GDP โตแต่ทำไมเรายังรู้สึกจน คำตอบที่คนทั่วไปไม่อยากฟัง

GDP โตแต่ทำไมเรายังรู้สึกจน คำตอบที่คนทั่วไปไม่อยากฟัง
GDP โตแต่ทำไมเรายังรู้สึกจน คำตอบที่คนทั่วไปไม่อยากฟัง

เรื่อง GDP โตแต่ทำไมยังรู้สึกจนเนี่ย มันเป็นคำถามที่คนถามกันแทบทุกยุคทุกสมัยจริง ๆ โดยเฉพาะช่วง 10-20 ปีที่ผ่านมาในหลายประเทศ รวมถึงบ้านเราด้วย เพราะพอเปิดดูข่าวจะเห็นตัวเลขสวย ๆ GDP โต 4-5% ต่อปี รัฐบาลก็ออกมาบอกว่าเศรษฐกิจกำลังฟื้นตัว ดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่พอเปิดกระเป๋าตังค์ดูเท่านั้นแหละ เงินหายไวมาก ค่ากับข้าวแพง ค่าไฟ ค่าน้ำมันก็ขึ้นไม่หยุด ความรู้สึกมันเลยไม่ตรงกับตัวเลขสักที ความจริงแล้วคำตอบมันค่อนข้างโหดนิดนึง เพราะมันบอกว่าปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “เศรษฐกิจไม่โต” แต่ปัญหาอยู่ที่ “โตแล้วมันไม่ถึงคนส่วนใหญ่” ต่างหาก

สารบัญ

ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่า GDP คืออะไรแบบง่าย ๆ

มันก็คือยอดรวมของทุกอย่างที่ผลิตและใช้จ่ายในประเทศภายใน 1 ปี ไม่ว่าจะเป็นข้าวของที่โรงงานผลิตออกมา บริการที่ร้านกาแฟขาย การสร้างคอนโด การส่งออกโทรศัพท์มือถือ การท่องเที่ยว ทุกอย่างเอามารวมกันเป็นเงินก้อนโต ๆ แล้วบอกว่า “ปีนี้ประเทศหาเงินได้ทั้งหมดเท่าไหร่” พอตัวเลขนี้โต แปลว่ากิจกรรมในประเทศมันคึกคักขึ้นจริง ๆ มีคนผลิตของมากขึ้น มีคนซื้อของมากขึ้น มีเงินหมุนเวียนเยอะขึ้น แต่คำถามสำคัญคือเงินที่หมุนเวียนเพิ่มขึ้นนั่น มันไปอยู่ที่ไหน ใครได้ประโยชน์มากที่สุด

คำตอบคือ ส่วนใหญ่ไปอยู่กับคนกลุ่มเล็ก ๆ นี่แหละ

อย่างในบ้านเรา ถ้า GDP โตแรง ๆ บ่อยครั้งมาจากการส่งออกสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ ยางพารา น้ำมันปาล์ม หรือการท่องเที่ยวระดับบน ๆ โรงแรม 5-7 ดาว สายการบิน ร้านอาหารหรู กลุ่มทุนใหญ่ ๆ ที่เป็นเจ้าของโรงงาน เป็นเจ้าของโรงแรม เป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้า ก็จะได้กำไรก้อนโตมาก ๆ ส่วนพนักงานที่ทำงานในโรงงานนั้น ๆ หรือแม่บ้านในโรงแรม หรือคนขับแท็กซี่ ส่วนใหญ่ได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นนิดหน่อย หรือบางทีแทบไม่เพิ่มเลย บางช่วงยังถูกกดค่าแรงให้ต่ำลงด้วยซ้ำเพื่อแข่งขันกับโรงงานในเวียดนามหรืออินโดนีเซียที่ค่าแรงถูกกว่า

แล้วมันเกิดอะไรขึ้นกับส่วนแบ่งรายได้บ้าง มีข้อมูลจากหลายสำนักทั้ง ILO, World Bank และนักเศรษฐศาสตร์ไทยหลายคนชี้ตรงกันว่า สัดส่วนของ “ค่าแรงรวม” เทียบกับ GDP (ที่เรียกว่า labor share of income) ในหลายประเทศรวมถึงไทย ลดลงต่อเนื่องมา 20-30 ปีแล้ว แต่ก่อนปี 2540 คนทำงานเคยได้ส่วนแบ่งจากเค้กเศรษฐกิจประมาณเกือบ 50% แต่เดี๋ยวนี้เหลือประมาณ 35-40% เท่านั้น ส่วนที่หายไปไม่ได้หายไปไหน มันไปอยู่ที่กำไรของบริษัท เงินปันผลของผู้ถือหุ้น และรายได้ของผู้บริหารระดับสูงที่เงินเดือน+โบนัสพุ่งกระฉูด นี่คือเหตุผลข้อใหญ่ที่ทำให้คนรู้สึกว่า “ประเทศรวยขึ้น แต่ตัวเองจนลง”

อีกมุมนึงที่สำคัญไม่แพ้กันคือเรื่อง “ค่าเฉลี่ยหลอกตา” GDP ต่อหัวของไทยตอนนี้อยู่ประมาณ 7,000-8,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อปี ถ้าเอามาเฉลี่ยเท่ากับว่าคนไทยทุกคนมีรายได้ราว ๆ 20,000-25,000 บาทต่อเดือน

แต่ความจริงแล้วคนส่วนใหญ่ได้น้อยกว่านั้นมาก ๆ เพราะคนรวยแค่ไม่กี่พันคนหรือไม่กี่หมื่นคน ดึงค่าเฉลี่ยให้สูงขึ้นมหาศาล ถ้าลองตัด 1% ที่รวยที่สุดออก ค่าเฉลี่ยของคนอีก 99% จะตกลงมาทันที เหมือนเวลาเรียนห้องนึงมีเด็ก 30 คน คะแนนเฉลี่ย 80 แต่มีเด็กคนนึงสอบได้ 2500 คะแนน อีก 29 คนเหลือเฉลี่ยคนละ 10 คะแนน มันก็ยังเฉลี่ย 80 ได้อยู่นะ แต่ชีวิตจริงของ 29 คนนั้นแย่มาก เรื่อง GDP ก็แบบนี้เลย

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเงินเฟ้อที่มากัดกินอำนาจซื้อของคนตัวเล็กแบบต่อเนื่อง

ช่วง 5-10 ปีมานี้ เงินเฟ้ออย่างเป็นทางการอาจจะบอกแค่ 1-2% ต่อปี แต่ของกินของใช้จริง ๆ ขึ้นแรงกว่านั้นเยอะ ไข่ไก่จากแผงละ 30 บาท ขึ้นไป 50 บาท หมูจากกิโลละ 120 เป็น 200 กว่าน้ำมันจากลิตรละ 25-30 บาท ขึ้นไปแตะ 40-45 บาท ค่าไฟจากหน่วยละ 3 บาทกว่า ๆ กลายเป็น 4-5 บาท ค่าโดยสารรถไฟฟ้าก็ขึ้นทุกปี พอของแพงแต่เงินเดือนขึ้นแค่ปีละ 3-5% หรือบางคนไม่ขึ้นเลย อำนาจซื้อก็หายไปเรื่อย ๆ ทำงานหนักขึ้นแต่ซื้อของได้น้อยลง ความรู้สึกมันก็เลยยิ่งจนเข้าไปใหญ่

แล้วยังไม่นับเรื่องหนี้ครัวเรือนที่สูงเป็นประวัติการณ์ของไทยตอนนี้

หนี้ครัวเรือนต่อ GDP อยู่ที่ประมาณ 90% กว่า ๆ ซึ่งสูงมากในระดับโลก คนไทยส่วนใหญ่มีหนี้เกือบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นผ่อนบ้าน ผ่อนรถ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล พอรายได้เพิ่มขึ้นนิดหน่อย ส่วนใหญ่ไม่ได้เอาไปกินไปใช้ แต่เอาไปจ่ายดอกเบี้ยและผ่อนหนี้เก่า บางคนเงินเดือน 20,000 บาท แต่ผ่อนบ้าน+รถ+บัตรเครดิต เดือนละ 12,000-15,000 บาท เหลือใช้จริง ๆ แค่ 5,000-8,000 บาท จะให้รู้สึกว่าชีวิตดีขึ้นได้ยังไง ในขณะที่คนรวยส่วนใหญ่ไม่ต้องแบกหนี้แบบนี้ เพราะเขามีเงินสดหรือสินทรัพย์ที่สร้างรายได้ให้ตัวเอง

อีกมุมที่น่าสนใจคือ GDP โตบางทีมาจากสิ่งที่คนทั่วไป “ไม่ได้รู้สึก” ด้วยซ้ำ

เช่น การลงทุนสร้างโรงไฟฟ้า สร้างท่าเรือ สร้าง data center ของบริษัทต่างชาติ มันทำให้ GDP โตจริง แต่คนในพื้นที่อาจจะได้งานก่อสร้างแค่ช่วงสั้น ๆ พอสร้างเสร็จก็จบ หรือบางทีโครงการใหญ่ ๆ เหล่านี้ยังทำให้ค่าครองชีพในพื้นที่แพงขึ้นอีก เพราะที่ดินแพง ค่าเช่าบ้านสูงขึ้น คนเดิมที่อยู่มาก่อนเลยลำบากกว่าเดิม

สุดท้ายแล้ว GDP ก็เหมือนขนาดของเค้กทั้งก้อนที่ใหญ่ขึ้นทุกปี แต่ปัญหาคือการแบ่งเค้กมันไม่ยุติธรรมเลยสักนิด

คนที่ถือมีดตัดเค้กได้ชิ้นโต ๆ เต็มปากเต็มคำ ส่วนคนอีกเป็นร้อยล้านคนได้แค่เศษเล็กเศษน้อย บางทีชิ้นยังเล็กลงกว่าเดิมอีกเพราะเค้กก้อนใหม่มันแข็งขึ้น หั่นยากขึ้น คนตัวเล็กเลยยิ่งได้น้อยลง ความรู้สึกจนลงทั้งที่ตัวเลขบอกว่าโต มันเลยเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่แค่บ้านเรา และมันจะยังคงเป็นแบบนี้ต่อไป ตราบใดที่โครงสร้างการกระจายรายได้ โอกาส และอำนาจต่อรองของคนตัวเล็กยังไม่ถูกแก้ไขอย่างจริงจัง ความสวยงามของตัวเลข GDP ก็จะยังคงเป็นแค่ภาพลวงตาของคนส่วนใหญ่ต่อไป


แชร์ให้เพื่อน