ย้อนดูดราม่าในตำนาน เมื่อก่อนโลกก็มีดราม่า แค่ไม่มีแฮชแท็ก

ย้อนดูดราม่าในตำนาน เมื่อก่อนโลกก็มีดราม่า
ย้อนดูดราม่าในตำนาน เมื่อก่อนโลกก็มีดราม่า

ก่อนที่โลกออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของเรา การรับรู้เรื่องราว ดราม่า หรือประเด็นร้อนทางสังคมไม่ได้รวดเร็วและแพร่กระจายไปในวงกว้างอย่างที่เป็นในปัจจุบัน อินเทอร์เน็ต โซเชียลมีเดีย และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แฮชแท็ก (Hashtag) ได้เข้ามาเปลี่ยนภูมิทัศน์ของการสื่อสารไปอย่างสิ้นเชิง ทำให้เรื่องราวเล็ก ๆ สามารถกลายเป็นประเด็นระดับชาติหรือระดับโลกได้ภายในไม่กี่นาที

แต่ก็ใช่ว่าเมื่อก่อนโลกจะไม่มีดราม่า หรือประเด็นขัดแย้งที่ผู้คนให้ความสนใจ เพียงแต่รูปแบบการรับรู้ การแพร่กระจาย และการแสดงออกของผู้คนนั้นแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิงจากยุคดิจิทัล


สวัสดีทุกคน วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง ดราม่าในตำนาน ที่ว่า ดราม่ามันไม่ใช่ของใหม่เลยนะยู มันมีมานานตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว แค่เมื่อก่อนไม่มี แฮชแท็ก ให้ติดเทรนด์ ไม่มีโซเชียลมีเดียให้แซะกันในทวิต หรือเอ๊ย X น่ะ 555 วันนี้เราจะย้อนไปดูว่า ดราม่ามันเริ่มยังไง สะท้อนอะไรในสังคม และทำไมมันถึงบูมในยุคนี้

ดราม่าไม่ใช่ของใหม่

ดราม่า หรือความขัดแย้งในสังคมเนี่ย มันมีมาตั้งแต่สมัยโบราณแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรก็ตาม เช่น การเมือง ศาสนา ความรัก หรือแม้แต่เรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชุมชน อย่างเช่น ใครแย่งที่จอดรถ เอ๊ย ไม่ใช่ สมัยก่อนอาจจะเป็นเรื่องแย่งที่นา หรือตีกันเพราะมองหน้าไม่ถูกใจ 555 แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปในยุคนี้คือ เวที และ เครื่องมือ ที่ทำให้ดราม่ามันปัง มันไว และมันแพร่กระจายไปทั่วโลกแบบทันใจ

ย้อนไปสมัยก่อน ดราม่ามันเริ่มยังไง?

สมัยก่อนเนี่ย ดราม่ามันเกิดในวงแคบ ๆ เช่น ในหมู่บ้าน ในราชสำนัก หรือในวงนักปราชญ์ อย่างเช่น สมัยกรีกโบราณ ปราชญ์ดัง ๆ อย่างโสกราตีสเค้าก็มีดราม่านะ เค้าถูกกล่าวหาว่าทำให้เยาวชนเสียคน แบบดราม่าหนักจนต้องดื่มยาพิษเลยนะ หรือในไทยเรา สมัยอยุธยา ก็มีเรื่องขุนนางแย่งชิงอำนาจ ดราม่าในวังสุด ๆ ดราม่าพวกนี้มันสะท้อนว่า มนุษย์ เนี่ย ชอบมีความขัดแย้งกันอยู่เสมอ ไม่ว่าจะยุคไหน เพราะมันคือส่วนหนึ่งของการอยู่ร่วมกันในสังคม

แต่สมัยก่อน ดราม่ามันไม่ได้แพร่กระจายเร็วเท่ายุคนี้ เพราะไม่มีอินเทอร์เน็ต สมัยนั้นถ้าจะเม้าท์ต้องไปนั่งเล่าที่ตลาด หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เพื่อน ซึ่งมันช้ามากกกกกก ดังนั้น ดราม่ามันเลยอยู่ในวงจำกัด ไม่เหมือนสมัยนี้ที่ทุกคนพร้อมแคปหน้าจอ ไปโพสต์ต่อใน 5 วินาที

ยุคนี้ ดราม่าบนเวทีใหม่

ทีนี้มาถึงยุคปัจจุบัน สิ่งที่ทำให้ดราม่ามันปังกว่าเดิมคือ เวที และ เครื่องมือ เดี๋ยวนี้เรามีโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็น X, TikTok, IG หรืออะไรก็ตาม ดราม่ามันเลยกลายเป็นเรื่องระดับโลกได้ในพริบตา เช่น ดาราคนนี้พูดอะไรไม่เข้าหู แป๊บเดียว #แบนคนนั้น #แบนคนนี้ ลอยมาเต็มเลย หรืออย่างดราม่าการเมือง ดราม่าความรัก ดราม่าเพื่อนบ้าน มันถูกขยายผ่านแฮชแท็ก ผ่านการรีทวีต ผ่านคอมเมนต์ ที่ทำให้ทุกคนรู้เรื่องในเวลาไม่กี่นาที

เครื่องมือพวกนี้มันเหมือน แว่นขยาย ที่ทำให้ดราม่ามันชัด มันใหญ่ และบางทีมันก็รุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น เพราะคนสามารถแชร์ความเห็นได้ทันที และบางทีก็แชร์แบบไม่คิดหน้าคิดหลัง ทำให้ดราม่ามันลุกลามไปไกล จากเรื่องเล็ก ๆ กลายเป็นเรื่องใหญ่ได้เลย

ความหมายของ “ดราม่า” ในบริบทสังคม

ดราม่ามันคืออะไร? ทำไมมันถึงกลายเป็นสิ่งที่ทุกคนติดงอมแงมในยุคนี้? และทำไมแฮชแท็กถึงทำให้ดราม่ามันปังยิ่งกว่าละครหลังข่าว? มาดำดิ่งไปในโลกของดราม่ากันเลย

ดราม่า ก็คือเหตุการณ์ที่มันมี ความขัดแย้ง มี อารมณ์รุนแรง หรือมีการ ปะทะกันทางความคิด ลองนึกภาพนะ สมมติเพื่อนในกลุ่มแชททะเลาะกันเรื่องจะกินชาบูหรือหมูกระทะ นี่ก็ดราม่าแล้ว หรือจะเป็นเรื่องใหญ่ ๆ อย่างการเมือง ดาราทะเลาะกัน หรือดราม่าในครอบครัว เช่น ลูกสะใภ้ไม่ถูกกับแม่สามี อะไรแบบนี้ ดราม่ามันคือทุกเรื่องที่ทำให้คนรู้สึก ว้าว อะไรกันเนี่ยยย แต่ที่สำคัญคือ ดราม่ามันไม่ได้เพิ่งเกิดในยุคนี้ มันมีมานานแล้ว แค่สมัยก่อนกับสมัยนี้มันต่างกันยังไง

ตัวอย่างดราม่าในอดีตที่กลายเป็นตำนาน

ดราม่าในตำนาน ที่เคยสะเทือนวงการโซเชียลเมืองไทย จากวลีเด็ด “กราบรถกู” ไปจนถึงคดีสุดช็อก “เปรี้ยวหั่นศพ” และดราม่าที่ทำให้ VRZO วงแตก แต่ละเรื่องนี่แซ่บสุด ๆ ไปเลย พร้อมแล้วรึยัง? ไปดำดิ่งสู่มหากาพย์ดราม่ากันเลย

1. กราบรถกู: วลีเด็ดที่กลายเป็นมีม

เรื่องนี้เริ่มจาก คนดัง (ที่ตอนนั้นเป็นที่รู้จักในวงการ) มีเรื่องกับคู่กรณีเพราะรถของเค้าถูกเฉี่ยว แล้วจู่ ๆ ก็เกิดวลีสุดปัง “กราบรถกู” ที่กลายเป็นไวรัลไปทั่วโซเชียล คลิปนี้ถูกแชร์ว่อนจนกลายเป็น มีม ที่คนเอาไปล้อเลียนกันสนุกสนาน ทำไมมันถึงดัง?

• ความรุนแรงจากอารมณ์: เรื่องนี้สะท้อนว่าคนเราถ้าควบคุมอารมณ์ไม่ได้ มันก็พังได้ง่าย ๆ จากเรื่องเล็ก ๆ อย่างรถเฉี่ยว กลายเป็นดราม่าใหญ่โตเพราะการระเบิดอารมณ์ในที่สาธารณะ

• พลังของมีม: วลี “กราบรถกู” มันติดหูมาก ชาวเน็ตเอาไปทำมีม ทำคลิปล้อ ทำมุกตลก จนกลายเป็นตำนานที่คนจำได้ถึงทุกวันนี้

บทเรียน: อย่าให้อารมณ์ครอบงำนะทุกคน และถ้าจะดราม่า ระวังกลายเป็นมีมได้ 555

2. น้ำพริกแม่ประนอม: ดราม่าครอบครัวที่พลิกคดี

ดราม่านี้เกี่ยวกับ แบรนด์น้ำพริกแม่ประนอม ที่เป็นที่รักของคนไทย แต่จู่ ๆ ก็มีดราม่าครอบครัวเกี่ยวกับ การบริหารกิจการ ที่กลายเป็นข่าวใหญ่ ชาวเน็ตแบ่งฝ่ายกันเลย บ้างว่าเป็นเรื่องภายในครอบครัว บ้างว่ามีการบริหารที่ไม่โปร่งใส สุดท้ายมีพลิกคดีที่ทำเอาทุกคนช็อก

ทำไมมันถึงดัง?

• การตัดสินจากข้อมูลด้านเดียว: ชาวเน็ตในตอนนั้นพากันตีความจากข้อมูลที่หลุดออกมาแค่ด้านเดียว ทำให้ดราม่ามันลุกลาม มีคนออกมาแฉ มีคนออกมาปกป้อง สุดท้ายกลายเป็นว่าข้อมูลที่ทุกคนเชื่ออาจจะไม่ครบถ้วน

• แบรนด์ดัง = ดราม่าดัง: เพราะแม่ประนอมเป็นแบรนด์ที่ทุกคนรู้จัก ดราม่านี้เลยกลายเป็นเรื่องที่คนสนใจไปทั่วประเทศ

บทเรียน: อย่าเพิ่งเชื่ออะไรจากด้านเดียว รอข้อมูลครบก่อนค่อยเม้าท์ ไม่งั้นอาจจะพลาดเหมือนดราม่านี้

3. VRZO วงแตก: รายการดังที่ล่มสลาย

VRZO คือรายการออนไลน์สุดฮิตในยุคบุกเบิกยูทูบเมืองไทย นำทีมโดย ปลื้ม สุรบถ และ ทับทิม มัลลิกา พร้อมเพื่อน ๆ สุดปังอย่างจอร์จ, อิสระ, หลุยส์ และทีมงานอีกมากมาย แต่จู่ ๆ ก็มีดราม่า วงแตก เมื่อทีมงานเริ่มทยอยออกจากรายการ มีการแฉเรื่องภายใน ทั้งเรื่องเงิน เรื่องความสัมพันธ์ และดราม่าครีมเซเลปของทับทิมที่ถูกวิจารณ์ว่าโฆษณาเกินจริง แถมยังมีปมเงินบริจาคจากโปรเจกต์ VRZO Mafia ที่ไม่โปร่งใส สุดท้ายรายการที่เคยดังกลายเป็น VRปลื้ม แทน

ทำไมมันถึงดัง?

• ความเปราะบางของความสัมพันธ์: ดราม่านี้แสดงให้เห็นว่า ต่อให้เป็นเพื่อนสนิทกันแค่ไหน ถ้ามีผลประโยชน์หรือความขัดแย้งเข้ามา วงก็แตกได้ ทีมงาน VRZO ที่เคยเป็นเหมือนครอบครัว สุดท้ายก็แยกย้ายเพราะปัญหาภายใน

• แฮชแท็ก #VRZOวงแตก: แฮชแท็กนี้ติดเทรนด์อันดับ 1 เลยนะ ชาวเน็ตพากันขุดเรื่องเก่า ๆ มีทั้งคลิปเสียง มีทั้งโพสต์ด่าลอย ๆ ทำให้ดราม่ามันยิ่งปัง

• ทับทิมและปลื้มในไฟแสง: ทั้งคู่ถูกจับตามองว่าเป็นสาเหตุของวงแตก โดยเฉพาะทับทิมที่ถูกมองว่าเป็นตัวจุดชนวนจากดราม่าครีมเซเลปและพฤติกรรมส่วนตัว

บทเรียน: ความสัมพันธ์ในวงการบันเทิงมันเปราะบางมาก และถ้าจะทำโปรเจกต์ใหญ่ ต้องโปร่งใส ไม่งั้นดราม่าจะมาเยือน

อัปเดต: ในปี 2024 ทับทิมออกมาเปิดใจว่า ดราม่า VRZO ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น และเผยว่าเธอพบ เนื้องอกในสมอง 6 ซม. ซึ่งเป็นบทเรียนชีวิตที่ทำให้เธอมูฟออนจากดราม่าในอดีต

4. เปรี้ยวหั่นศพ: คดีสุดช็อกที่กลายเป็นกระแส

คดีนี้คือ คดีฆาตกรรม ที่สะเทือนขวัญมาก “เปรี้ยว” ผู้ต้องหาที่มีหน้าตาดี กลายเป็นจุดสนใจของโซเชียลมีเดีย เพราะคนพูดถึง รูปลักษณ์ ของเธอมากกว่าเนื้อหาคดี คดีนี้เกี่ยวกับการฆาตกรรมและหั่นศพเหยื่อ ซึ่งน่ากลัวสุด ๆ แต่ชาวเน็ตกลับโฟกัสที่หน้าตาของเปรี้ยว จนกลายเป็น กระแสไวรัล

ทำไมมันถึงดัง?

• การเบี่ยงเบนความสนใจ: แทนที่คนจะสนใจความโหดร้ายของคดี กลับไปโฟกัสที่หน้าตาของผู้ต้องหา มันสะท้อนว่าโซเชียลมีเดียบางครั้งทำให้เราหลงประเด็นจากเรื่องสำคัญไปสู่เรื่องผิวเผิน

• กระแสไวรัล: รูปของเปรี้ยวถูกแชร์ว่อน มีทั้งคนวิจารณ์และคนชื่นชมรูปลักษณ์ ทำให้คดีนี้กลายเป็น ดราม่าทางสังคม ที่คนพูดถึงกันทั่วบ้านทั่วเมือง

บทเรียน: โซเชียลมีเดียทำให้เรามองข้ามสาระสำคัญของเรื่องได้ง่าย ๆ อย่าให้รูปลักษณ์มาบดบังความจริงนะทุกคน

5. ILLsick vs ผู้จัดคอนเสิร์ต: ดราม่าค่าตัวสุดเดือด

ดราม่านี้เกิดจากศิลปินแรปเปอร์ชื่อดัง ILLsick ที่มีปัญหากับ ผู้จัดคอนเสิร์ต เรื่อง ค่าตัว เริ่มจากผู้จัดจ้าง ILLsick ในราคา 800,000 บาท แต่ ILLsick อ้างว่าได้เงินแค่ 550,000 และถูกหักค่าเดินทางอีก 50,000 พอเห็นคนดูเยอะ ILLsick ขอเพิ่มเงินอีก 100,000 ผู้จัดทนไม่ไหว เลยขึ้นเวทีแฉหลักฐานทั้งหมด สุดท้าย ILLsick ประกาศไม่เอาค่าตัว คืนกำไรให้คนดู ดราม่านี้ลุกลามถึงขั้นแจ้งความเลยนะ

ทำไมมันถึงดัง?

• ความซับซ้อนของธุรกิจบันเทิง: ดราม่านี้แสดงให้เห็นว่า วงการบันเทิงมันมีเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ที่ซับซ้อน และถ้าคุยกันไม่เคลียร์ มันก็พังได้

• การแฉบนเวที: การที่ผู้จัดขึ้นเวทีแฉต่อหน้าคนดู มันเหมือนจุดระเบิดดราม่าเลย ชาวเน็ตพากันเม้าท์ว่าใครผิดใครถูก

• ภาพลักษณ์ศิลปิน: ILLsick ต้องรักษาภาพลักษณ์ เลยตัดสินใจคืนเงิน แต่ก็ทำให้คนตั้งคำถามถึงความโปร่งใสในวงการ

บทเรียน: ธุรกิจบันเทิงมันไม่ง่าย ต้องเคลียร์สัญญาให้ชัดเจน ไม่งั้นดราม่าจะตามมาแบบนี้

ดราม่าตำนานสะท้อนอะไรในสังคม?

ทั้ง 5 ดราม่านี้มันบอกอะไรเราได้เยอะเลยนะทุกคน

→ อารมณ์และความรุนแรง (“กราบรถกู”) – อารมณ์ชั่ววูบอาจทำให้เรากลายเป็นมีมได้
→ การตัดสินใจจากข้อมูลด้านเดียว (“น้ำพริกแม่ประนอม”) – อย่าเพิ่งเชื่อทุกอย่างที่เห็นในโซเชียล
→ ความเปราะบางของความสัมพันธ์ (“VRZO วงแตก”) – ต่อให้สนิทกันแค่ไหน ถ้ามีผลประโยชน์เข้ามา ทุกอย่างก็พังได้
→ การเบี่ยงเบนความสนใจ (“เปรี้ยวหั่นศพ”) – โซเชียลมีเดียทำให้เราหลงประเด็นจากเรื่องสำคัญได้ง่าย ๆ
→ ความซับซ้อนของวงการบันเทิง (“ILLsick vs ผู้จัด”) – เงินและภาพลักษณ์คือเรื่องใหญ่ในวงการนี้

เมื่อโลกมีแฮชแท็ก ดราม่าก็เปลี่ยนไป

แฮชแท็ก เนี่ยแหละ ตัวเปลี่ยนเกมของดราม่าในยุคนี้ สมัยก่อนถ้ามีดราม่า มันจะอยู่ในวงเล็ก ๆ เช่น ขุนนางทะเลาะกันในวัง หรือเพื่อนบ้านแซะกันเรื่องรั้วบ้าน แต่เดี๋ยวนี้แค่มีแฮชแท็กปุ๊บ ดราม่าก็กลายเป็น ไวรัล ไปทั่วโลกใน 5 วินาที มาดูกันว่าแฮชแท็กมันเปลี่ยนดราม่ายังไง และทำไมมันถึงทำให้ทุกคนติดงอมแงม

1. แฮชแท็กทำให้ดราม่า “ติดเทรนด์”

สมัยก่อนถ้าจะเม้าท์ดราม่า ต้องไปนั่งเล่าที่หน้าบ้าน หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เพื่อน ซึ่งมันช้ามากกก แต่ตอนนี้แค่มี แฮชแท็ก เช่น #แบนคนนั้น #ดราม่าคนนี้ ดราม่าก็พุ่งขึ้นเทรนด์ทันที

ตัวอย่างในชีวิตจริง จำดราม่า “กราบรถกู” ได้มั้ย? วลีนี้กลายเป็นมีมเพราะแฮชแท็กที่คนเอาไปติด แล้วแชร์กันว่อน หรืออย่างดราม่า VRZO วงแตก ที่มี #VRZOวงแตก ติดเทรนด์ X อันดับ 1 แฮชแท็กมันเหมือนป้ายไฟนีออนที่บอกว่า “มาดูดราม่านี้สิ แซ่บ” ทำให้คนแห่เข้ามาดู เข้ามาคอมเมนต์ จนดราม่ามัน ขยายวงกว้าง ไปทั่วโลก

ทำไมมันถึงไว? เพราะโซเชียลมีเดียอย่าง X, TikTok, หรือ IG มีอัลกอริทึมที่ดันโพสต์ที่คนสนใจ ดราม่าที่มีแฮชแท็กแรง ๆ เลยกลายเป็น คอนเทนต์ ที่ทุกคนอยากเสพ

แฮชแท็กมันเหมือนน้ำมันราดกองไฟเลยนะ ดราม่าที่อาจจะเล็ก ๆ ในกลุ่มเพื่อน พอติดแฮชแท็กปุ๊บ กลายเป็นเรื่องระดับชาติได้เลย

2. ผู้ชมกลายเป็น “ผู้เล่น”

สมัยก่อนคนที่รู้เรื่องดราม่าจะเป็นแค่ ผู้ชม เช่น ได้ยินเพื่อนบ้านเม้าท์ หรืออ่านข่าวในหนังสือพิมพ์ แต่ยุคนี้ ทุกคนเป็นผู้เล่น ด้วยพลังของโซเชียลมีเดีย ทุกคนมี ไมค์ อยู่ในมือ อยากเมนต์ อยากแชร์ อยากเลือกข้าง ก็ทำได้เลย

ตัวอย่าง สมมติมีดราม่าดาราทะเลาะกันใน X คนไม่ใช่แค่นั่งดูเฉย ๆ นะ มีคนออกมาแฉเพิ่ม มีคนโพสต์แคปหน้าจอ มีคนทำคลิปวิเคราะห์ แล้วก็มี ทีมเลือกข้าง เช่น #ทีมคนนี้ #ทีมคนนั้น ทำให้ดราม่ามันยิ่งลุกลาม เพราะทุกคนอยากมีส่วนร่วม

พลังของชาวเน็ต ในดราม่า “น้ำพริกแม่ประนอม” ชาวเน็ตบางคนออกมาแฉข้อมูล บางคนปกป้อง บางคนทำมีมล้อเลียน ทำให้ดราม่ามันกลายเป็น สงครามคีย์บอร์ด ที่ทุกคนลงสนาม

เดี๋ยวนี้เราไม่ได้แค่ดูดราม่า แต่เราเป็นส่วนหนึ่งของดราม่าเลย คุณเคยเลือกข้างในดราม่าบ้างมั้ย? บอกมาในคอมเมนต์สิ

3. ดราม่ากลายเป็น “เมโลดราม่า”

เมโลดราม่า ซึ่งแปลว่า การแสดงอารมณ์เกินจริง เพื่อเรียกความสนใจ ในยุคโซเชียลมีเดีย ดราม่ามันไม่ได้แค่ขัดแย้งกันแล้วจบ แต่มันกลายเป็น ละครน้ำเน่า ที่ทุกคนพร้อมอินแบบสุด ๆ

มันเกินจริงยังไง? เช่น ในดราม่า “เปรี้ยวหั่นศพ” แทนที่คนจะโฟกัสที่ความโหดร้ายของคดี กลับไปอินกับหน้าตาของผู้ต้องหา มีคนทำแฟนอาร์ต มีคนแต่งเรื่องราวดราม่าต่อจนกลายเป็นเหมือนละคร หรืออย่างดราม่า “ILLsick vs ผู้จัดคอนเสิร์ต” ที่ผู้จัดขึ้นเวทีแฉต่อหน้าคนดู มันเหมือนฉากในหนังที่ทุกคนร้อง “ว้าว”

ทำไมถึงเป็นเมโลดราม่า? เพราะโซเชียลมีเดียมันทำให้คนอยาก เรียกความสนใจ การโพสต์ร้องไห้ การแฉด้วยอารมณ์ หรือการใช้แฮชแท็กดราม่ามันเหมือนการแสดงบนเวทีที่ทุกคนจับตาดู

ดราม่ามันเหมือนละครช่อง 7 สมัยนี้เลยนะ มีทั้งน้ำตา มีทั้งการหักมุม และทุกคนพร้อมอินแบบเกินร้อย

แฮชแท็กเปลี่ยนดราม่ายังไง? สรุปแบบชัด ๆ

แฮชแท็กเหมือนป้ายบอกว่า “ดราม่าอยู่นี่” ทำให้คนแห่เข้ามาดู เข้ามาเม้าท์ จนดราม่ามันขยายจากเรื่องเล็ก ๆ เป็นเรื่องใหญ่ ทุกคนสามารถเมนต์ แชร์ หรือเลือกข้างได้ ทำให้ดราม่ามันกลายเป็น สงครามโซเชียล ที่ทุกคนมีส่วนร่วม ดราม่ามันไม่ใช่แค่การทะเลาะกัน แต่มันกลายเป็นการแสดงอารมณ์ที่เกินจริง เพื่อเรียกยอดไลก์ ยอดแชร์

ดราม่าคืออะไร? มองแบบปรัชญาและจิตวิทยา

ดราม่ามันไม่ใช่แค่การทะเลาะกัน หรือเรื่องแซ่บ ๆ ที่เราเห็นในโซเชียลมีเดีย มันมีมิติที่ลึกซึ้งกว่านั้น ถ้ามองแบบ ปรัชญา ดราม่าคือการปะทะกันของ ความขัดแย้ง และ อารมณ์ ที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ ส่วนมุมมอง จิตวิทยา บอกว่า ดราม่ามันคือสิ่งที่กระตุ้น จิตใจ ของเรา ทำให้เราอิน อยากเมนต์ อยากแชร์ าจะมาเจาะลึก 3 ประเด็นใหญ่จากบทความนี้ ที่จะทำให้คุณมองดราม่าเปลี่ยนไปเลย

1. ดราม่าในอดีต vs ปัจจุบัน จากความขัดแย้งจริงสู่ “อารมณ์ลวง”

สมัยก่อนเนี่ย ดราม่ามันเกิดจาก ความขัดแย้งจริง ๆ เช่น

ในอดีต สมัยกรีกโบราณ โสกราตีสถูกกล่าวหาว่าทำเยาวชนเสียคน จนต้องดื่มยาพิษ นี่คือดราม่าที่มาจากความขัดแย้งทางความคิด
หรือในไทย สมัยอยุธยา ขุนนางแย่งชิงอำนาจในวัง ดราม่าก็เกิดจากผลประโยชน์และความเห็นต่างที่ชัดเจน

แต่ในยุคนี้ ดราม่าบางครั้งมันเกิดจาก อารมณ์ลวง อารมณ์ลวงคืออะไร? ก็คือ สื่อ หรือ โซเชียลมีเดีย ปั่นให้เรารู้สึกอินแบบเกินจริง เช่น

ตัวอย่าง ดราม่า “เปรี้ยวหั่นศพ” ที่คนไปโฟกัสหน้าตาของผู้ต้องหา แทนที่จะสนใจความโหดร้ายของคดี สื่อและโซเชียลปั่นให้คนอินกับ “ภาพลักษณ์” จนลืมประเด็นหลัก

ทำไมถึงเป็นงั้น? เพราะโซเชียลมีเดียถูกออกแบบมาให้กระตุ้นอารมณ์ คลิปน้ำตาแตก โพสต์แฉสุดดราม่า หรือแฮชแท็ก #แบนคนนั้น มันทำให้เรารู้สึกวูบวาบ อยากมีส่วนร่วมทันที

ดราม่ายุคนี้มันเหมือน ภาพลวงตา ที่สื่อสร้างขึ้นมา ทำให้เราอินโดยไม่รู้ตัว มันไม่ใช่แค่ความขัดแย้งจริง ๆ อีกต่อไป แต่เป็น การแสดงอารมณ์ ที่ถูกปั่นให้เราเสพ

2. การเสพดราม่า ทำไมเราถึงรีบ “เลือกข้าง” โดยไม่รู้ข้อเท็จจริง?

การเสพดราม่ามันทำให้เรามีพฤติกรรม เลือกข้าง และที่แย่กว่านั้นคือ บางทีเราเลือกข้างโดยที่ ไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมด

ทำไมเราถึงเลือกข้าง?จากมุมมองจิตวิทยา มนุษย์เรามี สัญชาตญาณ ที่อยากเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม การเลือกข้างในดราม่ามันเหมือนการเลือกทีมฟุตบอล เช่น #ทีมคนนี้ #ทีมคนนั้น มันทำให้เรารู้สึกว่าเรา “อยู่ในเกม”

ตัวอย่างในดราม่า “น้ำพริกแม่ประนอม” ชาวเน็ตบางคนรีบเลือกข้างเพราะเห็นโพสต์แฉด้านเดียว โดยไม่รอข้อมูลครบ สุดท้ายพอคดีพลิก คนที่เลือกข้างไปแล้วก็หน้าแตก

จิตวิทยาเบื้องหลังการเลือกข้างมันให้ความรู้สึก ตื่นเต้น และ มีตัวตน โซเชียลมีเดียยิ่งทำให้มันง่าย เพราะแค่กดเมนต์ กดแชร์ เราก็รู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของดราม่าแล้ว

การเลือกข้างมันสะท้อนว่า มนุษย์เราต้องการ ความหมาย และ การยอมรับ ในสังคม แต่ถ้าเราเลือกข้างโดยไม่รู้ความจริงทั้งหมด มันก็เหมือนเรากำลังหลงอยู่ใน ละครที่ตัวเองเขียนบทเอง

3. ดราม่า = การแสดงที่ต้องมีผู้ชม

บทความนี้ปรัชญาสุด ๆ เลย เค้าบอกว่า ดราม่ามันไม่ใช่แค่เรื่องของ เนื้อหา หรือความขัดแย้ง แต่มันคือ การแสดง ที่ต้องมี ผู้ชม ถึงจะสมบูรณ์

ทำไมต้องมีผู้ชม? ลองนึกภาพนะ ถ้ามีคนทะเลาะกันในป่า แต่ไม่มีใครเห็น มันจะเป็นดราม่ามั้ย? คงไม่ ดราม่ามันต้องมีคนดู คนเมนต์ คนแชร์ ถึงจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ โซเชียลมีเดียทำให้ทุกคนเป็นทั้ง นักแสดง และ ผู้ชม ในเวลาเดียวกัน

ตัวอย่างดราม่า “VRZO วงแตก” ถ้าไม่มีแฮชแท็ก #VRZOวงแตก และไม่มีชาวเน็ตที่แห่มาขุดคลิปเก่า มาทำมีม ดราม่านี้จะดังขนาดนั้นมั้ย? คงไม่ หรือดราม่า “ILLsick vs ผู้จัดคอนเสิร์ต” ที่ผู้จัดขึ้นเวทีแฉต่อหน้าคนดู มันเหมือนการแสดงสดที่ทุกคนร้อง “ว้าว”

มุมมองปรัชญาดราม่ามันเหมือน ละครชีวิต ที่ทุกคนอยากมีบทบาท ผู้เล่น (คนที่อยู่ในดราม่า) ต้องแสดงให้ปังเพื่อเรียกความสนใจ ส่วนผู้ชม (เรา ๆ) ก็พร้อมอิน พร้อมเมนต์ ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของละคร

การเสพดราม่ามันเหมือนเรากำลังดู ละครน้ำเน่า ที่เราอยากเป็นตัวเอก มันกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น และทำให้เรารู้สึกว่า “ฉันสำคัญในเรื่องนี้”

ดราม่าตำนานในมุมปรัชญาและจิตวิทยา

ลองย้อนไปดูดราม่าตำนานที่เราเคยคุยกัน

→ กราบรถกู: วลีนี้กลายเป็นมีมเพราะ อารมณ์ลวง ที่สื่อปั่น คนเสพความบันเทิงจากมีมมากกว่าตัวความขัดแย้งจริง ๆ
→  เปรี้ยวหั่นศพ: นี่คือตัวอย่างชัด ๆ ของการที่คน เลือกข้าง โดยโฟกัสที่หน้าตาเปรี้ยว แทนที่จะสนใจประเด็นคดี
→ VRZO วงแตก: ดราม่านี้เป็น การแสดง สุดยอด มีทั้งคลิปแฉ มีทั้งโพสต์ด่าลอย ๆ และมีผู้ชมอย่างชาวเน็ตที่พร้อมปั่นแฮชแท็กให้ดัง

เอาล่ะทุกคน ดราม่ามันไม่ใช่แค่เรื่องทะเลาะกัน หรือคอนเทนต์แซ่บ ๆ ในโซเชียลมีเดีย มันคือ ปรากฏการณ์ทางปรัชญาและจิตวิทยา ที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ จาก อารมณ์ลวง ที่สื่อปั่นให้เราอิน ไปจนถึงการ เลือกข้าง โดยไม่รู้ความจริงทั้งหมด และสุดท้าย ดราม่ามันคือ การแสดง ที่ต้องมีผู้ชมอย่างเรา ๆ ถึงจะปัง โซเชียลมีเดียทำให้ดราม่ากลายเป็น ละครชีวิต ที่ทุกคนพร้อมกระโดดลงมาเล่นด้วย

ที่สำคัญคือ โซเชียลมีเดียและแฮชแท็กมันเหมือนน้ำมันราดกองไฟ ทำให้ดราม่ามันลุกลามไว และกลายเป็น เมโลดราม่า ที่ทุกคนพร้อมอิน ไม่ว่าเราจะเป็นผู้เล่นหรือผู้ชม ดราม่าก็เหมือน ละครชีวิต ที่เราทุกคนมีส่วนร่วม สุดท้ายนี้ ขอฝากไว้ว่า ครั้งหน้าถ้าเจอดราม่า ลองหยุดคิดสักนิดก่อนจะเมนต์ ก่อนจะแชร์ ว่าความจริงมันครบรึยัง?


แชร์ให้เพื่อน