เสียงระเบิดกึกก้อง ทำลายล้าง 1 ตร.กม. คนตาย 36 ศพ เจ็บนับร้อย บ้านพังกว่า 500 หลัง
จากปุ๋ยเร่งผลผลิต กลายเป็น มัจจุราชคร่าชีวิต
เสียงระเบิดกัมปนาท ดังขึ้น 2 ลูกซ้อน
เหตุร้ายเกิดขึ้นที่โรงงานอบลำไยหงษ์ไทยเกษตรพัฒนา
ยังจำเสียงและควันที่พวยพุ่งนั้นได้ดี และ ชิ้นส่วนมนุษย์ที่กระเด็นติดตามกิ่งไม้ อาคารบ้านเรือนที่เสียหาย จำจนถึงวันนี้
ตอนนั้นผมอยู่ในโรงเรียน เล่นกับเพื่อน โรงเรียนผมอยู่ห่างจุดระเบิดประมาณ 15 กิโลเมตร วินาทีระเบิดรู้สึกได้ถึงแรงสั่นทะเทือนมหาศาล เพื่อนผมนั่งอยู่บนโต๊ะกระดอนตกลงมา หน้าต่างเปิดเกือบทุกบานทั้งที่มันล็อกอยู่ ผมและเพื่อนๆวิ่งออกไปดูบนฟ้าเห็นควันระเบิดพวยพุ่งคล้ายดอกไม้ มีเพื่อนๆบ้านอยู่ใกล้แถวนั้นบอกว่าระยะ 1 กิโลจากจุดระเบิด ต้นไม้ทุกต้นไม่เหลือใบ บางบ้านมีอวัยวะชิ้นส่วนมนุษย์ตกใส่หลังคา
เหตุการณ์ร้ายครั้งนั้น เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2542 โรงงานนี้ตั้งที่บ้านหนองแท่น อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่
แค่เพียงไม่กี่วินาที ทุกอย่างรัศมี 1 ตร.กม. พังราบ กลางโรงงานพบหลุมลึกประมาณ 3 เมตร กว้างราว 25 เมตร บริเวณนั้นมีคนเสียชีวิต 22 ศพ เศษชิ้นเนื้อมนุษย์มากมาย จากการปูพรมค้นหา พบผู้เสียชีวิตทั้งหมด 36 คน เหยื่อส่วนใหญ่ คือ คนงานจาก อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน
สาเหตุ โรงงานมรณะนี้ คือ สารตั้งต้น “โพแทสเซียมคลอเรต” ที่ใช้ทำปุ๋ยเร่งผลผลิตลำไย ให้ออกผลนอกฤดูกาล คนงานที่รอดชีวิตระบุว่า มีเก็บไว้เป็นพันๆตัน เพื่อแจกชาวสวนใช้ผลิตลำไยส่งโรงงาน
นาย บุญยัง ตุ้ยคง หัวหน้ากุ๊กโรงงานผู้รอดชีวิต ได้เล่าเหตุการณ์ให้ฟังว่า “ผมทำหน้าที่พ่อครัวห่างจุดระเบิด 20 เมตร คนงานกำลังผสม โพแทสเซียมคลอเรต กับสารบางอย่าง จากนั้นเกิดระเบิดตูมแรก ควันสีขาวพวยพุ่ง ตูมที่สองเสียงดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่ว”วันวิปโยคโรงงานอบลำไยระเบิดมีผู้เสียชีวิต 36 คน บาดเจ็บ 102 คน บ้านเรือนเสียหาย 571 หลังคาเรือน ทรัทย์สินเสียหายหลายร้อยล้าน ถือเป็นโศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ ครั้งหนึ่งของคนไทย
เหตุการณ์โรงงานอบลำไยระเบิดเป็นบทเรียนสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการให้ความสำคัญกับความปลอดภัยในการทำงาน การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และการดูแลช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างจริงจัง
โพแทสเซียมคลอเรต เป็นสารที่ชาวสวนลำไยนิยมใช้เป็นอย่างมาก เพราะมีข้อดี ทำให้ลำไยออกดอกได้ภายใน 20-30 วัน และไม่มีสารตกค้างในดิน
แต่มีข้อเสีย คือ เป็นวัตถุไวไฟ จะระเบิดเมื่อได้รับความร้อนเกิน 400 องศาเซลเซียส เป็นพิษต่อมนุษย์ ทำให้ระคายเคืองผิวหนัง ตา ทางเดินอาหาร ไต มนุษย์ไม่ควรได้รับเกิน 5 กรัม และเป็นวัตถุอันตรายใน พ.ร.บ. ควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. 2530 ควบคุมโดยกระทรวงกลาโหม
จากเหตุที่เกิดขึ้น ตำรวจได้ดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง
ข้อหา “กระทำการโดยประมาททำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย”
ข้อหา “โยกย้ายยุทธภัณฑ์โดยไม่ได้รับอนุญาต” และข้อหาต่อเติมอาคาร
และได้ดำเนินคดีบริษัทและผู้เกี่ยวข้องเพิ่มอีก
• บริษัท หงษ์ไทยเกษตรพัฒนา จำกัด ศาลฎีกาพิพากษา สั่งปรับ 60,000 บาท
• นาย ปธาน ตรีฉัตร ผู้จัดการ จำคุก 6 ปี 10 เดือน 20 วัน ซึ่งถูกควบคุมตัวทันทีหลังเดินทางมาฟังคำพิพากษา
• นาย เทิดพันธ์ ฉันทะโรจน์ศิริ ประธานกรรมการบริหาร จำคุก 10 ปี 2 เดือน ไม่มาฟังคำพิพากษา จึงได้ให้ออกหมายจับ
• นาย ลีหงเหลิน หุ้นส่วนชาวไต้หวัน ที่ถูกระบุว่าเป็นเจ้าของ หลบหนีมา 10 ปี ศาลให้ออกหมายจับ
คดีนี้มีการต่อสู้กันอย่างยาวนาน 17 ปี ชาวบ้านระทมทุกข์มาอย่างยาวนาน บางคนสูญเสียญาติ แม้แต่ศพก็ไม่เหลือ บางคนสิ้นเนื้อประดาตัว เพราะทรัพย์สินทุกอย่างพังทลายไปหมด มีเพียงวันเวลาเท่านั้นที่คอยเยียวยาจิตใจ