือ เมฆินทร์ ไปหลอกใช้ มนต์มีนา นักร้องสาวที่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลมาเป็นหมากในเกมชิงพินัยกรรม แต่ยิ่งใกล้ชิดกันมากเท่าไหร่ ความสัมพันธ์จากผลประโยชน์ก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความรักที่ยากจะถอนตัว
แต่พอความจริงถูกเปิดเผย ความรักที่เคยหวานก็พังไม่เป็นท่า แถมยังมีศัตรูตัวฉกาจอย่าง เจ้าสัวหวัง จากตระกูลคู่แข่ง ที่เปิดศึกธุรกิจกับเหมรัตน์ศิริอย่างเต็มตัว และยังมีลูกชายอย่าง ดีแลน ที่เข้ามาเป็นคู่แข่งทั้งเรื่องงานและเรื่องหัวใจอีก
และตอนจบคือพีคมาก ท่ามกลางการหักหลัง ทรยศ และเกมชิงอำนาจ เมฆินทร์กลับหายตัวไปแบบไร้ร่องรอย ไม่มีใครรู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
อยากรู้ใช่มั้ยล่ะว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ ความลับของสายเลือดจะนำไปสู่อะไร แล้วเมฆินทร์จะรอดกลับมามั้ย? ต้องไปตามดูในละคร สายรักสายเลือด นะทุกคน บอกเลยว่าพลาดไม่ได้
เบื้องหลังละครสุดปังแห่งปี 2568 สายรักสายเลือด หรือ Game of Succession กัน ละครเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ดราม่าเดือด ๆ ที่ทำให้เรานั่งไม่ติดเก้าอี้ แต่เบื้องหลังการสร้างมันก็แซ่บไม่แพ้กัน ทีมงานระดับเทพมารวมตัวกันเพื่อเนรมิตเรื่องราวของตระกูลเหมรัตน์ศิริให้ออกมาสะเทือนวงการ มาดูกันว่าใครเป็นใคร และทำอะไรกันบ้างในงานนี้
บทประพันธ์โดย : พราวพลิ้ม (พลิ้วอ่อน)
บทละครโทรทัศน์โดย : กนกพรรณ อรรัตนสกุล, สิริภรณ์ ช่อเจี้ยง, อิสราภรณ์ คุณติสุข, ไอรีน อินสด และ เบญจธารา โอฬารนิธิกุล
กำกับการแสดงโดย : ณัชชานิษฐ์ จิรรุ่งโรจน์
ควบคุมการผลิตโดย : ณฐนนท์ ชลลัมพี
ผลิตโดย : บริษัท ชลลัมพี โปรดั๊กชั่น จำกัด
🖋️ บทประพันธ์โดย พราวพริ้ม (พลิ้วอ่อน) – ต้นกำเนิดความเดือด

เริ่มที่หัวใจของเรื่องนี้เลย พราวพริ้ม (พลิ้วอ่อน) คือคนที่เขียนบทประพันธ์ต้นฉบับของ สายรักสายเลือด นะ ✍️ บอกเลยว่านี่คือคนที่จุดไฟให้เรื่องราวดราม่าครอบครัวสุดเข้มข้นนี้เกิดขึ้น จากปากกาของพราวพลิ้ม เราได้เห็นความลับ การหักหลัง และความรักที่ซับซ้อนของตระกูลเหมรัตน์ศิริ ที่ทำให้เราต้องลุ้นทุกตอน 😱 การที่เจ้าสัวปรีดาถูกฆาตกรรม และเมฆินทร์ต้องเผชิญความจริงว่าเขาไม่ใช่สายเลือดแท้…ทั้งหมดนี้เริ่มจากจินตนาการของพราวพลิ้มเลย ขอปรบมือให้เลยค่ะ 👏 บทประพันธ์นางปังมาก มันคือรากฐานที่ทำให้ละครเรื่องนี้กลายเป็น “ม้ามืดแห่งปี”
📝 บทละครโทรทัศน์โดย ทีมนักเขียนตัวตึง
ต่อมาเรามาพูดถึงทีมที่เอาเรื่องราวสุดเดือดนี้มาปรับเป็นบทละครโทรทัศน์ ทีมนี้คือสุดยอดเลย เพราะรวมนักเขียนตัวแม่ถึง 5 คน 😍 ได้แก่ กนกพรรณ อรรัตนสกุล, สิริภรณ์ ช่อเจี้ยง, อิสราภรณ์ คุณติสุข, ไอรีน อินสด, และ เบญจธารา โอฬารนิธิกุล ทีมนี้เหมือน Avengers ของวงการเขียนบทเลย 🦸♀️
พวกเขาคือคนที่เอาเรื่องราวจากบทประพันธ์มาขัดเกลาให้เข้ากับจอทีวี ทำให้ทุกฉากมันเข้มข้นและชวนติดตาม ฉากที่เมฆินทร์ (อาเล็ก) เผชิญหน้ากับมนต์มีนา (จีน่า) ในห้องประชุม H Group (EP.18) ที่ทั้งรักทั้งเกลียดกัน หรือฉากแอ็กชันในโกดังร้าง (EP.15) ที่ลุ้นจนตัวโก่ง…ทั้งหมดนี้คือฝีมือของทีมนักเขียนที่ใส่รายละเอียดให้บทมันเป๊ะ บทสนทนาก็แซ่บ ตัวละครแต่ละคนมีมิติ อย่างเจ้าสัวหวังที่ดูน่ากลัว หรือมนต์มีนาที่ทั้งแกร่งและอ่อนโยน นี่คือผลงานของทีมนี้เลย 🙌 ขอบคุณที่ทำให้เราน้ำตาแตกและลุ้นจนนอนไม่หลับ
🎥 กำกับการแสดงโดย ณัชชานิษฐ์ จิรรุ่งโรจน์ – ผู้กำกับตัวแม่
มาถึงคนที่เป็นหัวเรือใหญ่ในกองถ่าย ณัชชานิษฐ์ จิรรุ่งโรจน์ ผู้กำกับที่เนรมิตทุกฉากให้ออกมาสมจริงและทรงพลัง 🎬 บอกเลยว่านางคือคนที่ทำให้ สายรักสายเลือด กลายเป็นละครที่ทั้งสวยงามและดราม่าสุด ๆ คฤหาสน์สุดอลังการของตระกูลเหมรัตน์ศิริ ฉากแอ็กชันที่ตื่นเต้น หรือแม้แต่ฉากอารมณ์ที่เมฆินทร์ล้มลงในอ้อมกอดของมนต์มีนาในตอนจบ (EP.20)…ทั้งหมดนี้ผ่านการกำกับของณัชชานิษฐ์ 😍
มุมกล้องของนางคือปังมาก อย่างฉากต่อสู้ใน EP.15 ที่มุมกล้องมันพาเราเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์จริง ๆ หรือฉากโรแมนติกใต้แสงจันทร์ใน EP.10 ที่หวานจนใจละลาย 🥰 การที่นักแสดงอย่างอาเล็กและจีน่าสามารถถ่ายทอดอารมณ์ได้ถึงขนาดนี้ ก็เพราะผู้กำกับคนนี้ที่เค้นฝีมือออกมาได้เป๊ะ ขอกรี๊ดให้เลย 👸
🏭 ควบคุมการผลิตโดย ณฐนนท์ ชลลัมพี – ผู้อยู่เบื้องหลังความปัง

ต่อมาเรามาพูดถึง ณฐนนท์ ชลลัมพี คนที่ควบคุมการผลิตทั้งหมด 🕴️ คิดง่าย ๆ ว่าเขาคือคนที่ทำให้ทุกอย่างในกองถ่ายมันรันไปได้แบบสมูท ๆ จากการเลือกสถานที่ถ่ายทำ อย่างคฤหาสน์สุดหรูที่ดูรวยสมฐานะตระกูลเหมรัตน์ศิริ ไปจนถึงการจัดการทีมงานให้ทุกอย่างออกมาสมบูรณ์แบบ งานโปรดักชันของ สายรักสายเลือด นี่คือระดับพรีเมียมเลยนะทุกคน ดนตรีประกอบ ฉากแอ็กชัน การตัดต่อ…ทุกอย่างมันลงตัวเพราะมีณฐนนท์คอยคุม 💪 งานนี้ได้เรตติ้ง 7.8 ในตอนจบ และโฆษณาถึง 66 ตัว 😱 นี่คือผลงานที่พิสูจน์ฝีมือของเขาชัด ๆ
🏢 ผลิตโดย บริษัท ชลลัมพี โปรดั๊กชั่น จำกัด – โรงงานปั้นละครคุณภาพ
บริษัท ชลลัมพี โปรดั๊กชั่น จำกัด คือทีมที่อยู่เบื้องหลังการผลิตทั้งหมด 🏭 บริษัทนี้คือตัวจริงในวงการละครไทย ที่เอาเรื่องราวสุดเข้มข้นของ สายรักสายเลือด มาสู่สายตาคนดูทั่วประเทศ จากการคัดเลือกนักแสดงระดับท็อปอย่าง อาเล็ก ธีรเดช, จีน่า ญีนา, ณัฐวุฒิ สกิดใจ ไปจนถึงการจัดการงานโปรดักชันทั้งหมดให้ออกมาปัง ต้องยกเครดิตให้ชลลัมพีที่ทำให้ละครเรื่องนี้กลายเป็นที่พูดถึงในโซเซียลด้วยแฮชแท็ก #สายรักสายเลือด ที่ติดเทรนด์ทุกสัปดาห์ 🔥
บอกเลยว่า สายรักสายเลือด ไม่ได้ปังแค่เพราะเนื้อเรื่องหรือนักแสดงนะ แต่ทีมงานเบื้องหลังนี่แหละที่เป็นตัวจริง จาก พราวพลิ้ม ที่เขียนบทประพันธ์สุดเดือด, ทีมเขียนบทที่ทำให้ทุกฉากมันแซ่บ, ณัชชานิษฐ์ ที่กำกับให้ทุกอย่างเป๊ะ, ณฐนนท์ ที่คุมโปรดักชันให้ปัง และ ชลลัมพี โปรดั๊กชั่น ที่รวมทุกอย่างให้ลงตัว! ทีมนี้คือสุดยอดเลย 🙌
นักแสดง
→ อาเล็ก ธีรเดช เมธาวรายุทธ รับบท เมฆินทร์

เมฆินทร์คือหลานชายคนโตของตระกูลเหมรัตน์ศิริ ครอบครัวมหาเศรษฐีที่ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจไทย-จีน เขาคือคนที่ทุ่มเททั้งชีวิตเพื่อปกป้องเกียรติและผลประโยชน์ของตระกูล คิดดูสิ เมฆินทร์เหมือนเป็น “เด็กดี” ที่ทุกคนในครอบครัวพึ่งพา เขาเก่ง ฉลาด และมีภาวะผู้นำสุดๆ แต่แล้วบูม ความจริงสุดช็อกก็มา เมื่อเขาค้นพบว่าเขาไม่ใช่สายเลือดแท้ของตระกูล แถมยังเป็นแค่ “หมาก” ที่เจ้าสัวปรีดาใช้ในเกมธุรกิจ ความรู้สึกถูกหักหลังนี่มันเจ็บลึกเลยนะทุกคน
จากนั้นเมฆินทร์ก็เปลี่ยนไป จากคนที่ภักดีกลายเป็นนักวางแผนสุดแสบ เขาเริ่มเดินเกมเพื่อยึดอำนาจในบริษัท H Group และใช้ มนต์มีนา (จีน่า ญีนา) เป็นเครื่องมือในแผน แต่ความรักที่ก่อตัวขึ้นระหว่างเขากับมนต์มีนานี่แหละที่ทำให้ทุกอย่างซับซ้อน เมฆินทร์ต้องเลือกระหว่างความแค้นที่อยากพิสูจน์ตัวเอง กับความรักที่ทำให้หัวใจสั่นไหว ฉากใน EP.18 ที่เขาปะทะคารมกับมนต์มีนาในห้องประชุมนี่คือเคมีสุดปัง ส่วนฉากตอนจบใน EP.20 ที่เขาเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องคนที่รักนี่คือน้ำตาไหลพรากเลย
อาเล็กเล่นบทเมฆินทร์ได้แบบครบทุกมิติ ทั้งความเข้มแข็ง ความเปราะบาง และความเจ็บปวด การแสดงของเขาในฉากที่รู้ความจริงใน EP.13 หรือฉากแอ็กชันในโกดังร้าง EP.15 นี่คือสุดยอด ทำให้เรารู้สึกถึงความดิ้นรนของเมฆินทร์ที่อยากควบคุมโชคชะตาตัวเอง
ฉายาของเมฆินทร์ “อัศวินในเงามืด”
เพราะเขาเหมือนอัศวินที่ต่อสู้เพื่อตระกูลและคนที่รัก แต่ต้องอยู่ในเงามืดของความลับและการถูกหักหลัง เขาไม่ใช่ฮีโร่ที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นคนที่ยอมทำทุกอย่าง แม้ต้องแลกด้วยหัวใจตัวเอง ฉากที่เขาล้มลงในอ้อมกอดของมนต์มีนาใน EP.20 นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสุดๆ
ข้อคิดจากเมฆินทร์ “ความภักดีที่แท้จริงคือการยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้อง”
เมฆินทร์สอนเราว่าความภักดีไม่ใช่แค่การทำตามหน้าที่หรือปกป้องครอบครัว แต่คือการยึดมั่นในสิ่งที่ถูกต้องและคนที่เรารัก แม้ว่าเขาจะถูกหักหลังและเจ็บปวด แต่สุดท้ายเขาก็เลือกปกป้องมนต์มีนาด้วยชีวิตของตัวเอง ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่าบางครั้งการเสียสละเพื่อคนที่เราห่วงอาจสำคัญกว่าการยึดติดกับความแค้นหรืออำนาจ
→ จีน่า ญีนา ซาลาส รับบท มนต์มีนา

มนต์มีนาคือสาวสวยที่เป็นนักร้องชื่อดัง แต่ชีวิตเธอไม่ใช่แค่แสงสปอตไลต์นะ เพราะเธอมีอดีตปริศนาที่เชื่อมโยงกับตระกูล เหมรัตน์ศิริ ครอบครัวมหาเศรษฐีที่เต็มไปด้วยดราม่า ในละคร มนต์มีนาคือหนึ่งในตัวเต็งที่จะได้มรดกของตระกูลหลังจาก เจ้าสัวปรีดา ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป เธอเลยกลายเป็นเป้าหมายในเกมอำนาจของ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) ที่วางแผนใช้เธอเป็นเครื่องมือเพื่อครองบริษัท H Group
แต่ มนต์มีนาไม่ใช่สาวน้อยที่ยอมให้ใครมาหลอกใช้ได้ง่ายๆ นะ เธอทั้งฉลาดและเข้มแข็ง มีความสามารถในการเอาตัวรอดท่ามกลางความวุ่นวายของตระกูล อย่างฉากใน EP.10 ที่เธอเผชิญหน้ากับเมฆินทร์แบบไม่ยอมแพ้นี่คือพลังสุดๆ ความสัมพันธ์ของเธอกับเมฆินทร์เริ่มจากเกมการเมือง แต่กลายเป็นความรักที่ทั้งหวานและขมขื่น ฉากใน EP.18 ที่ทั้งคู่ปะทะกันในห้องประชุม H Group นี่คือเคมีที่ทำให้ใจเต้นเลย ส่วนตอนจบใน EP.20 ที่มนต์มีนาต้องเผชิญกับการสูญเสียเมฆินทร์นี่คือฉากที่ทำเอาน้ำตาไหลพราก
จีน่า ญีนา เล่นบทมนต์มีนาได้แบบครบรส ทั้งความสวยสง่าของนักร้อง ความแข็งแกร่งของนักสู้ และความเปราะบางของผู้หญิงที่รักใครสักคน การแสดงของจีน่าในฉากดราม่า เช่น ตอนที่มนต์มีนาค้นพบแผนของเมฆินทร์ใน EP.16 นี่คือสะเทือนใจมาก ทำให้เรารู้สึกถึงความเจ็บปวดและความมุ่งมั่นของเธอ
ฉายาของมนต์มีนา “นางพญาแห่งหัวใจ”
เพราะเธอคือผู้หญิงที่ทั้งสง่างามและมีหัวใจที่แข็งแกร่งเหมือนนางพญา เธอต่อสู้เพื่อปกป้องตัวเองและคนที่รักท่ามกลางสงครามในตระกูล ฉากที่เธอยืนหยัดเพื่อมรดกของตระกูลใน EP.20 นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เธอเหมือนนางพญาที่ไม่ยอมก้มหัวให้ใคร แต่ก็มีหัวใจที่พร้อมเสียสละเพื่อความรัก
ข้อคิดจากมนต์มีนา “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงมาจากการยืนหยัดเพื่อตัวเอง”
มนต์มีนาสอนเราว่าความแข็งแกร่งไม่ได้แค่มาจากการต่อสู้กับศัตรู แต่มาจากการยืนหยัดเพื่อตัวเองและสิ่งที่เราเชื่อมั่น แม้ว่าเธอจะถูกใช้เป็นเครื่องมือในเกมอำนาจ และต้องเผชิญกับความเจ็บปวดจากความรัก เธอก็ไม่ยอมให้ตัวเองจมอยู่ในความอ่อนแอ ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่าการปกป้องหัวใจและศักดิ์ศรีของตัวเองคือสิ่งสำคัญ ไม่ว่าโลกจะโหดร้ายแค่ไหน
→ ป๋อ ณัฐวุฒิ สกิดใจ รับบท เจ้าสัวหวัง

เจ้าสัวหวังคือตัวร้ายตัวพ่อของเรื่องนี้เลย เขาคือประมุขของตระกูลคู่แค้นของ เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ทรงอิทธิพลในวงการธุรกิจไทย-จีน และเป็นคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังความวุ่นวายทั้งหมดในละคร คิดดูสิ หลังจาก เจ้าสัวปรีดา ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป เจ้าสัวหวังก็โผล่มาเหมือนฉลามที่ได้กลิ่นเลือด พร้อมแผนการกลืนบริษัท H Group เข้าสู่เครือข่ายธุรกิจของตัวเอง เขาคือคนที่เจ้าเล่ห์ ฉลาด และเย็นชา มีเป้าหมายชัดเจนว่าจะต้องครองทุกอย่าง
เจ้าสัวหวังไม่ใช่แค่ตัวร้ายธรรมดานะ เขามีความลับที่เชื่อมโยงกับการตายของเจ้าสัวปรีดา และยังใช้ ดีแลน ลูกชายของเขา (สมิธ ภาสวิชญ์) เป็นเครื่องมือในเกมอำนาจ ฉากใน EP.18 ที่เขาปะทะกับ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) นี่คือพลังสุดๆ ออร่าความน่ากลัวมาเต็ม ป๋อ ณัฐวุฒิเล่นบทนี้ได้แบบขโมยซีนทุกครั้ง แววตาและรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของเขาทำให้เรารู้สึกว่าเจ้าสัวหวังคือศัตรูที่อันตรายสุดๆ โดยเฉพาะในตอนจบ EP.20 ที่เขาเผยตัวตนที่แท้จริงนี่คือช็อกมาก ทำให้เรานั่งไม่ติดเลย
การแสดงของป๋อในบทนี้คือสุดยอด เขาทำให้เจ้าสัวหวังมีทั้งความน่าเกรงขามและความน่าหมั่นไส้ ทุกครั้งที่เขาโผล่มาในฉาก เราจะรู้สึกถึงแรงกดดันและความตื่นเต้นว่าเขาจะทำอะไรต่อไป
ฉายาของเจ้าสัวหวัง “เงามืดแห่งอำนาจ”
เพราะเขาเหมือนเงามืดที่คอยควบคุมทุกอย่างจากเบื้องหลัง ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนฆาตกรรมหรือการชักใยเกมธุรกิจ เขาคือคนที่อยู่เหนือทุกคนในเงามืด ฉากที่เขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เขาคือตัวร้ายที่ทั้งฉลาดและน่ากลัว
ข้อคิดจากเจ้าสัวหวัง “อำนาจที่ได้มาด้วยเล่ห์เหลี่ยมอาจนำมาซึ่งความพินาศ”
เจ้าสัวหวังสอนเราว่าการใช้อำนาจและเล่ห์เหลี่ยมเพื่อครอบครองทุกอย่างอาจดูเหมือนชัยชนะในตอนแรก แต่สุดท้ายมันอาจนำไปสู่ความพินาศของตัวเอง ในละคร เขาเกือบได้ทุกอย่างที่ต้องการ แต่การทรยศและความโลภทำให้เขาต้องเผชิญหน้ากับผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง ข้อคิดนี้เตือนให้เราคิดว่าการทำสิ่งใดด้วยความซื่อสัตย์และศีลธรรมอาจยั่งยืนกว่าการใช้เล่ห์กล
→ สมิธ ภาสวิชญ์ บูรณนัติ รับบท ดีแลน

ดีแลนคือลูกชายของ เจ้าสัวหวัง (ป๋อ ณัฐวุฒิ) ตัวร้ายตัวพ่อของเรื่อง เขาคือหนุ่มหล่อที่มีความทะเยอทะยานและเต็มไปด้วยปมในใจ ดีแลนเข้ามาในเรื่องในฐานะคู่แข่งของ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) ทั้งในเรื่องธุรกิจและหัวใจ เพราะเขาดันไปสนใจ มนต์มีนา (จีน่า ญีนา) ด้วย คิดดูสิ มันเหมือนสามเส้าที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดเลยนะ
ดีแลนไม่ใช่แค่เด็กเส้นของพ่อ เขามีความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยมในแบบของตัวเอง ถูกเลี้ยงมาให้เป็นเครื่องมือของเจ้าสัวหวังในการต่อสู้กับตระกูลเหมรัตน์ศิริ แต่ลึกๆ แล้ว ดีแลนก็มีความรู้สึกที่ซับซ้อน เขาต้องการพิสูจน์ตัวเองว่าไม่ใช่แค่เงาของพ่อ ฉากใน EP.16 ที่เขาปะทะกับเมฆินทร์ในงานเลี้ยงของ H Group นี่คือพลังสุดๆ ทำให้เห็นว่าเขาไม่ยอมใครง่ายๆ ส่วนฉากที่เขาเผยความรู้สึกต่อมนต์มีนาใน EP.14 นั้นก็แสดงให้เห็นด้านที่อ่อนโยนแต่เปราะบางของเขา
สมิธ ภาสวิชญ์ เล่นบทดีแลนได้แบบครบมิติมาก เขาทำให้ดีแลนมีทั้งความน่าหลงใหลในฐานะหนุ่มหล่อที่มีเสน่ห์ และความน่ากลัวในฐานะคู่แข่งที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อชัยชนะ การแสดงของสมิธในฉากดราม่าที่ดีแลนต้องเผชิญหน้ากับความกดดันจากพ่อใน EP.18 นี่คือสะกดคนดูได้อยู่หมัดเลย
ฉายาของดีแลน “นักล่าหัวใจและอำนาจ
เพราะเขาเหมือนนักล่าที่ทั้งตามล่าความรักจากมนต์มีนาและอำนาจในเกมธุรกิจ เขามีทั้งความมุ่งมั่นและความเจ้าเล่ห์ที่ทำให้ทุกคนต้องระวัง ฉากที่เขาท้าทายเมฆินทร์ นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เขาคือคนที่พร้อมคว้าทุกอย่างที่ต้องการ ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน
ข้อคิดจากดีแลน “การพิสูจน์ตัวเองต้องเริ่มจากความเชื่อมั่นในตัวเอง”
ดีแลนสอนเราว่าการจะพิสูจน์ตัวเองให้คนอื่นยอมรับ ต้องเริ่มจากการเชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเองก่อน แม้ว่าเขาจะอยู่ภายใต้เงาของเจ้าสัวหวัง แต่เขาก็พยายามสร้างเส้นทางของตัวเอง ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่าการหลุดพ้นจากความกดดันของคนอื่นและยืนหยัดด้วยตัวเองคือก้าวแรกสู่ความสำเร็จ
→ จ๊อบ ธัชพล กู้วงศ์บัณฑิต รับบท ปรินทร์ เหมรัตน์ศิริ

ปรินทร์คือลูกชายคนเล็กของตระกูล เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ครองวงการธุรกิจไทย-จีน เขาเป็นลูกชายของ อาภาภัทร (ลูกน้ำ พาเมล่า) สะใภ้เล็กที่ทะเยอทะยานสุดๆ และผลักดันให้ปรินทร์ก้าวขึ้นสู่อำนาจในบริษัท H Group หลังจาก เจ้าสัวปรีดา ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป คิดดูสิ ปรินทร์เหมือนเด็กที่อยู่ในเงาของแม่ ดูเหมือนจะไม่มีพิษมีภัย แต่จริงๆ แล้วเขามีความรู้สึกที่ซับซ้อนมาก
ในช่วงแรกของเรื่อง ปรินทร์ดูเหมือนเป็นแค่เด็กที่ถูกแม่ควบคุม ทำตามคำสั่งไปวันๆ แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป โดยเฉพาะใน EP.19 ที่เขาเผชิญหน้ากับแม่และตัดสินใจทิ้งทุกอย่างเพื่อความสุขของตัวเอง นี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เห็นว่าเขาไม่ใช่แค่หุ่นเชิด เขามีหัวใจและความฝันของตัวเอง ฉากนี้ที่แฟนๆ ในโซเซียล พูดถึงเยอะมาก เพราะจ๊อบถ่ายทอดอารมณ์ได้แบบสุดยอด สายตาที่มองแม่เหมือนจะบอกว่า “ผมอยากมีความสุขบ้าง” นี่คือน้ำตาไหลเลย
จ๊อบ ธัชพล เล่นบทปรินทร์ได้แบบครบรสมาก เขาทำให้เราเห็นทั้งความอ่อนแอของเด็กที่ถูกกดดัน และความกล้าที่จะลุกขึ้นสู้เพื่อตัวเอง การแสดงของเขาในฉากดราม่า โดยเฉพาะตอนที่ปรินทร์ตัดสินใจเดินออกจากเกมอำนาจ นี่คือทำให้เราทั้งสงสารและภูมิใจในตัวเขา
ฉายาของปรินทร์ “เงาแห่งความกดดัน”
เพราะเขาคือตัวละครที่เติบโตมาในเงาของความคาดหวังจากแม่และครอบครัว เขาดูเหมือนเด็กที่ไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วต้องแบกรับความกดดันมหาศาล ฉากที่เขาเลือกทิ้งตำแหน่งที่ทุกคนแย่งชิงเพื่อความสุขของตัวเองนี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เขาคือเงาที่ก้าวออกมาเพื่อเป็นตัวของตัวเอง
ข้อคิดจากปรินทร์ “ความสุขที่แท้จริงคือการเลือกเส้นทางของตัวเอง”
ปรินทร์สอนเราว่าการใช้ชีวิตตามความคาดหวังของคนอื่นอาจทำให้เราสูญเสียตัวตน แต่การกล้าที่จะเลือกเส้นทางของตัวเอง แม้ว่าจะต้องเสียสละบางอย่าง คือหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง ฉากที่เขายอมทิ้งอำนาจเพื่อความสุขใน EP.19 ทำให้เราคิดว่า การฟังเสียงหัวใจตัวเองสำคัญกว่าการยึดติดกับสิ่งที่คนอื่นกำหนด
→ อ่ำ อัมรินทร์ นิติพน รับบท ปรเมศ เหมรัตน์ศิริ

ปรเมศคือลูกชายคนโตของตระกูล เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ครองวงการธุรกิจไทย-จีน เขาเป็นพี่ชายของ เจ้าสัวปรีดา ที่ถูกฆาตกรรมในตอนต้นเรื่อง และดูเหมือนจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีบทบาทในเกมอำนาจของตระกูล คิดดูสิ ปรเมศให้ฟีลเหมือนพี่ใหญ่ที่เงียบๆ ดูเหมือนจะยอมรับชะตากรรม ไม่ค่อยได้ต่อสู้เพื่ออะไร แต่เดี๋ยวก่อน อย่าประมาทเขา เพราะปรเมศมีด้านมืดที่ซ่อนอยู่
ในช่วงต้นเรื่อง ปรเมศดูเหมือนเป็นแค่ตัวละครที่คอยเกาะกระแสของตระกูล แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป โดยเฉพาะใน EP.12 ที่เขาเผยว่าเขารู้เห็นบางอย่างเกี่ยวกับการตายของเจ้าสัวปรีดา นี่คือจุดที่ทำให้เราช็อกเลย เพราะเขาไม่ใช่คนที่เฉยๆ อย่างที่คิด เขามีเล่ห์เหลี่ยมและวางแผนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง ฉากที่เขาปะทะคารมกับ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) ใน EP.12 นี่คือทำให้เห็นว่าเขาคือผู้เล่นที่เงียบแต่โหด การแสดงของอ่ำ อัมรินทร์ ในบทนี้คือสุดยอดมาก เขาทำให้ปรเมศมีทั้งความนิ่งที่น่ากลัวและความลึกลับที่ทำให้เราคาดเดาไม่ได้ โดยเฉพาะใน EP.17 ที่เขาเผยความลับบางอย่างเกี่ยวกับตระกูล นี่คือจุดที่ทำให้แฟนๆ ในโซเซียล เม้าท์กันหนักมาก
อ่ำเล่นบทนี้ได้แบบครบมิติ ทำให้ปรเมศเป็นตัวละครที่ทั้งน่าสงสัยและน่าติดตาม ทุกครั้งที่เขาโผล่มาในฉาก เราจะรู้สึกถึงความกดดันว่าเขาจะโยนระเบิดอะไรออกมาอีก
ฉายาของปรเมศ “เงียบแต่ร้าย”
เพราะเขาเหมือนเงาที่เคลื่อนไหวอย่างเงียบๆ ในตระกูล แต่จริงๆ แล้วมีเล่ห์เหลี่ยมที่พร้อมจะโจมตีเมื่อถึงเวลา ฉาก ที่เขาเผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะคุยกับเมฆินทร์นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เขาคือคนที่เงียบแต่มีพลังทำลายล้างซ่อนอยู่
ข้อคิดจากปรเมศ “การเงียบไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ แต่บางครั้งคือการรอจังหวะ”
ปรเมศสอนเราว่าการเงียบหรือดูเหมือนไม่ทำอะไร ไม่ได้แปลว่าเราอ่อนแอ บางครั้งมันคือการรอจังหวะที่เหมาะสมเพื่อลงมือ เขาใช้ความนิ่งเป็นอาวุธในการวางแผน ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่าในบางสถานการณ์ การอดทนและรอเวลาอาจนำไปสู่โอกาสที่ใหญ่กว่า
→ เต๋า สโรชา วาทิตตพันธ์ รับบท เนตร

เนตรคือตัวละครที่เต็มไปด้วยความลับใน สายรักสายเลือด เธอเป็นภรรยาลับของ ปรเมศ (อ่ำ อัมรินทร์) และที่สำคัญคือแม่แท้ๆ ของ มนต์มีนา (จีน่า ญีนา) ซึ่งเป็นคู่หมั้นของ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) ที่ถูกตระกูลดูถูกมาตลอด คิดดูสิ เนตรเหมือนคนที่ถูกซ่อนไว้ในเงามืดของตระกูลเหมรัตน์ศิริ เธอรู้ความลับมากมายเกี่ยวกับการตายของ เจ้าสัวปรีดา และมีบทบาทสำคัญในปมดราม่าของเรื่อง ใน EP.6 มนต์มีนาพยายามช่วยเนตรหนีจากการควบคุมของปรเมศ แต่แผนกลับถูก อาภาภัทร ขัดขวาง ทำให้เกิดความวุ่นวาย ต่อมาใน EP.9 เนตรได้โอกาสหลบหนีในงานกาล่าของมูลนิธิ Honest Heart แต่กลับถูกลักพาตัว สร้างความตื่นเต้นสุดๆ และใน EP.10 การหลบหนีของเธอกับมนต์มีนานำไปสู่การค้นพบความจริงที่สะเทือนใจ
เต๋า สโรชา เล่นบทเนตรได้แบบครบทุกมิติ เธอถ่ายทอดความเปราะบาง ความหวาดกลัว และความเข้มแข็งของเนตรได้อย่างน่าทึ่ง ฉากใน EP.8 ที่ความจริงเปิดเผยว่าเธอคือแม่ของมนต์มีนานี่คือสะเทือนอารมณ์มาก ทำให้เราเห็นทั้งความรักของแม่และความเจ็บปวดจากการถูกกักขังในเงามืดของตระกูล การแสดงของเต๋าในฉากที่เนตรพยายามปกป้องมนต์มีนานี่คือทำให้เราน้ำตาคลอเลย
ฉายาของเนตร “เงาแห่งความลับ”
เพราะเธอเหมือนเงาที่ถูกซ่อนอยู่ในตระกูลเหมรัตน์ศิริ เต็มไปด้วยความลับที่อาจเปลี่ยนเกมทั้งกระดาน ฉากใน EP.9 ที่เธอพยายามหลบหนีจากปรเมศในงานกาล่านี่คือภาพจำที่แสดงให้เห็นว่าเธอคือตัวละครที่ทั้งเปราะบางและมีพลังซ่อนอยู่ เธอรู้มากเกินไป แต่ต้องเงียบเพื่อปกป้องคนที่รัก
ข้อคิดจากเนตร “ความจริงอาจเจ็บปวด แต่เป็นหนทางสู่อิสรภาพ”
เนตรสอนเราว่าการเผชิญหน้ากับความจริง แม้จะเจ็บปวดแค่ไหน สุดท้ายอาจนำไปสู่อิสรภาพและการหลุดพ้นจากพันธนาการ เธอเลือกที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องมนต์มีนาและเปิดเผยความลับของตระกูล แม้ว่ามันจะเสี่ยงต่อชีวิต ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่า การยอมรับความจริงและกล้าที่จะก้าวออกจากความกลัวคือก้าวแรกสู่การเป็นอิสระ
→ ต๊ะ วริษฐ์ ทิพโกมุท รับบท ปราโมทย์ เหมรัตน์ศิริ

ปราโมทย์คือลูกชายคนรองของตระกูล เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ครองวงการธุรกิจไทย-จีน เขาเป็นสามีของ นวลจันทร์ (หญิง รฐา) ภรรยาที่ทั้งสง่างามและเป็นแพทย์หญิง แต่ในสายตาคนในตระกูล ปราโมทย์เหมือนเป็นตัวละครที่ไม่มีใครให้ความสำคัญ คิดดูสิ เขาเหมือนคนที่อยู่ข้างๆ เงียบๆ ไม่เด่นเท่าพี่ชายอย่าง ปรเมศ (อ่ำ อัมรินทร์) หรือหลานอย่าง เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) แต่จริงๆ แล้ว ปราโมทย์มีไฟในใจที่อยากพิสูจน์ตัวเอง
ในช่วงต้นเรื่อง ปราโมทย์ดูเหมือนยอมรับชะตากรรมที่ถูกมองข้าม แต่เมื่อ เจ้าสัวปรีดา ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป เขาก็เริ่มเผยด้านที่ทะเยอทะยาน อยากคว้าอำนาจในบริษัท H Group มาเป็นของตัวเอง ฉากใน EP.17 ที่เขากับนวลจันทร์วางแผนต่อสู้กับ ปรินทร์ (จ๊อบ ธัชพล) และ อาภาภัทร (ลูกน้ำ พาเมล่า) นี่คือเดือดมาก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ใช่คนที่ยอมแพ้ง่ายๆ แต่ใน EP.18 ความสัมพันธ์ของเขากับนวลจันทร์ถึงจุดแตกหักเมื่อความลับบางอย่างถูกเปิดเผย ทำให้เราเห็นด้านที่เปราะบางของเขา
ต๊ะ วริษฐ์ เล่นบทปราโมทย์ได้แบบครบรสสุดๆ เขาทำให้เราเห็นทั้งความขมขื่นของคนที่ถูกมองข้าม ความทะเยอทะยานที่ซ่อนอยู่ และความเจ็บปวดเมื่อต้องเผชิญหน้ากับความล้มเหลว ฉากใน EP.18 ที่เขานั่งเงียบๆ หลังการทะเลาะกับนวลจันทร์นี่คือสะเทือนใจมาก ทำให้แฟนๆ ในโซเซียล เม้าท์กันหนักว่าต๊ะเล่นได้ถึงอารมณ์สุดๆ
ฉายาของปราโมทย์ “เงาแห่งความทะเยอทะยาน”
เพราะเขาเหมือนเงาที่ถูกมองข้ามในตระกูล แต่ภายในใจเต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะก้าวขึ้นสู่อำนาจ ฉากที่เขาเผยแผนการต่อสู้เพื่อ H Group นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เขาคือคนที่เงียบแต่มีความฝันที่ยิ่งใหญ่
ข้อคิดจากปราโมทย์ “การถูกมองข้ามไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นแรงผลักดันให้พิสูจน์ตัวเอง”
ปราโมทย์สอนเราว่าการถูกมองข้ามหรือถูกประเมินค่าต่ำไม่ได้แปลว่าเราไม่มีค่า แต่เป็นโอกาสให้เราใช้ความมุ่งมั่นเพื่อพิสูจน์ตัวเอง แม้ว่าสุดท้ายเขาจะต้องเผชิญกับความล้มเหลวในบางด้าน แต่ความพยายามของเขาคือสิ่งที่ทำให้เราเห็นคุณค่าของการต่อสู้ ข้อคิดนี้เตือนให้เราคิดว่า อย่าปล่อยให้คำตัดสินของคนอื่นกำหนดอนาคตของเรา
→ หญิง รฐา โพธิ์งาม รับบท นวลจันทร์ เหมรัตน์ศิริ

นวลจันทร์คือภรรยาของ ปราโมทย์ (ต๊ะ วริษฐ์) ลูกชายคนรองของตระกูล เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ครองวงการธุรกิจไทย-จีน เธอเป็นแพทย์หญิงที่ทั้งสวย ฉลาด และสง่างาม คิดดูสิ เธอเหมือนผู้หญิงที่สมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่น แต่ในตระกูลนี้ เธอกับสามีถูกมองข้าม เหมือนเป็นแค่ตัวประกอบในเกมอำนาจ หลังจาก เจ้าสัวปรีดา ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป นวลจันทร์กลายเป็นคนที่สนับสนุนปราโมทย์อย่างเต็มที่เพื่อให้เขาคว้าอำนาจในบริษัท H Group
นวลจันทร์ไม่ใช่แค่ภรรยาที่คอยอยู่ข้างหลังนะ เธอมีความทะเยอทะยานและกลยุทธ์ในแบบของตัวเอง ฉากใน EP.17 ที่เธอวางแผนกับปราโมทย์เพื่อต่อสู้กับ ปรินทร์ (จ๊อบ ธัชพล) และ อาภาภัทร (ลูกน้ำ พาเมล่า) นี่คือแสดงให้เห็นว่าเธอฉลาดและพร้อมสู้ แต่ใน EP.18 เมื่อความสัมพันธ์กับปราโมทย์ถึงจุดแตกหักเพราะความลับบางอย่างถูกเปิดเผย เราก็ได้เห็นด้านที่เปราะบางของเธอ หญิง รฐา เล่นบทนี้ได้แบบครบรสมาก เธอถ่ายทอดความสง่างาม ความมุ่งมั่น และความเจ็บปวดของนวลจันทร์ได้อย่างลงตัว ฉากใน EP.18 ที่เธอนั่งเงียบๆ หลังการทะเลาะกับปราโมทย์นี่คือทำเอาแฟนๆ ในโซเซียลพูดถึงกันเยอะ เพราะมันสะเทือนใจสุดๆ
ฉายาของนวลจันทร์ “เพชรที่ซ่อนเงา”
เพราะเธอเหมือนเพชรเม็ดงามที่ถูกมองข้ามในตระกูล แต่จริงๆ แล้วมีพลังและความฉลาดที่พร้อมจะเปล่งประกาย ฉากที่เธอแสดงความเด็ดขาดในการวางแผนนี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เธอคือผู้หญิงที่ทั้งสวยและแข็งแกร่ง แต่ต้องซ่อนตัวในเงาของคนอื่น
ข้อคิดจากนวลจันทร์ “ความแข็งแกร่งที่แท้จริงคือการสนับสนุนคนที่รักโดยไม่สูญเสียตัวตน”
นวลจันทร์สอนเราว่าการเป็นผู้สนับสนุนคนที่รักไม่จำเป็นต้องเสียสละตัวตนของตัวเอง เธอเลือกยืนเคียงข้างปราโมทย์ แต่ก็รักษาความเป็นตัวของตัวเองไว้ด้วย ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่า การช่วยเหลือคนอื่นต้องมาพร้อมกับการเคารพคุณค่าของตัวเอง เพื่อไม่ให้ถูกกลืนหายไปในเงาของคนอื่น
→ ลูกน้ำ พาเมล่า เบาว์เด้นท์ รับบท อาภาภัทร เหมรัตน์ศิริ

อาภาภัทรคือสะใภ้เล็กของตระกูล เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ครองวงการธุรกิจไทย-จีน เธอเป็นแม่ของ ปรินทร์ (จ๊อบ ธัชพล) และเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน คิดดูสิ เธอเหมือนราชินีที่พร้อมทำทุกอย่างเพื่อผลักดันให้ลูกชายขึ้นเป็นผู้นำบริษัท H Group หลังจาก เจ้าสัวปรีดา ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป อาภาภัทรไม่ใช่แค่แม่ที่รักลูกนะ เธอมีเล่ห์เหลี่ยมและความเด็ดขาดที่ทำให้ทุกคนในตระกูลต้องระวัง
ในช่วงต้นเรื่อง เธอดูเหมือนสะใภ้ที่สง่างามแต่เงียบๆ แต่เมื่อเกมอำนาจเริ่มเดือดใน EP.10 เธอก็เผยด้านที่ร้ายกาจออกมา ฉากที่เธอวางแผนต่อสู้กับ ปราโมทย์ (ต๊ะ วริษฐ์) และ นวลจันทร์ (หญิง รฐา) เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของปรินทร์นี่คือสุดยอดเลย เราเห็นทั้งความฉลาดและความโหดของเธอ แต่ใน EP.14 เมื่อความสัมพันธ์กับปรินทร์ถึงจุดแตกหักเพราะลูกชายเริ่มอยากเดินทางของตัวเอง เราได้เห็นด้านที่เปราะบางของเธอเหมือนกัน ลูกน้ำ พาเมล่า เล่นบทนี้ได้แบบครบรสมาก เธอถ่ายทอดทั้งความสง่างาม ความร้าย และความเจ็บปวดของแม่ที่อยากให้ลูกประสบความสำเร็จได้อย่างลงตัว ฉากใน EP.14 ที่เธอมองปรินทร์เดินจากไปนี่คือทำเอาแฟนๆ ในโซเซียล เม้าท์กันหนักมาก เพราะมันสะเทือนใจสุดๆ
ฉายาของอาภาภัทร “ราชินีแห่งเล่ห์กล”
เพราะเธอเหมือนราชินีที่ปกครองเกมอำนาจด้วยความฉลาดและเล่ห์เหลี่ยม ฉากที่เธอยิ้มเจ้าเล่ห์ขณะวางแผนนี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เธอคือผู้หญิงที่ทั้งสวยและร้ายในแบบที่ทำให้คนดูต้องจับตา
ข้อคิดจากอาภาภัทร “ความรักที่มากเกินไปอาจกลายเป็นโซ่ตรวน”
อาภาภัทรสอนเราว่าความรักที่มากเกินไป โดยเฉพาะเมื่อมันมาพร้อมกับความคาดหวัง อาจกลายเป็นโซ่ที่มัดตัวทั้งเราและคนที่เรารัก เธอทุ่มเททุกอย่างเพื่อปรินทร์ แต่สุดท้ายความกดดันนั้นทำให้ความสัมพันธ์พังลง ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่า การรักใครสักคนควรมาพร้อมกับการให้อิสระ ไม่ใช่การควบคุม
→ ต๊อบ สหัสชัย ชุมรุม รับบท เจ้าสัวปรีดา เหมรัตน์ศิริ

เจ้าสัวปรีดาคือประมุขของตระกูล เหมรัตน์ศิริ มหาเศรษฐีที่ครองวงการธุรกิจไทย-จีน เขาคือคนที่ทรงอิทธิพลและเป็นศูนย์กลางของครอบครัว คิดดูสิ เขาเหมือนราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่ทุกคนในตระกูลเคารพและเกรงกลัว แต่เรื่องราวทั้งหมดเริ่มเดือดเมื่อเจ้าสัวปรีดาถูกฆาตกรรมในคฤหาสน์สุดหรูในตอนแรกของเรื่อง (EP.1) และพินัยกรรมที่ระบุทายาทก็หายไป ทำให้ครอบครัวแตกแยกและทุกคนกลายเป็นผู้ต้องสงสัย
ถึงแม้เจ้าสัวปรีดาจะปรากฏตัวในช่วงต้นเรื่องสั้นๆ แต่ตัวตนของเขาคือกุญแจสำคัญที่ขับเคลื่อนทุกอย่าง เขาเป็นคนที่วางแผนทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ แต่ก็ซ่อนความลับดำมืดไว้มากมาย เช่น การที่เขาใช้ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) เป็น “หมาก” ในเกมธุรกิจ โดยรู้ว่าเมฆินทร์ไม่ใช่สายเลือดแท้ ฉากใน EP.1 ที่เขาแสดงอำนาจในงานเลี้ยงของตระกูลนี่คือออร่าสุดยอดเลย ส่วนปมที่ถูกเปิดเผยใน EP.13 เกี่ยวกับความลับของเขานี่คือช็อกมาก ทำให้เราเห็นว่าเขาคือคนที่ทั้งฉลาดและโหดเหี้ยม
ต๊อบ สหัสชัย เล่นบทเจ้าสัวปรีดาได้แบบสมฐานะมาก เขาทำให้เราเห็นทั้งความน่าเกรงขามและความลึกลับของตัวละครนี้ แม้จะอยู่ในเรื่องไม่นาน แต่ทุกฉากที่ต๊อบปรากฏตัวคือขโมยซีนสุดๆ ทำให้แฟนๆ ในโซเซียลพูดถึงกันว่าบทนี้คือตัวจุดระเบิดของดราม่าทั้งเรื่อง
ฉายาของเจ้าสัวปรีดา “ราชาแห่งปริศนา”
เพราะเขาเหมือนราชาที่ครองทุกอย่างด้วยอำนาจและความลับ ทุกการตัดสินใจของเขาทิ้งปมไว้ให้คนอื่นต้องตามแก้ ฉากใน EP.1 ที่เขานั่งหัวโต๊ะด้วยสายตานิ่งๆ นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เขาคือคนที่ควบคุมทุกอย่าง แม้แต่หลังจากที่เขาตายไปแล้ว
ข้อคิดจากเจ้าสัวปรีดา “อำนาจที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมความรับผิดชอบที่หนักหนา”
เจ้าสัวปรีดาสอนเราว่าการมีอำนาจมากๆ ไม่ได้แปลว่าทุกอย่างจะง่าย มันมาพร้อมกับความรับผิดชอบและผลกระทบที่ตามมา การตัดสินใจของเขานำไปสู่ความแตกแยกของตระกูล ข้อคิดนี้ทำให้เราคิดว่า การใช้อำนาจต้องระวัง เพราะมันอาจสร้างผลกระทบที่ยาวนานกว่าที่เราคาดคิด
→ อาลีน่า โด๊หลิ่ง รับบท ตรีประภา เหมรัตน์ศิริ
ตรีประภาคือลูกสาวคนเล็กของตระกูล เหมรัตน์ศิริ และเป็นน้องสาวต่างแม่ของ เมฆินทร์ (อาเล็ก ธีรเดช) คิดดูสิ เธอเหมือนน้องสาวที่น่ารักและดูไร้เดียงสาในสายตาคนอื่น แต่จริงๆ แล้ว เธอคือหมากตัวสำคัญที่ซ่อนความลับใหญ่โตไว้ในเกมอำนาจของตระกูล หลังจาก เจ้าสัวปรีดา (ต๊อบ สหัสชัย) ถูกฆาตกรรมและพินัยกรรมหายไป ตรีประภาต้องเผชิญหน้ากับความวุ่นวายในตระกูล และกลายเป็นตัวแปรที่ทำให้ทุกอย่างพลิกผัน
ในช่วงต้นเรื่อง ตรีประภาดูเหมือนจะเป็นแค่ตัวละครที่อยู่ข้างๆ ไม่ค่อยมีบทบาท แต่ใน EP.7 เธอเริ่มเผยด้านที่ลึกลับ เมื่อจับได้ว่า มนต์มีนา (จีน่า ญีนา) แอบขึ้นไปค้นอะไรบางอย่างในห้องของ ปรเมศ (อ่ำ อัมรินทร์) ฉากนี้คือทำให้เรารู้ว่าเธอไม่ใช่แค่น้องเล็กใสๆ แล้วใน EP.20 ตอนจบ ที่เธอตัดสินใจหนีไปพร้อมปรเมศหลังจากทุกอย่างพังทลายนี่คือช็อกมาก เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเธอเลือกยืนข้างพ่อ แม้จะรู้ว่าทางนั้นอาจนำไปสู่จุดจบ อาลีน่า โด๊หลิ่ง ซึ่งเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ปล่อยของได้แบบไม่ธรรมดาเลย แฟนๆ ในโซเซียล ต่างชมว่าเธอเล่นได้เหมือนนักแสดงฮอลลีวูด โดยเฉพาะฉากดราม่าใน EP.13 ที่เธอบอกความลับสำคัญเกี่ยวกับเมฆินทร์นี่คือสะเทือนใจสุดๆ
ฉายาของตรีประภา “นางฟ้าแห่งความลับ”
เพราะเธอเหมือนนางฟ้าที่ดูบริสุทธิ์ แต่ซ่อนความลับที่สามารถเขย่าตระกูลได้ทั้งหมด ฉากที่เธอเผยความจริงเกี่ยวกับเมฆินทร์นี่คือภาพจำที่ทำให้ฉายานี้เหมาะสมสุดๆ เธอคือตัวละครที่ทั้งน่ารักและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ข้อคิดจากตรีประภา “ความภักดีอาจนำไปสู่ทางตันถ้าเลือกผิด”
ตรีประภาสอนเราว่าความภักดีต่อครอบครัวหรือคนที่เรารักเป็นสิ่งสำคัญ แต่ถ้าเราเลือกยืนข้างผิดหรือตัดสินใจโดยไม่ฟังเหตุผล อาจนำไปสู่จุดจบที่เจ็บปวด การตัดสินใจหนีไปกับปรเมศทำให้เห็นว่าเธอรักพ่อมาก แต่ก็ต้องจ่ายราคาแพง ข้อคิดนี้เตือนให้เราคิดดีๆ ก่อนตัดสินใจยืนข้างใคร
→ แก๊ป ชนกสุดา รักษนาเวศ รับบท อริสา
แบงค์ ปวริศร์ มงคลพิสิฐ รับบท นายอู่
อู๋ สมิทธิ ลิขิตมาศกุล รับบท ธิติ
แคร์ วงศ์วชิรา เพชรแก้ว รับบท อินธร
เล็ก ดวงหทัย ศรัทธาทิพย์ รับบท บัว
ก้อย นฤมล พงษ์สุภาพ รับบท ดวงใจ
เบสท์ ชนิดาภา พงศ์ศิลป์พิพัฒน์ รับบท เหมย
ภีม ณัฐภัทร ประภานนท์ รับบท แม็ก (ลูกน้องเมฆินทร์)