ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568 ละครแนวโรแมนติกดราม่า เรื่องราวเล่าถึงความสัมพันธ์อันยาวนาน 9 ปี (พ.ศ. 2559-2567) ของ “ภารัณ” หนุ่มอินโทรเวิร์ตที่มีโลกส่วนตัวสูง และ “นับดาว” สาวพลังบวกที่สดใสและมองโลกในแง่ดี ทั้งสองเป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก คอยอยู่เคียงข้าง ให้คำปรึกษา และให้กำลังใจกันในยามที่อีกฝ่ายเผชิญปัญหาในชีวิต จากมิตรภาพที่แนบแน่น ความรู้สึกเริ่มพัฒนากลายเป็น “รักมากกว่าเพื่อน” แต่จังหวะชีวิตและโชคชะตาทำให้ความรักของทั้งคู่ไม่ลงตัว สร้างความท้าทายให้ทั้งสองต้องเผชิญกับรอยยิ้ม น้ำตา และการเติบโตไปด้วยกัน คำถามคือสุดท้ายแล้วความสัมพันธ์ของพวกเขาจะลงเอยอย่างไร?
เรื่องราวเริ่มต้นในปี พ.ศ. 2559 ในช่วงชีวิตวัยมหาวิทยาลัยของภารัณและนับดาว ซึ่งเป็นเพื่อนสนิทกันมานาน ฉากเด่นในตอนนี้เกิดขึ้นในงานพรอม เมื่อภารัณตัดสินใจสารภาพรักนับดาวต่อหน้าแฟนหนุ่มเก่าของเธอที่ยังตามตื้อขอคืนดี นับดาวที่กำลังอับอายและเผชิญหน้ากับสถานการณ์ตึงเครียด ตัดสินใจ “เล่นใหญ่” โดยตอบรับความรักของภารัณและจูบเขากลางงานพรอม สร้างความตกตะลึงให้ทุกคน ฉากนี้จุดประกายความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของความซับซ้อนในความรู้สึกของทั้งคู่
ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวเริ่มเผชิญความท้าทาย นับดาวต้องเผชิญกับความเหงา ปัญหาครอบครัว และความรู้สึกว้าเหว่ ทำให้ตัดสินใจบางอย่างที่อาจกระทบความสัมพันธ์ บทเรียนสำคัญในตอนนี้คือ “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ซึ่งสะท้อนถึงความเปราะบางของการตัดสินใจในช่วงวัยที่ยังไม่มั่นคง
เรื่องราวดำเนินต่อด้วยคำถาม “ใครขอจบ?” ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มสั่นคลอนเมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องตัดสินใจว่าจะรักษามิตรภาพหรือก้าวข้ามไปสู่ความรักต่อไป
ภารัณและนับดาวเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจนำไปสู่การ “ตัดขาด” ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ถูกทดสอบด้วยความเข้าใจผิดหรือความขัดแย้งที่ทำให้ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกที่แท้จริง
ความสัมพันธ์ถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อมีการสารภาพความในใจ แต่คำถามคือ “สายไปแล้วหรือไม่?” และมีเรื่องเซอร์ไพรส์ที่อาจเปลี่ยนทิศทางของความสัมพันธ์ของทั้งคู่
ซีรีส์แบ่งเรื่องราวเป็น 9 ปี โดยแต่ละตอนสะท้อนเหตุการณ์ในแต่ละปี ตั้งแต่ พ.ศ. 2559-2567 ทำให้ผู้ชมได้เห็นการเติบโตของตัวละครและความเปลี่ยนแปลงของความสัมพันธ์ไปพร้อมกับบริบทของยุคสมัย การแสดงของเอม สรรเพชญ์ และเฌอปราง อารีย์กุล ได้รับคำชื่นชมว่าสร้างความฟินและเข้ากันได้ดี โดยเฉพาะฉากจูบในตอนแรกที่ทำให้ผู้ชมใจสั่นและตั้งตารอตอนต่อไป ต่อไปนี้คือเรื่องราวสำคัญของละคร
จูบแห่งโชคชะตา (พ.ศ. 2559)
ในห้วงค่ำคืนของงานพรอม ปี 2559 ไฟระยิบระยับและเสียงเพลง “แพ้ทาง” ของลาบานูนดังก้องในหอประชุมของมหาวิทยาลัย ราวกับเป็นฉากหลังของโชคชะตาที่กำลังจะเปลี่ยนแปลง ภารัณ หนุ่มเงียบขรึมที่มีโลกส่วนตัวราวปราสาททรายอันเปราะบาง ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยหัวใจที่เต้นแรง เขาเป็นเพื่อนสนิทของ นับดาว สาวน้อยพลังบวกที่เปรียบดังแสงแดดยามเช้า กระนั้น คืนนี้หัวใจของเธอกำลังถูกบีบคั้นเมื่อแฟนเก่าผู้หยิ่งยโสพยายามรื้อฟื้นรักเก่าต่อหน้าผู้คน
ในวินาทีที่ความอับอายและความตึงเครียดคุกคามนับดาว ภารัณก้าวออกจากเงามืดของตัวเอง ด้วยความกล้าที่เขาไม่เคยรู้ว่ามีอยู่ เขาประกาศความรักต่อนับดาวต่อหน้าทุกคน คำพูดของเขาดังก้องราวสายฟ้าฟาด ฉีกกระชากความเงียบ และแล้วนับดาว ผู้ที่มักทำตามหัวใจมากกว่าเหตุผล ตอบสนองด้วยการจูบภารัณท่ามกลางสายตาตื่นตะลึงของผู้คน รสจูบนั้นหวานปนขม ดุจจุดเริ่มต้นของบทเพลงรักที่ยังไม่มีชื่อ
ฉากนี้เป็นดั่งเปลวไฟที่จุดประกายความสัมพันธ์ที่มากกว่าเพื่อน ทว่ามันก็ทิ้งคำถามไว้ในใจทั้งคู่ นี่คือความรัก หรือเพียงการแสดงเพื่อหนีจากเงื้อมมือแห่งอดีต? ผู้ชมต่างหลงใหลในเคมีอันร้อนแรงของภารัณและนับดาว ราวกับกำลังอ่านบทแรกของนิยายรักที่ทั้งหวานชื่นและชวนลุ้นระทึก
หัวใจที่เคว้งคว้าง
เมื่อแสงไฟแห่งงานพรอมจางลง ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวกลับยิ่งซับซ้อนราวเขาวงกต นับดาว สาวน้อยที่เคยสว่างไสว ต้องเผชิญหน้ากับเงามืดในใจ ความเหงาที่กัดกิน ปัญหาครอบครัวที่ร้าวราน และความรู้สึกเคว้งคว้างดั่งเรือที่ลอยกลางมหาสมุทรโดยไร้ทิศทาง เธอเลือกที่จะโยนตัวเองลงสู่ความสัมพันธ์กับภารัณ ไม่ใช่เพราะรัก แต่เพราะหวังว่าความอบอุ่นของเขาจะช่วยเติมเต็มช่องว่างในใจ
ทว่า การตัดสินใจด้วยอารมณ์ชั่ววูบนั้นเปรียบดั่งการโยนก้อนหินลงน้ำนิ่ง มันสร้างระลอกคลื่นแห่งความสับสน ภารัณ ผู้ที่มอบหัวใจให้เธออย่างเงียบๆ เริ่มรู้สึกถึงรอยร้าวในความสัมพันธ์ที่เพิ่งเริ่มต้น บทเรียนอันเจ็บปวดในบทนี้คือ “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ผู้ชมบางคนอาจรู้สึกขัดใจกับความหุนหันของนับดาว แต่ก็ต้องยอมรับว่านี่คือภาพสะท้อนของวัยหนุ่มสาวที่ยังหลงทางในเขาวงกตของหัวใจ
เงาของตัวสำรอง
เมื่อเวลาผ่านไป ภารัณและนับดาวก้าวเข้าสู่โลกของผู้ใหญ่ ภารัณทำงานในบริษัทที่เต็มไปด้วยความกดดัน และที่นั่นเขาได้พบกับ มิรา หญิงสาวที่เปี่ยมด้วยความสามารถและความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในเงามืดของหัวใจ มิราเริ่มรู้สึกถึงความพิเศษในตัวภารัณ แต่ยิ่งใกล้ชิด เธอยิ่งตระหนักว่าแสงสว่างในสายตาของเขามักส่องไปที่นับดาวเสมอ
เมื่อภารัณปกป้องนับดาวจาก เคน ชายหนุ่มที่อาจเป็นคู่แข่งหรือตัวร้ายในเงามืด จนทำให้เกิดความขัดแย้งในที่ทำงาน มิราถูกบีบให้เผชิญหน้ากับความจริงอันเจ็บปวดว่าเธอเป็นเพียง “ตัวเลือกสำรอง” ในใจของภารัณ บทนี้เปรียบดั่งกระจกที่สะท้อนความเจ็บปวดของการรักโดยไม่ถูกมองเห็น ผู้ชมอดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจมิรา และบางคนอาจพบว่าตัวเองเคยอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน การยืนอยู่ในเงาของคนที่รักใครอีกคน
รอยร้าวแห่งการตัดขาด
ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวเดินมาถึงทางแยกที่เปราะบางราวสะพานไม้เก่าที่พร้อมพังทลาย ความขัดแย้งและความเข้าใจผิดดั่งลมพายุที่พัดกระหน่ำ ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่เจ็บปวด มิตรภาพที่เคยแน่นแฟ้นจะจบลงด้วยการ “ตัดขาด” หรือไม่? นับดาว ผู้ที่เคยเป็นแสงสว่าง เริ่มตั้งคำถามถึงความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเอง ส่วนภารัณต้องต่อสู้กับความกลัวที่จะสูญเสียคนสำคัญ
ในขณะเดียวกัน เซน ตัวละครรองที่เคยทำผิดพลาดด้วยการนอกใจคนรักในอดีต ปรากฏตัวขึ้นพร้อมแผลในใจที่ยังไม่หายดี เรื่องราวของเขาเปรียบดั่งเงาสะท้อนของการตัดสินใจที่ผิดพลาด ซึ่งส่งผลกระทบยาวนานราวระลอกคลื่นในบึงน้ำ บทนี้เต็มไปด้วยความหน่วงในใจ ผู้ชมอาจรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในพายุแห่งอารมณ์ ที่ซึ่งทุกตัวเลือกนำมาซึ่งความเจ็บปวด
คำว่ารักที่รอคอย
หลังจากฝ่าฟันพายุแห่งความขัดแย้งและความสับสน บทที่ห้าเปรียบดั่งรุ่งอรุณหลังค่ำคืนอันยาวนาน ภารัณและนับดาวมาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญ การสารภาพความในใจที่เก็บซ่อนมานาน 4 ปี คำว่า “ฉันรักแก” ดังขึ้นราวบทเพลงที่รอคอยมานาน ฉากเลิฟซีนในบทนี้เปรียบดั่งภาพวาดที่รังสรรค์ด้วยพู่กันแห่งอารมณ์ ละมุนละไมและเต็มไปด้วยความจริงใจ
ทั้งคู่ก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างเพื่อนและคนรัก ราวกับกำลังข้ามสะพานสู่ดินแดนใหม่ที่เต็มไปด้วยความหวัง แต่ในความหวานชื่นนั้นยังแฝงไว้ด้วยความเปราะบาง เพราะความรักที่เริ่มต้นจากมิตรภาพยาวนานนั้นต้องเผชิญหน้ากับรอยแผลในอดีต ผู้ชมต่างหลงใหลในโมเมนต์นี้ โดยเฉพาะฉากที่ทั้งคู่มองตากันด้วยความรู้สึกที่ล้นทะลัก ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนเพื่อพวกเขา
การแสดงของเอมและเฌอปรางได้รับคำชื่นชมว่าเข้ากันดี โดยเฉพาะฉากเลิฟซีนที่ละมุนและชวนฟิน ซีรีส์สะท้อนบทเรียนความสัมพันธ์ เช่น การตัดสินใจด้วยอารมณ์ การนอกใจ ของภารัณ หนุ่มอินโทรเวิร์ต และนับดาว สาวพลังบวก ที่พัฒนาจากมิตรภาพสู่ความรักท่ามกลางจังหวะชีวิตที่ไม่ลงตัว ต่อไปนี้คือจุดเด่นของ ละคร
การเล่าเรื่องตามกาลเวลา
ซีรีส์ใช้โครงเรื่องที่แบ่งเป็น 9 ปี โดยแต่ละตอนสะท้อนเหตุการณ์ในแต่ละปี ทำให้ผู้ชมได้เห็นพัฒนาการของตัวละครและความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนแปลงไปตามวัย การใช้เพลงประกอบยุคสมัย เช่น “แพ้ทาง” ของลาบานูนในปี 2559 ช่วยสร้างความรู้สึกย้อนยุคและอินไปกับตัวละคร ผู้ชมหลายคนชื่นชมว่าการเล่าเรื่องแบบนี้ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนดูชีวิตตัวเอง
เคมีพระนาง
เอม สรรเพชญ์ และ เฌอปราง อารีย์กุล ได้รับคำชมอย่างมากในเรื่องเคมีที่เข้ากัน ฉากเลิฟซีน โดยเฉพาะฉากจูบในงานพรอมตอนแรกและฉากสารภาพรัก ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “ละมุน” และ “ฟินจนใจสั่น” การแสดงของเอมในบทภารัณถ่ายทอดความทุ่มเทและความรักที่เก็บซ่อนได้ดี ส่วนเฌอปรางในบทนับดาวนำเสนอความสดใสแต่ก็เปราะบางได้สมจริง
ประเด็นความสัมพันธ์ที่สมจริง
ซีรีส์สำรวจความซับซ้อนของมิตรภาพที่กลายเป็นความรัก การตัดสินใจที่ผิดพลาดในวัยหนุ่มสาว และผลกระทบของจังหวะชีวิตที่ไม่ลงตัว เช่น การสารภาพรักในตอนที่ 1 ที่นำไปสู่ความสัมพันธ์ที่เริ่มด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล ผู้ชมรู้สึกว่าเรื่องนี้สะท้อนชีวิตจริง โดยเฉพาะประเด็น “รักมากกว่าเพื่อนแต่ไม่กล้าบอก” หรือ “พลาดโอกาสเพราะจังหวะไม่เหมาะ”
ตัวละครรองที่น่าสนใจ
ตัวละครอย่าง มิรา (ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล) และ เซน (จิณภพ ปรารถนาสันติ) เพิ่มมิติให้เรื่องราว มิราในตอนที่ 3 นำเสนอมุมมองของผู้หญิงที่รู้สึกเป็นตัวเลือกสำรอง ส่วนเซนสะท้อนผลกระทบจากการนอกใจ ทำให้ผู้ชมได้เห็นมุมมองหลากหลายของความสัมพันธ์
โปรดักชันและเพลงประกอบ
การกำกับโดย ถกลเกียรติ วีรวรรณ และทีมเขียนบทที่แข็งแกร่งทำให้ซีรีส์มีจังหวะการเล่าเรื่องที่น่าติดตาม ฉากงานพรอม โมเมนต์โรแมนติก และดราม่าถูกถ่ายทอดด้วยภาพที่สวยงาม เพลงประกอบที่เลือกมา เช่น เพลงดังในแต่ละปี ช่วยเสริมอารมณ์และสร้างความน่าสนใจ
คะแนน 8.5/10 (จาก sence9.com)
“9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” เป็นซีรีส์ที่เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรื่องราวความรักที่สมจริง ผสมดราม่าและความฟิน ด้วยเคมีของเอมและเฌอปรางที่เป็นจุดขาย การเล่าเรื่องที่พาไปสำรวจ 9 ปีของความสัมพันธ์ และเพลงประกอบที่ชวนคิดถึง ถึงแม้จะมีบางจุดที่จังหวะช้าหรือการตัดสินใจของตัวละครอาจทำให้รู้สึกขัดใจ แต่โดยรวมเป็นละครที่ดูเพลินและให้ข้อคิดเกี่ยวกับความรักและจังหวะชีวิต แนะนำให้ดูเวอร์ชัน UNCUT ทางแอป oneD เพื่อประสบการณ์เต็มอิ่ม
ความฟินและใจเต้นแรงจากเคมีพระนาง
ฉากงานพรอม ฉากที่ภารัณสารภาพรักนับดาวต่อหน้าแฟนเก่า และนับดาวตอบด้วยการจูบเขากลางงานพรอม ทำให้หัวใจผู้ชมเต้นรัว ผู้ชมบนโซเซียล พูดถึงฉากนี้ว่า “ฟินจนอยากกรี๊ด” และ “เคมีเอม-เฌอปรางดีเกินคาด” การแสดงของทั้งคู่ถ่ายทอดความเขินอายและความรู้สึกที่เริ่มก่อตัวได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนกลับไปสู่วัยมหาวิทยาลัย
ฉากเลิฟซีน ฉากสารภาพรักหลังเก็บซ่อนมานาน 4 ปี ถูกพูดถึงว่า “ละมุน” และ “ชวนจิกหมอน” ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้เป็นส่วนหนึ่งของโมเมนต์ที่ทั้งคู่ก้าวข้ามเส้นจากเพื่อนสู่คนรัก อารมณ์ฟินนี้ถูกขยายด้วยเพลงประกอบที่เข้ากับฉาก ทำให้รู้สึกอินและอยากให้ทั้งคู่สมหวัง
ความรู้สึกสะเทือนใจและเห็นใจตัวละคร
ความเปราะบางของนับดาว ในตอนที่นับดาวเผชิญความเหงาและปัญหาครอบครัว ทำให้ตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์ด้วยอารมณ์ ผู้ชมหลายคนรู้สึกเห็นใจและเข้าใจความรู้สึกเคว้งคว้างของเธอ เพราะมันสะท้อนช่วงวัยที่ยังสับสน บางคนบนโซเซียล แชร์ว่า “นับดาวเหมือนเราในวันที่ตัดสินใจอะไรโดยไม่คิด” ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนได้มองย้อนกลับไปในอดีตของตัวเอง
มุมมองของมิรา ตัวละครรองอย่างมิรา (ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล) ที่รู้สึกเป็นตัวสำรองในความสัมพันธ์ของภารัณ ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกสะเทือนใจและเห็นอกเห็นใจ โดยเฉพาะผู้ที่เคยอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กัน ความรู้สึก “ไม่ถูกเลือก” ถูกถ่ายทอดได้อย่างเจ็บปวดแต่สมจริง
ความคิดถึงและย้อนวัย
การใช้เพลงประกอบและบริบทของแต่ละปี เทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนได้ย้อนเวลากลับไปในช่วงนั้น บรรยากาศงานพรอม การแต่งตัว และสถานการณ์ในละครชวนให้คิดถึงวัยหนุ่มสาว ผู้ชมบางคนแชร์ในโซเซียลว่า “ดูแล้วคิดถึงสมัยเรียน อยากย้อนไปแก้ไขอะไรบางอย่าง” ความรู้สึกนี้ทำให้ละครไม่เพียงเป็นเรื่องราวของตัวละคร แต่ยังเป็นกระจกสะท้อนชีวิตของผู้ชม
ความหงุดหงิดและดราม่าที่สมจริง
การตัดสินใจของนับดาวในบางตอน เช่น การเริ่มความสัมพันธ์โดยไม่มั่นใจในตอนที่ 2 หรือความขัดแย้งในตอนที่ 4 ที่นำไปสู่การ “ตัดขาด” ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกหงุดหงิด แต่ก็ยอมรับว่านี่คือความสมจริงของตัวละครที่ยังไม่เติบโตเต็มที่ บางคนในโซเซียล บอกว่า “นับดาวทำไมใจร้อนจัง แต่ก็เข้าใจเพราะมันเหมือนชีวิตจริง” ความรู้สึกนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกมีส่วนร่วมและอยากติดตามว่าตัวละครจะเรียนรู้จากความผิดพลาดได้อย่างไร
ดราม่าในตอนที่ 3-4 ที่ตัวละครเผชิญความเข้าใจผิดหรืออุปสรรคในความสัมพันธ์ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในวงจรของความรักที่ไม่สมบูรณ์แบบ บางคนรู้สึก “ลุ้นจนเหนื่อย” แต่ก็หยุดดูไม่ได้
ข้อคิดและการเติบโต
ละครนำเสนอบทเรียนเกี่ยวกับความรักและจังหวะชีวิต เช่น “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ในตอนที่ 2 หรือ “การสารภาพรักอาจสายเกินไป” ในตอนที่ 5 ทำให้ผู้ชมรู้สึกได้ข้อคิดและทบทวนความสัมพันธ์ของตัวเอง บางคนแชร์ในโซเซียลว่า “ดูแล้วอยากไปบอกคนที่รักว่าชอบเขาก่อนจะสายเกินไป”
การเติบโตของภารัณและนับดาว โดยเฉพาะในตอนท้ายๆ ที่ทั้งคู่อยู่ในวัยยี่สิบปลายๆ และเริ่มมองย้อนกลับไปในอดีต ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความหวังและการยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น
ซีรีส์ “9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” เหมือนได้เดินทางไปกับความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความหวาน ความเจ็บปวด และการเติบโต ผู้ชมจะรู้สึก ฟิน กับโมเมนต์โรแมนติก สะเทือนใจ กับดราม่า คิดถึง ช่วงวัยหนุ่มสาว และได้ ข้อคิด เกี่ยวกับความรักและจังหวะชีวิต ละครเรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่ชอบเรื่องราวความรักที่สมจริงและอยากย้อนนึกถึงช่วงเวลาสำคัญในชีวิต ถึงแม้บางฉากอาจทำให้รู้สึกหงุดหงิดหรือหน่วง แต่โดยรวมแล้วมันคือประสบการณ์ที่ครบรสและน่าจดจำ
ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568
ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568 EP.1-9 ENDoneD
ซีน ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568
ละคร แต่ละปีที่มีเธอ 9 YEARS OF YOU 2568
ซีรีส์นี้เล่าถึงชีวิตของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) หนุ่มอินโทรเวิร์ตสุดเงียบขรึม มีโลกส่วนตัวสูง และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) สาวพลังบวกที่เหมือนแสงแดดส่องสว่างให้ทุกคนรอบตัว ทั้งสองคนนี้เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กเลยนะ สนิทแบบรู้ทุกซอกทุกมุมของกันและกัน คอยซัพพอร์ต ให้คำปรึกษา และเป็นที่พักพิงในวันที่ชีวิตพังๆ
แต่เดี๋ยวก่อน จากมิตรภาพสุดแน่น มันเริ่มมีโมเมนต์ที่หัวใจเต้นตึบตั้บ ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนจาก “เพื่อนรัก” เป็น “รักเพื่อน” แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นเนาะ จังหวะรักของทั้งคู่ดันไม่ลงตัวซะงั้น เรื่องนี้จะพาเราย้อนไปดู 9 ปี ตั้งแต่ปี 2559 ถึง 2567 คำถามคือ สุดท้ายแล้วความรักของภารัณและนับดาวจะสมหวังมั้ย หรือจะจบแบบน้ำตาไหล? ต้องตามดูให้ครบ
ตอนแรกนี่คือปังมาก ฉากเปิดมาในงานพรอมของมหาวิทยาลัย ปี 2559 บรรยากาศสุดชิล มีเพลง “แพ้ทาง” ของลาบานูนเป็นแบ็กกราวนด์ ฟีลแบบย้อนวัยสุดๆ ภารัณ หนุ่มเงียบๆ ที่ปกติไม่ค่อยพูด แต่ใจมันรักนับดาวมานาน ต้องมาเจอสถานการณ์สุดอึดอัด เมื่อแฟนเก่าของนับดาวโผล่มาง้อขอคืนดีต่อหน้าทุกคน! นับดาวตอนนั้นคือหน้าเสียสุดๆ แบบช่วยด้วยยย
แล้วจู่ๆ ภารัณก็ฮีโร่มาก เขาก้าวออกมาสารภาพรักนับดาวต่อหน้าทุกคนเลย ทุกคนในงานแบบอึ้งไปเลยยย และที่พีคกว่านั้นคือ นับดาวเล่นใหญ่ เธอตอบด้วยการ จูบภารัณ กลางงานพรอม โอ้โห ฉากนี้คือใจเต้นตึกๆๆ ทุกคนบนโซเซียล แชร์กันกระจายว่า “เคมีเอม-เฌอปรางคือสุดยอด” ฉากจูบนี่คือฟินจนอยากกรี๊ด แต่เดี๋ยวก่อน มันทำให้เรานั่งลุ้นว่า นี่คือรักจริง หรือแค่นับดาวเล่นใหญ่เพื่อเอาตัวรอด? ตอนนี้คือจุดเริ่มต้นของทุกอย่างเลย
ต่อมาในความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวเริ่มซับซ้อนแล้วล่ะ ทุกคน นับดาวตอนนี้เหมือนคนที่กำลังหลงทางในชีวิต เธอเจอปัญหาครอบครัว ความเหงา ความรู้สึกเคว้งคว้างแบบที่วัยรุ่นหลายคนต้องเคยเจอ แล้วด้วยความรู้สึกชั่ววูบ เธอตัดสินใจเริ่มต้นความสัมพันธ์กับภารัณ! แต่เดี๋ยวก่อน มันไม่ใช่เพราะรักลึกซึ้งอะไรขนาดนั้นนะ มันเหมือนเธอแค่อยากหาที่พักใจ
ตรงนี้แหละที่เริ่มดราม่า ภารัณที่แอบรักนับดาวมานานเริ่มรู้สึกถึงความไม่แน่นอนในความสัมพันธ์นี้ ตอนนี้สอนบทเรียนสำคัญเลยว่า “ถ้ายังไม่รู้สึกกับใครจริงๆ อย่าเริ่มต้นความสัมพันธ์” ผู้ชมบางคนแบบ “นับดาว ทำไมใจร้อนแบบนี้” แต่ก็มีคนที่เข้าใจนับดาวนะ เพราะมันสมจริงมาก วัยนี้ใครๆ ก็เคยตัดสินใจอะไรไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบ ฉากนี้คือหน่วงๆ แต่ก็ทำให้เราอยากรู้ว่าเรื่องจะไปต่อยังไง
มาถึงตอนที่เรื่องเริ่มเข้มข้นขึ้น ภารัณและนับดาวก้าวจากวัยมหาลัยเข้าสู่โลกทำงานแล้ว ภารัณทำงานในบริษัท และที่นี่เราได้เจอกับ มิรา (รับบทโดย ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล หรือ มายด์) สาวสวยที่มีความมั่นใจแต่แอบเปราะบางในใจ มิราเริ่มรู้สึกดีกับภารัณ แต่ปัญหาคือ ภารัณยังคงให้ความสำคัญกับนับดาวมากกว่านะสิ
แล้วมันดราม่าตรงที่ภารัณไปปกป้องนับดาวจนมีปัญหากับ เคน ตัวละครที่เหมือนจะเป็นคู่แข่งหรือตัวร้ายนิดๆ จนกระทบงานในบริษัทเลย มิราถึงจุดที่รู้สึกว่า “ฉันมันแค่ตัวสำรอง” อ่ะ ทุกคน ฉากนี้คือเจ็บจี๊ด ผู้ชมหลายคนบอกว่าเห็นใจมิรามาก เพราะมันเหมือนเราเคยอยู่ในโมเมนต์ที่รู้สึกรักใครสักคน แต่เขาไม่เคยมองเห็นเราเลย ตอนนี้คือหน่วงสุดๆ แต่ก็ทำให้เราเริ่มเห็นมิติของตัวละครรองที่เด่นขึ้นมา
ตอนนี่คือจุดที่ทุกอย่างเริ่มพีค ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวมาถึงทางแยกที่แบบ “จะไปต่อหรือตัดขาดกันไปเลย?” มีความขัดแย้งและความเข้าใจผิดที่ทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากับความรู้สึกจริงๆ ในใจ นับดาวเริ่มสงสัยว่าเธอรู้สึกอะไรกับภารัณกันแน่ ส่วนภารัณก็กลัวว่าจะเสียเพื่อนสนิทคนนี้ไป
นอกจากนี้ยังมี เซน (รับบทโดย จิณภพ ปรารถนาสันติ) ตัวละครรองที่โผล่มาเพิ่มดราม่า เซนเคยนอกใจแฟนในอดีต แล้วตอนนี้เขาต้องเจอกับผลของการกระทำนั้น ทุกคน ฉากนี้มันเหมือนตอกย้ำว่าการตัดสินใจในอดีตมันตามมาหลอกหลอนได้จริงๆ ผู้ชมบางคนบอกว่าตอนนี้หน่วงมากกก เพราะมันเหมือนเรากำลังเห็นความสัมพันธ์ที่เคยสวยงามเริ่มมีรอยร้าว อยากรู้เลยว่าทั้งคู่จะผ่านมันไปได้มั้ย
ตอนนี่คือพีคของพีค หลังจากดราม่ามาหลายตอน ในที่สุดเราก็ได้เห็นโมเมนต์ที่รอคอย ภารัณและนับดาวมาถึงจุดที่ต้องสารภาพความในใจแบบจริงจัง คำว่า “ฉันรักแก” ที่ออกจากปากคือแบบ ใจเต้นตึกๆๆ ฉากเลิฟซีนในตอนนี้คือละมุนสุดๆ ผู้ชมบนโซเซียลบอกว่า “ฉากนี้คือจิกหมอนขาด” เพราะมันสื่อถึงความรักที่เก็บซ่อนมานาน 4 ปีได้แบบถึงใจ
ทั้งคู่ฝ่าฟันปัญหามาเยอะจนก้าวข้ามเส้นจาก “เพื่อน” ไปเป็น “คนรัก” ได้ในที่สุด แต่เดี๋ยวก่อน เรื่องมันไม่ได้จบง่ายๆ นะ เพราะยังมีความเปราะบางจากอดีตที่อาจจะมากวนใจ ตอนนี้คือฟินปนลุ้น ทุกคนจะรู้สึกเหมือนนั่งรถไฟเหาะเลย
เอาจริงๆ นะ ซีรีส์นี้มันเหมือนพาเรานั่งไทม์แมชชีนย้อนไปดูชีวิตวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานเลย เพลงประกอบแต่ละปี ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนไปสมัยนั้นจริงๆ เคมีของ เอม กับ เฌอปราง คือที่สุด ฉากจูบ ฉากสารภาพรัก คือฟินจนอยากกรี๊ด แต่ก็มีโมเมนต์หน่วงๆ ที่ทำให้แอบน้ำตาคลอ เช่น ความเจ็บปวดของมิราที่เป็นตัวสำรอง หรือการตัดสินใจที่ผิดพลาดของนับดาว
บางคนอาจจะรู้สึกว่านับดาวตัดสินใจไวไปหน่อย แบบ “นี่เธอใจร้อนไปมั้ย?” แต่เราว่านี่แหละคือความสมจริงของวัยหนุ่มสาวที่ยังสับสนในความรู้สึกตัวเอง ละครเรื่องนี้มันเหมือนกระจกที่สะท้อนชีวิตเราในบางมุมเลยนะ ใครเคยแอบรักเพื่อนหรือเจอจังหวะรักที่ไม่ลงตัว ต้องอินแน่นอน
“9 YEARS OF YOU” ไม่ใช่แค่ละคร แต่เหมือนไดอารี่ของความรักที่พาเราย้อนไปดูทั้งความสุขและความเจ็บปวด ถ้าคุณเคยแอบรักเพื่อน หรือเคยรู้สึกว่าจังหวะรักมันไม่ลงตัว เรื่องนี้จะทำให้คุณอินสุดๆ
เบื้องหลัง ของซีรีส์สุดปังแห่งปี 2568 “9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” บอกเลยว่างานนี้คือการรวมตัวของทีมงานคุณภาพที่ทำให้ซีรีส์นี้ฟินจนใจสั่น
เบื้องหลังของความรัก 9 ปี
ก่อนอื่นเลย ทุกคนต้องรู้ว่า “9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” เป็นซีรีส์ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ 9 ปี (2559-2567) ของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) หนุ่มอินโทรเวิร์ตสุดเงียบขรึม และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) สาวพลังบวกที่เหมือนแสงแดดในวันที่ฝนตก ทั้งคู่เป็นเพื่อนสนิทตั้งแต่เด็ก คอยซัพพอร์ตกันทุกเรื่อง แต่จู่ๆ ความรู้สึกมันเริ่มเปลี่ยนจาก “เพื่อนรัก” เป็น “รักมากกว่าเพื่อน” แต่จังหวะชีวิตดันไม่ลงตัว เรื่องนี้มีทั้งความฟิน ความหน่วง และดราม่าที่ทำให้เราน้ำตาคลอ ทีมงานเบื้องหลังคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทุกฉากมันตราตรึงใจขนาดนี้
ทีมเขียนบท 4 นักเขียนที่รังสรรค์เรื่องราวสุดละมุน
มาเริ่มที่ทีมเขียนบทกันก่อนเลย ทุกคน บทโทรทัศน์ของเรื่องนี้เขียนโดย พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์, เชษฐ์ สงวนนาม, กรณิภา ดวงมุสิทธิ์, และ ฐานิตา วัชวงค์ ซึ่งแต่ละคนคือมือฉมังในวงการบทละครเลยนะ
พิมพ์มาดา พัฒนอลงกรณ์

คนนี้ขึ้นชื่อเรื่องการเขียนบทที่ลึกซึ้ง อารมณ์จัดเต็ม เคยฝากผลงานในละครดังๆ ที่ทำให้คนดูร้องไห้มาแล้ว ในเรื่องนี้ เธอน่าจะเป็นคนที่ใส่ความดราม่าของตัวละครอย่างนับดาวที่ต้องเจอปัญหาครอบครัวและความเหงา ทำให้เรารู้สึกอินสุดๆ
เชษฐ์ สงวนนาม
นักเขียนที่เก่งเรื่องการสร้างโมเมนต์หวานๆ ชวนฟิน ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 หรือฉากสารภาพรักในตอนที่ 5 ที่ทุกคนกรี๊ดกันทั้ง X น่าจะมีกลิ่นอายฝีมือของเขาอยู่แน่ๆ
กรณิภา ดวงมุสิทธิ์

คนนี้เด่นเรื่องการถ่ายทอดความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน อย่างความรักที่ไม่ลงตัวของภารัณและนับดาว หรือดราม่าของตัวละครรองอย่างมิรา ที่ทำให้เรารู้สึกเห็นใจ
ฐานิตา วัชวงค์
นักเขียนที่ช่วยเติมสีสันให้เรื่องราวมีมิติ อาจจะเป็นคนที่ใส่บริบทของแต่ละปี ในตอนแรกที่ชวนเราย้อนวัย
ทีมเขียนบททั้ง 4 คนนี้คือเหมือนเชฟที่ปรุงอาหารจานเด็ด เขาเอาความหวาน ความดราม่า และความสมจริงมารวมกัน จนได้บทที่ทำให้เราลุ้นทุกตอนว่าความรักของภารัณและนับดาวจะไปต่อยังไง บอกเลยว่าเคมีของบทมันลงตัวสุดๆ เพราะทีมนี้รู้วิธีทำให้เราทั้งฟินและร้องไห้ในเวลาเดียวกัน
ผู้กำกับ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณตำนานเลิฟสตอรี่

มาถึงหัวเรือใหญ่ของเรื่องนี้ บอย ถกลเกียรติ วีรวรรณ ผู้กำกับที่เรียกว่าเป็นตำนานของวงการเลย พี่บอยเคยฝากผลงานเลิฟสตอรี่สุดคลาสสิกไว้เพียบ เช่น รักในรอยแค้น, เพื่อเธอ, หรือ ยามเมื่อลมพัดหวน ซึ่งผ่านมา 30 ปีแล้วที่พี่บอยไม่ได้กำกับแนวรักโรแมนติกแบบเต็มตัว การกลับมากำกับ 9 YEARS OF YOU ครั้งนี้เลยเหมือนการคัมแบ็กที่ยิ่งใหญ่
พี่บอยเล่าว่าเขาตื่นเต้นมากที่ได้เจอเคมีของ เอม และ เฌอปราง เพราะทั้งคู่มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขานึกถึงละครรักในยุคก่อนๆ ที่มีซิกเนเจอร์ของความหวานปนดราม่า ฉากในงานพรอมตอนที่ 1 ที่ภารัณสารภาพรักและนับดาวจูบเขากลางงาน คือตัวอย่างของการกำกับที่พี่บอยใส่ใจทุกรายละเอียด
ทุกคนบนโซเซียลกรี๊ดฉากนี้กันหนักมาก เพราะมันทั้งเขินทั้งลุ้น พี่บอยยังเลือกเพลงประกอบแต่ละปี เช่น “แพ้ทาง” ของลาบานูน เพื่อให้ฟีลย้อนยุคสมจริง และทำให้เรารู้สึกเหมือนได้ย้อนไปในช่วงนั้นจริงๆ
การกำกับของพี่บอยคือการถ่ายทอดความรักที่เปราะบางแต่ทรงพลัง ทุกฉากมันเหมือนภาพวาดที่ทั้งสวยและเจ็บปวด อย่างฉากเลิฟซีนในตอนที่ 5 ที่ทุกคนบอกว่า “ละมุนสุดๆ” นี่คือฝีมือของพี่บอยที่ทำให้โมเมนต์นั้นมันตราตรึงใจ
งานเปิดตัวสุดยิ่งใหญ่
เบื้องหลังของซีรีส์นี้มันปังตั้งแต่เริ่มเลยนะ เพราะวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ทาง oneD ORIGINAL จัดงานเปิดตัวที่ โรงภาพยนตร์ เอส เอฟ เวิลด์ ซีเนม่า เซ็นทรัลเวิลด์ พร้อมฉาย 2 ตอนแรกให้สื่อและแฟนๆ ดูก่อนใคร งานนี้มีทั้ง พี่บอย ถกลเกียรติ, เอม สรรเพชญ์, เฌอปราง, และนักแสดงสมทบอย่าง เจี๊ยบ โสภิตนภา, นุ้ย สุจิรา, น็อต วรฤทธิ์, ดวงดาว จารุจินดา, มายด์ ลภัสลัล, กั้ง กรณ์, และอีกมากมาย รวมกว่า 500 คน บรรยากาศคือคึกคักสุดๆ มีสื่อ KOL อินฟลูเอนเซอร์ และแฟนคลับลั่นชัตเตอร์รัวๆ
งานนี้ทำให้เห็นว่าเบื้องหลังของซีรีส์มันเต็มไปด้วยพลังและความทุ่มเท ทีมงานทุกคนตั้งใจให้ 9 YEARS OF YOU เป็นมากกว่าละคร แต่เป็นประสบการณ์ที่ทำให้คนดูรู้สึกอินไปกับทุกโมเมนต์
ความรู้สึกจากนักแสดงและทีมงาน
ในงานเปิดตัว นักแสดงอย่าง เอม และ เฌอปราง ได้แชร์ความรู้สึกว่านี่เป็นโปรเจกต์ที่พิเศษมาก เพราะมันเป็นครั้งแรกที่ทั้งคู่ได้ร่วมงานกัน และเป็นการแสดงครั้งแรกของเฌอปรางกับช่องวัน 31 ด้วย เอมบอกว่าเขารู้สึกท้าทายกับบท ภารัณ เพราะต้องถ่ายทอดความเป็นคนอินโทรเวิร์ตที่รักลึกๆ แต่ไม่กล้าบอก ส่วนเฌอปรางบอกว่า นับดาว ทำให้เธอได้สำรวจอารมณ์ที่หลากหลาย ตั้งแต่ความสดใสไปจนถึงความเปราะบาง
พี่บอยยังเล่าด้วยว่าการเลือกนักแสดงทั้งคู่มาเจอกันคือเหมือนเจอ “เคมีที่ใช่” ทำให้เขาตัดสินใจกลับมากำกับแนวรักโรแมนติกอีกครั้งหลังจากห่างหายไปนาน ทีมนักเขียนก็ทำงานหนักมากเพื่อให้บทสะท้อนความสมจริงของวัยหนุ่มสาว และใส่บริบทของแต่ละปีให้เข้ากับยุคสมัย เช่น การใช้เพลงดังในช่วงนั้นๆ หรือเหตุการณ์ที่คนดูจะรู้สึก “อ๋อ คิดถึงสมัยนั้นเลย”
“9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ” คือผลงานที่ทีมงานใส่ใจทุกขั้นตอน ตั้งแต่บทที่เขียนโดย 4 นักเขียนสุดเก่ง ไปจนถึงการกำกับของพี่บอยที่ทำให้ทุกฉากมันตราตรึงใจ ถ้าคุณชอบเรื่องรักที่สมจริง มีทั้งความหวานและความเจ็บปวด เรื่องนี้ห้ามพลาด
นักแสดง
→ สรรเพชญ์ คุณากร รับบท ภารัณ

ภารัณ คือหนุ่มอินโทรเวิร์ตที่มีโลกส่วนตัวสูงมากกก เขาเป็นคนเงียบขรึม เก็บตัว และมักจะใช้สมองมากกว่าใจในการตัดสินใจ ภารัณเป็นทายาทของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ชีวิตตอนแรกเหมือนเกิดมาในกองเงินกองทองเลย แต่พอโลกเปลี่ยน ธุรกิจของพ่อ (รับบทโดย น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์) ล้มละลาย ทิ้งหนี้ 300 ล้านให้เขากับแม่ (รับบทโดย เจี๊ยบ โสภิตนภา ชุ่มภาณี) ต้องแบกรับ ชีวิตของภารัณเลยเหมือนรถไฟเหาะ มีทั้งขึ้นสูงสุดและลงต่ำสุด
มิตรภาพและความรัก
ภารัณเป็นเพื่อนสนิทของ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) ตั้งแต่เด็ก เขาคอยเป็นที่พักใจให้เธอในวันที่ชีวิตมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องครอบครัวหรือความรัก ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มจากมิตรภาพที่แน่นปึ้ก แต่ลึกๆ ในใจ ภารัณแอบมีความรู้สึกเกินเพื่อนมานานแล้ว เขาแค่ไม่กล้าบอก
ความอบอุ่นที่ซ่อนอยู่
ถึงจะดูเงียบๆ แต่ภารัณเป็นคนอบอุ่นมากกก คอยอยู่เคียงข้างทุกคน โดยเฉพาะนับดาว เอม สรรเพชญ์ บอกเองเลยว่า “ภารัณเป็นผู้ชายอบอุ่นที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างและดูแลทุกคน ทำให้คนดูหลงรักคาแรกเตอร์กัน”
ชีวิตที่รันทด
ชีวิตภารัณนี่ดราม่าสุดๆ นอกจากเรื่องหนี้ 300 ล้านแล้ว ยังเจอปัญหาเปิดบริษัทที่ไม่ราบรื่น แถมชีวิตส่วนตัวก็หนักหน่วง มีโพสต์บนโซเซียลบอกว่า “แต่งงานครั้งแรกเมียท้องก็เสียลูกไป จะแต่งงานครั้งที่สองแฟนก็เป็นมะเร็งอีก” บอกเลยว่าชีวิตภารัณคือสุดรันทด แต่เขาก็ยังสู้ต่อ
ฉายาของภารัณ: “NA-NING หน้านิ่ง”
ฉายานี้ปังมาก NA-NING หน้านิ่ง มาจากความเป็นคนเงียบขรึม อินโทรเวิร์ตของภารัณ ที่ดูเหมือนหน้านิ่งแต่ใจอบอุ่น ฉายานี้กลายเป็นตัวการ์ตูนในเรื่องที่แฟนๆ หลงรัก จนถึงขั้นมี สติ๊กเกอร์ Line และ ART TOY NA-NING ออกมาเป็นของสะสม มี 3 สี 3 ความรู้สึก ช่วยฮีลใจแฟนๆ กันเลยทีเดียว เอมเล่าว่าฉายานี้สะท้อนตัวตนของภารัณที่เป็นคนนิ่งๆ แต่คอยซัพพอร์ตทุกคนอย่างเงียบๆ บนโซเซียลมีคนพูดถึงความน่ารักของ NA-NING ว่าเป็นคาแรกเตอร์ที่ทำให้คนดูรู้สึกอบอุ่นใจทุกครั้งที่เห็น
ข้อคิดจากภารัณ
ความรักต้องใช้เวลาและจังหวะ ภารัณแอบรักนับดาวมานาน แต่เขารู้ว่าจังหวะชีวิตสำคัญ ถ้าไม่พร้อมหรือสถานการณ์ไม่เหมาะ การรอคอยอาจจะดีกว่าการฝืน ข้อคิดนี้คือ “รักแท้ต้องอดทน รอจังหวะที่ใช่ แล้วทุกอย่างจะลงตัว”
ความเงียบไม่ได้แปลว่าไม่รู้สึก ถึงภารัณจะเป็นคนเงียบๆ แต่เขามีหัวใจที่เต็มไปด้วยความรักและความห่วงใย ข้อคิดคือ “บางครั้งคนที่เงียบที่สุดอาจจะมีอะไรในใจมากที่สุด อย่ามองข้ามคนที่อยู่ข้างๆ คุณ”
สู้ต่อแม้ชีวิตจะรันทด ภารัณเจอปัญหาหนักๆ ตั้งแต่หนี้ 300 ล้าน ไปจนถึงความสูญเสียในชีวิตส่วนตัว แต่เขาก็ไม่ยอมแพ้ ข้อคิดคือ “ไม่ว่าชีวิตจะโยนอะไรมาที่คุณ จงสู้ต่อไป เพราะทุกปัญหามีทางออก”
ทำไมภารัณถึงน่าจดจำ
การแสดงของเอม สรรเพชญ์ นี่คือผลงานการแสดงครั้งแรกของเอม แต่แฟนๆ ชมว่า “ดีเกินคาด” และ “ไม่คิดว่าเป็นเรื่องแรก” เอมบอกว่าเขากดดันมากตอนแรก แต่พี่บอย ถกลเกียรติ คอยให้คำแนะนำ ทำให้ภารัณมีมิติและสมจริงสุดๆ เคมีของเอมกับเฌอปรางคือปังมากกก ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 หรือฉากสารภาพรักในตอนที่ 5 ทำให้คนดูจิกหมอนขาดบนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “เคมีเอม-เฌอปรางคือฟินระเบิด”
ภารัณคือตัวแทนของคนที่รักใครสักคนแต่ไม่กล้าบอก หรือต้องรอจังหวะที่เหมาะสม ใครที่เคยแอบรักเพื่อนต้องอินกับภารัณแน่นอน
→ เฌอปราง อารีย์กุล รับบท นับดาว

นับดาว คือสาวพลังบวกตัวแม่ เธอเป็นสาวเอ็กซ์โทรเวิร์ตที่สดใส ร่าเริง และเหมือนแสงแดดที่ส่องสว่างให้ทุกคนรอบตัว เธอรักการวาดรูปและแอนิเมชันเป็นชีวิตจิตใจ แถมยังเป็นคนที่ใช้ใจนำทางมากกว่าเหตุผล แต่ชีวิตของนับดาวไม่ได้ง่ายเลยนะ ทุกคน เธอเป็นลูกสาวคนเล็กในครอบครัวที่ทำร้านอาหาร และมักถูกแม่ (รับบทโดย นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์) เปรียบเทียบกับพี่สาวที่เป็นเชฟมิชลินสตาร์ ทำให้เธอรู้สึกกดดันและเคว้งคว้างบ่อยๆ
มิตรภาพและความรัก
นับดาวเป็นเพื่อนสนิทของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) ตั้งแต่เด็ก เธอคอยเป็นพลังบวกให้ภารัณในวันที่เขาต้องเจอปัญหาหนักๆ เช่น หนี้ 300 ล้านจากธุรกิจครอบครัวที่ล้มละลาย แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มซับซ้อนเมื่อความรู้สึกเกินเพื่อนเริ่มก่อตัว ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 ที่นับดาวเล่นใหญ่จูบภารัณต่อหน้าทุกคนคือจุดสปาร์กที่ทำให้คนดูกรี๊ด
ความเปราะบางในใจ
ถึงจะดูสดใส แต่ลึกๆ นับดาวมีมุมที่เปราะบาง เธอเจอปัญหาครอบครัว ความเหงา และความสับสนในความรู้สึก ทำให้บางครั้งตัดสินใจอะไรไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เช่น การเริ่มต้นความสัมพันธ์กับภารัณในตอนที่ 2 ที่หลายคนมองว่า “ใจร้อนไปหน่อย”
ความแตกต่างจากเฌอปราง
เฌอปรางเล่าว่านับดาวคือคนละขั้วกับตัวเอง เธอบอกว่า “ตัวจริงฉันอินโทรเวิร์ต คิดเยอะ มีเสียงดีและร้ายในหัวตลอดเวลา แต่ต้องมาเล่นเป็นสาวเอ็กซ์โทรเวิร์ตสุดพลังบวก” เพื่อให้สมบทบาท เธอถึงขั้นไปเวิร์กช็อปการวาดรูปกับ ครูปาน (สมนึก คลังนอก) ศิลปินชื่อดังที่ออกแบบตัวการ์ตูน หน้านิ่ง (NA-NING) ซึ่งได้แรงบันดาลใจจากภารัณ ทำให้ฉากที่เธอวาดรูปในเรื่องดูสมจริงสุดๆ
ฉายาของนับดาว: “SUNSHINE GIRL สาวพลังบวก”
ฉายานี้คือปังมากกก SUNSHINE GIRL สาวพลังบวก สะท้อนตัวตนของนับดาวที่เป็นเหมือนแสงแดดส่องสว่างให้ทุกคน โดยเฉพาะภารัณที่มักอยู่ในโลกเงียบๆ ของตัวเอง บนโซเซียลมีแฟนๆ โพสต์ว่า “นับดาวคือตัวแทนของคนที่ยิ้มได้แม้ชีวิตจะหนัก” ฉายานี้ยังเข้ากับความรักในการวาดรูปของเธอ เพราะเธอมักวาดอะไรที่เต็มไปด้วยสีสันและความหวัง แถมในเรื่องยังมีโมเมนต์ที่นับดาววาดตัวการ์ตูนหน้านิ่ง ซึ่งกลายเป็นสติ๊กเกอร์ Line และ ART TOY สุดน่ารัก
ข้อคิดจากนับดาว
รักตัวเองก่อนรักคนอื่น นับดาวในช่วงแรกตัดสินใจเริ่มความสัมพันธ์กับภารัณด้วยอารมณ์ชั่ววูบ เพราะความเหงาและปัญหาครอบครัว แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน เธอเรียนรู้ที่จะรักตัวเองและเลือกสิ่งที่ใจต้องการจริงๆ ข้อคิดนี้คือ “อย่าเป็นคนอะไรก็ได้ ยอมเลือกแม้ยังไม่ชอบ” จากโพสต์บนโซเซียล ที่บอกว่านับดาวคือตัวแทนของการเติบโตที่รักตัวเองมากขึ้น
กล้าแสดงความรู้สึก แม้จะแย่ นับดาวสอนว่าไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา การร้องไห้หรือระบายความรู้สึกไม่ได้แปลว่าอ่อนแอ เฌอปรางเองบอกว่า “การเล่นเป็นนับดาวทำให้ฉันกล้ารู้สึกแย่และยอมรับความอ่อนไหว” ข้อคิดนี้คือ “กล้าที่จะรู้สึกแย่ เพราะมันทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น”
ชีวิตสั้น รีบทำในสิ่งที่รัก โมเมนต์ที่นับดาววิ่งไปบอกภารัณว่า “ฉันรักแก” คือการตัดสินใจที่มาจากใจล้วนๆ ข้อคิดจากโพสต์บนโซเซียล คือ “ชีวิตมันสั้น…อะไรที่มีความสุข ให้รีบทำ” ทำให้เราเห็นว่านับดาวกล้าตามหัวใจตัวเอง แม้ว่าจะเสี่ยง
ทำไมนับดาวถึงน่าจดจำ
การแสดงของเฌอปราง นี่คือผลงานการแสดงครั้งแรกของเฌอปรางกับช่องวัน 31 และแฟนๆ ชมว่าเธอถ่ายทอดความเป็นนับดาวได้สมจริงสุดๆ แม้ว่าจะต่างจากตัวตนจริงของเธอที่เป็นคนอินโทรเวิร์ต เฌอบอกว่า “การเล่นเป็นนับดาวทำให้ฉันเข้าใจความหลากหลายของมนุษย์และมี empathy มากขึ้น”
นับดาวคือสาวที่กล้าใช้ใจนำทาง แม้ว่าบางครั้งจะตัดสินใจผิดพลาด แต่เธอก็เรียนรู้และเติบโต ใครที่เคยสับสนในความรักหรือชีวิตต้องอินกับนับดาวแน่นอน
→ ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล รับบท มิรา

มิรา คือตัวละครรองที่มาแรงและขโมยซีนสุดๆ ใน 9 YEARS OF YOU เธอเป็นสาวมั่นใจ ฉลาด และมีความสามารถเต็มเปี่ยม เป็นคนที่ทำงานเก่งและมีเป้าหมายชัดเจนในชีวิต มิราโผล่มาในช่วงที่ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) เข้าสู่โลกของการทำงาน โดยทั้งคู่ร่วมกันก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพเพื่อแก้ปัญหาหนี้ 300 ล้านของครอบครัวภารัณ แต่สิ่งที่ทำให้มิราน่าสนใจคือหัวใจของเธอที่ทั้งเข้มแข็งและเปราะบาง
ความรักที่เงียบงัน
มิราเริ่มรู้สึกดีกับภารัณจากการทำงานร่วมกัน แต่ปัญหาคือหัวใจของภารัณมันยังวนเวียนอยู่กับ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) เพื่อนสนิทของเขา ทำให้มิราต้องอยู่ในสถานะ “ตัวสำรอง” ที่เจ็บปวด เธอพยายามพิสูจน์ตัวเอง แต่สุดท้ายก็รู้สึกว่าตัวเองไม่เคยเป็นที่หนึ่งในใจเขา
ความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก
ในตอนที่ 3-4 มิราตัดสินใจคบกับภารัณเพื่อหวังให้เขามูฟออนจากนับดาว แต่ความสัมพันธ์นี้เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความไม่มั่นคง สุดท้ายมิราเลือกบอกเลิกเพราะไม่อยากอยู่ในความสัมพันธ์ที่ท็อกซิก ฉากนี้คือหน่วงมาก ทุกคน ผู้ชมบนโซเซียล บอกว่า “มิราเจ็บแทนได้เลย อยากกอด”
ดราม่าการตั้งครรภ์
พีคสุดคือเมื่อมิราพบว่าตัวเองตั้งครรภ์ แต่โชคชะตากลับเล่นตลกเมื่อเธอสูญเสียลูกในท้อง โมเมนต์นี้ทำให้คนดูรู้สึกเห็นใจมิรามาก เพราะมันเหมือนชีวิตโยนความเจ็บปวดมาให้เธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ลภัสลัล หรือ มายด์ ถ่ายทอดมิราออกมาได้สมจริงมาก เธอเคยเป็นที่รู้จักจากบท แมวนำ ใน Ugly Duckling Series: Don’t ทำให้แฟนๆ รู้ว่าเธอเล่นดราม่าได้ถึงใจ ในบทมิรา มายด์ทำให้เรารู้สึกถึงความเข้มแข็งที่ซ่อนความเปราะบางไว้ บน โวเซียล มีคนชมว่า “มายด์เล่นเป็นมิราจนรู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนที่เจอเรื่องหนักๆ จริงๆ”
ฉายาของมิรา: “SHADOW STAR ดาวเงา”
ฉายานี้คือปังและเจ็บจี๊ดในเวลาเดียวกัน SHADOW STAR ดาวเงา สะท้อนตัวตนของมิราที่เหมือนดวงดาวที่สวยงามและส่องแสงในแบบของตัวเอง แต่ต้องอยู่ในเงาของนับดาวที่เป็นแสงหลักในใจของภารัณ ฉายานี้ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “เหมาะกับมิรามาก เพราะเธอเก่ง สวย แต่เหมือนไม่เคยถูกมองเห็น” ถึงจะเจ็บ แต่ฉายานี้ก็ทำให้มิราเป็นที่รักของแฟนๆ เพราะมันแสดงถึงความพยายามและความเจ็บปวดของเธอที่อยากเป็นมากกว่า “ตัวสำรอง”
ข้อคิดจากมิรา
เลือกตัวเองเมื่อความรักไม่ใช่ มิราสอนว่าในความสัมพันธ์ที่ท็อกซิกหรือทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวเอง การเลือกเดินออกมาคือความกล้าหาญ ข้อคิดนี้คือ “รักตัวเองให้มากพอที่จะปล่อยวางเมื่อมันไม่ใช่”
ความเจ็บปวดทำให้เราเติบโต การสูญเสียลูกและความรักที่ไม่สมหวังของมิราทำให้เธอเจ็บปวด แต่ก็ทำให้เธอแข็งแกร่งขึ้น ข้อคิดคือ “ทุกความเจ็บปวดคือบทเรียนที่ทำให้เราเป็นตัวเองในเวอร์ชันที่ดีกว่า”
คุณค่าสร้างได้ด้วยตัวเอง มิราเป็นสาวเก่งที่ทำงานหนักและมีเป้าหมาย แม้จะไม่ได้รับความรักจากคนที่หวัง แต่เธอก็พิสูจน์ว่าคุณค่าของเราอยู่ที่ตัวเราเอง ข้อคิดคือ “อย่ารอให้ใครมามองเห็นคุณ จงส่องแสงในแบบของคุณเอง”
ทำไมมิราถึงน่าจดจำ
การแสดงของลภัสลัล มายด์คือมืออาชีพตัวจริง เธอถ่ายทอดความมั่นใจและความเปราะบางของมิราได้อย่างลงตัว แฟนๆ บนโซเซียล ชมว่า “มายด์เล่นดราม่าจนน้ำตาไหลตาม” การที่เธอเคยทำร้านขนม “ลองเด่ะ” สมัยมัธยมและเป็นนางแบบที่มีแฟนเพจเยอะ แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่มีเสน่ห์และความสามารถหลากหลาย
มิราเป็นเหมือนกระจกสะท้อนของคนที่เคยรักใครสักคนแต่รู้สึกเหมือนอยู่ในเงาของคนอื่น ฉากที่เธอบอกเลิกภารัณเพราะไม่อยากทนกับความสัมพันธ์ท็อกซิกคือพีคมาก การทำงานร่วมกับภารัณในบริษัทสตาร์ทอัพทำให้เห็นมิติของมิราที่เก่งและมุ่งมั่น แม้จะไม่ได้หัวใจภารัณ แต่เธอก็พิสูจน์ว่าเธอเป็นดาวที่ส่องแสงได้ด้วยตัวเอง
→ กรณ์ ศิริสรณ์ รับบท เคน

เคน คือตัวละครที่เข้ามาเพิ่มความเข้มข้นให้กับเรื่องราวความรักของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) เขาเป็น นักธุรกิจหนุ่มสุดร่ำรวย ที่ทั้งหล่อ มั่นใจ และมีเสน่ห์แบบฉบับพระรองที่แฟนๆ อาจจะแอบเชียร์ (หรือแอบหมั่นไส้!) เคนโผล่มาในช่วงที่ นับดาว กำลังไปได้สวยในงานออร์แกไนเซอร์ และกลายเป็นคนที่เข้ามาเติมเต็มชีวิตของเธอในช่วงที่ความสัมพันธ์กับภารัณยังไม่ลงตัว
เสน่ห์ของนักธุรกิจ
เคนเป็นคนที่มีทุกอย่างพร้อม เงิน ความสำเร็จ และความมั่นใจ เขาเข้ามาในชีวิตของนับดาวด้วยความหวังที่จะเป็นคนสำคัญของเธอ แต่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงและความไม่มั่นคง ซึ่งทำให้เกิดดราม่าสุดเข้มข้น
บทบาทคู่แข่งในความรัก
ในตอนที่ 3-4 เคนกลายเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ความสัมพันธ์ของภารัณและนับดาวซับซ้อนขึ้น เขาเหมือนเป็น “ตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ” ในสายตาคนอื่น แต่ลึกๆ แล้ว เขาก็มีมุมที่เปราะบางและพยายามพิสูจน์ตัวเองในความรัก บนโซเซียล มีคนพูดถึงเคนว่า “เหมือนพระรองที่อยากให้สมหวัง แต่ก็รู้ว่าไม่น่าจะได้”
การแสดงของกรณ์ ศิริสรณ์
กั้ง กรณ์ คืออดีตผู้ชนะ เดอะสตาร์ ค้นฟ้าคว้าดาว ปี 10 และเป็นนักแสดงมากฝีมือที่เคยฝากผลงานในละครดังๆ อย่าง บ้านนาคา และ เพื่อนรักเพื่อนร้าย เขายังเป็นผู้บริหารค่าย one music อีกด้วย ในบทเคน กั้งถ่ายทอดความเป็นหนุ่มมั่นใจแต่แอบเปราะบางได้อย่างลงตัว แฟนๆ บนโซเซียล ชมว่า “กั้งเล่นเป็นเคนได้ทั้งหล่อและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน”
ฉายาของเคน “GOLDEN BOY หนุ่มทองคำ”
ฉายานี้คือปังและเหมาะสมสุดๆ GOLDEN BOY หนุ่มทองคำ สะท้อนตัวตนของเคนที่เหมือนมีทุกอย่างครบ หน้าตาดี รวย และประสบความสำเร็จ แต่ในความสมบูรณ์แบบนั้นก็มีรอยร้าวในใจ โดยเฉพาะเมื่อเขาไม่สามารถครองใจนับดาวได้ บน โซเซียล มีแฟนๆ โพสต์ว่า “เคนคือหนุ่มทองคำที่ทุกคนอยากได้ แต่ทำไมถึงรู้สึกน่าสงสาร” ฉายานี้ทำให้เคนเป็นตัวละครที่ทั้งน่าหลงใหลและน่าเห็นใจในเวลาเดียวกัน
ข้อคิดจากเคน
ความสมบูรณ์แบบไม่ได้การันตีความรัก เคนมีทุกอย่าง เงิน ความสำเร็จ หน้าตา but when it comes to love มันไม่ใช่แค่เรื่องของ “สเปก” เขาสอนว่า “ต่อให้คุณมีทุกอย่าง แต่ถ้าความรักมันไม่ลงตัว มันก็ไม่ใช่”
ความหวาดระแวงทำลายความสัมพันธ์ ความสัมพันธ์ของเคนกับนับดาวพังลงเพราะความหวาดระแวงและความไม่มั่นคง ข้อคิดคือ “ถ้าคุณรักใครสักคน จงเชื่อใจและเปิดใจ เพราะความหวาดระแวงอาจทำลายทุกอย่าง”
เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง แม้ว่าเคนจะเจ็บปวดจากการเลิกกับนับดาว แต่เขาก็ต้องยอมรับและก้าวต่อไป ข้อคิดคือ “บางครั้งการปล่อยวางคือการให้โอกาสตัวเองได้เริ่มต้นใหม่”
ทำไมเคนถึงน่าจดจำ
การแสดงของกั้ง กรณ์ กั้งพิสูจน์ฝีมืออีกครั้งด้วยบทเคนที่ต้องเล่นทั้งมุมมั่นใจและมุมเปราะบาง แฟนๆ ชมว่าเขาทำให้เคนเป็นมากกว่าตัวร้ายหรือพระรองธรรมดา แต่เป็นตัวละครที่มีมิติและน่าสงสาร เคนคือตัวแทนของคนที่พยายามทุกอย่างเพื่อให้ความรักสมหวัง แต่สุดท้ายต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ลงเอย ใครที่เคยเจ็บจากรักที่ไม่สมหวังต้องอินกับเคนแน่นอน
→ ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์ รับบท นิ้ง

นิ้ง คือตัวละครรองที่มาเพิ่มสีสันและมิติให้กับ 9 YEARS OF YOU แบบสุดๆ เธอเป็นสาวมั่นที่มีความ ลื่นไหลทางเพศ (fluid sexuality) ซึ่งเป็นหนึ่งในประเด็นใหม่ที่ซีรีส์นี้กล้าพูดถึง ทำให้เธอเป็นตัวละครที่ทันสมัยและน่าจับตามอง นิ้งเป็นเพื่อนสนิทของ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) และมีบทบาทในช่วงที่เรื่องราวขยับเข้าสู่ช่วงวัยทำงานของตัวละครหลัก
ความมั่นใจและความเป็นตัวของตัวเอง
นิ้งเป็นคนที่กล้าแสดงออกและยอมรับตัวตนของตัวเอง เธอมีความรักที่ไม่จำกัดแค่เพศใดเพศหนึ่ง ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายทางเพศในยุคใหม่ ตามที่ THE STANDARD บอกว่า นิ้งเป็นตัวละครที่นำเสนอประเด็นความลื่นไหลทางเพศได้อย่างน่าสนใจ
เพื่อนที่ซัพพอร์ตสุดใจ
นิ้งเป็นเพื่อนที่คอยอยู่ข้างๆ นับดาวในช่วงที่เธอเจอปัญหาความรักและครอบครัว เธอมักจะให้คำแนะนำแบบตรงไปตรงมาและช่วยดึงนับดาวออกจากความสับสน บนโซเซียล มีคนพูดถึงนิ้งว่า “เหมือนเพื่อนในชีวิตจริงที่คอยซัพพอร์ตและพูดตรงๆ”
การแสดงของนาน่า ศวรรยา
นาน่า คืออดีตนักแสดงจากนาดาวบางกอกที่ผันตัวมาสังกัดเดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ เธอเคยฝากผลงานใน เลือดข้นคนจาง และ ฉลาดเกมส์โกง ทำให้รู้ว่าเธอเล่นบทดราม่าและคาแรกเตอร์ที่มีพลังได้ดีมา ในบทนิ้ง นาน่าถ่ายทอดความมั่นใจและความเปราะบางของตัวละครได้อย่างลงตัว บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “นาน่าเล่นเป็นนิ้งได้แบบปังสุด ดูแล้วอยากเป็นเพื่อนด้วย”
ฉายาของนิ้ง “FREE SPIRIT สาวอิสระ”
ฉายานี้คือเหมาะสมสุดๆ FREE SPIRIT สาวอิสระ สะท้อนตัวตนของนิ้งที่กล้าเป็นตัวของตัวเอง ไม่ยึดติดกับกรอบของสังคม และรักอย่างอิสระโดยไม่จำกัดเพศ ฉายานี้ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “นิ้งคือสาวที่ใช้ชีวิตแบบไม่แคร์สายตาใคร แต่ก็มีมุมที่อบอุ่นมาก” ความเป็น FREE SPIRIT ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆ รัก เพราะเธอเหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนกล้าทำตามหัวใจ
ข้อคิดจากนิ้ง
รักตัวเองและยอมรับตัวตน นิ้งสอนว่าการรักตัวเองและยอมรับตัวตนที่แท้จริงคือกุญแจของความสุข ไม่ว่าโลกจะมองเรายังไง ข้อคิดนี้คือ “จงเป็นตัวของตัวเอง เพราะคุณคือคนเดียวที่กำหนดคุณค่าได้”
ความรักไม่มีกรอบ ความรักของนิ้งที่ลื่นไหลและไม่จำกัดเพศคือการท้าทายกรอบของสังคม เธอสอนว่า “รักคือรัก ไม่จำเป็นต้องอยู่ในกรอบที่คนอื่นกำหนด” ซึ่งสะท้อนความหลากหลายในยุคใหม่
เพื่อนแท้คือสมบัติล้ำค่า นิ้งเป็นเพื่อนที่คอยซัพพอร์ตนับดาวในทุกสถานการณ์ ข้อคิดคือ “เพื่อนแท้คือคนที่อยู่ข้างคุณในวันที่โลกทั้งใบดูเหมือนจะต่อต้าน”
ทำไมนิ้งถึงน่าจดจำ
การแสดงของนาน่า ศวรรยา นาน่าคือสาวน้อยมากความสามารถที่จบนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ ตั้งแต่อายุ 19 การเล่นเป็นนิ้งในเรื่องนี้ทำให้เห็นว่าเธอสามารถถ่ายทอดตัวละครที่มีทั้งความมั่นใจและความเปราะบางได้อย่างลงตัว แฟนๆ บนโซเซียล บอกว่า “นาน่าในบทนิ้งคือเหมือนเพื่อนในชีวิตจริงเลย”
นิ้งเป็นตัวละครที่นำเสนอประเด็นความลื่นไหลทางเพศ ซึ่งหายากในละครไทย ทำให้เธอเป็นตัวละครที่ทันสมัยและน่าจดจำ ใครที่ชื่นชอบความหลากหลายต้องรักนิ้งแน่นอน ความสัมพันธ์ของนิ้งกับนับดาวและตัวละครอื่นๆ ทำให้เห็นว่าเธอเป็นเพื่อนที่ทั้งสนุกและจริงใจ ฉากที่เธอให้คำแนะนำแบบตรงไปตรงมาคือขโมยซีนสุดๆ
→ จิณภพ ปรารถนาสันติ รับบท เซน

เซน คือตัวละครรองที่เป็นสีสันสุดๆ ใน 9 YEARS OF YOU เขาเป็นหนึ่งใน แก๊งเพื่อน ของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) เป็นหนุ่มที่มีความสนุกสนาน ซื่อสัตย์ และเป็นเพื่อนที่คอยสร้างรอยยิ้มให้ทุกคนในกลุ่ม แต่ชีวิตของเซนก็มีมุมดราม่าที่ทำให้คนดูต้องน้ำตาคลอ
เพื่อนที่เป็นสีสันในแก๊ง
เซนคือตัวละครที่คอยเพิ่มความสนุกให้กับกลุ่มเพื่อน เขามักจะอยู่คู่กับ พี่แก่ (รับบทโดย ณพัทร์พล จรรยาศิริกุล) และ นิ้ง (รับบทโดย นาน่า ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์) สร้างโมเมนต์ช็อตฟีลตลกๆ ที่ทำให้คนดูขำกลิ้ง บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “ชอบแก๊งเพื่อนตอนอยู่ด้วยกัน เซนกับพี่แก่คือช็อตกันทุกเมื่อ เป็นสีสันให้กลุ่มดี”
อดีตที่เจ็บปวด
เซนเคยทำผิดพลาดในอดีตด้วยการ นอกใจแฟน ซึ่งน่าจะเป็น นิ้ง เพราะในเรื่องบอกว่าเซนกับนิ้งเคยคบกันแต่เลิกกันไปแล้ว ผลจากการนอกใจนี้ยังตามหลอกหลอนเขาในตอนที่ 4 ทำให้เห็นว่าเซนต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเองและพยายามไถ่บาปในแบบของเขา
ความภักดีต่อเพื่อน
ถึงแม้เซนจะเคยทำผิดในเรื่องความรัก แต่เขาก็เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์สุดๆ คอยอยู่ข้างๆ ภารัณและนับดาวในวันที่ทั้งคู่เจอปัญหา เช่น ตอนที่ภารัณต้องรับมือกับหนี้ 300 ล้านของครอบครัว หรือตอนที่นับดาวสับสนในความรัก บนโซเซียล มีคนชมว่า “เซนคือเพื่อนที่ทุกคนอยากมี แม้จะเคยพลาดแต่ก็จริงใจสุดๆ”
การแสดงของจิณภพ ปรารถนาสันติ
ตั้งต้น จิณภพ คือหนุ่มหน้าใสที่เคยฝากผลงานใน The Gifted Graduation และ Turn Left Turn Right เขานำความสดใสและความจริงใจมาสู่บทเซน ทำให้ตัวละครนี้ทั้งน่ารักและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน แฟนๆ บน X ชมว่า “ตั้งต้นเล่นเป็นเซนได้แบบธรรมชาติสุดๆ เหมือนเป็นเพื่อนในชีวิตจริงเลย”
ฉายาของเซน “LOYAL JOKER เพื่อนขี้เล่นใจภักดี”
ฉายานี้คือปังและเหมาะสมสุดๆ LOYAL JOKER เพื่อนขี้เล่นใจภักดี สะท้อนตัวตนของเซนที่เป็นเหมือนตัวตลกประจำแก๊ง คอยสร้างเสียงหัวเราะ แต่ก็มีความภักดีและจริงใจกับเพื่อนแบบสุดหัวใจ ถึงแม้จะเคยพลาดในเรื่องความรัก แต่ความเป็นเพื่อนของเขาคือสิ่งที่ทำให้คนดูรัก บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “เซนคือ LOYAL JOKER จริงๆ ขี้เล่นแต่ก็พร้อมซัพพอร์ตเพื่อนทุกสถานการณ์” ฉายานี้ทำให้เซนกลายเป็นตัวละครที่แฟนๆ อยากมีในชีวิตจริง
ข้อคิดจากเซน
ความผิดพลาดเป็นบทเรียน ไม่ใช่จุดจบ เซนเคยนอกใจแฟนในอดีต ซึ่งส่งผลกระทบถึงปัจจุบัน แต่เขาก็พยายามไถ่บาปและเป็นคนที่ดีขึ้น ข้อคิดคือ “ทุกคนพลาดได้ แต่สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้และก้าวต่อไป”
เพื่อนแท้คือสมบัติล้ำค่า เซนสอนว่าเพื่อนคือคนที่คอยอยู่เคียงข้างในวันที่ชีวิตพังๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาก็ยังอยู่ข้างภารัณและนับดาวเสมอ ข้อคิดคือ “เพื่อนแท้คือคนที่รักคุณแม้ในวันที่คุณไม่สมบูรณ์แบบ”
หัวเราะได้แม้ในวันที่เจ็บปวด ความขี้เล่นของเซนทำให้เขาเป็นคนที่มองโลกในแง่ดี แม้จะมีบาดแผลในใจ ข้อคิดคือ “บางครั้งการยิ้มและหัวเราะคือวิธีที่ทำให้เราผ่านวันที่ยากลำบากไปได้”
ทำไมเซนถึงน่าจดจำ
การแสดงของจิณภพ ปรารถนาสันติ ตั้งต้นนำความสดใสและความจริงใจมาสู่บทเซน ทำให้ตัวละครนี้ทั้งขี้เล่นและมีมิติ แฟนๆ ชมว่าเขาทำให้เซนเป็นเพื่อนที่ทุกคนอยากมีในชีวิตจริง เซนคือตัวแทนของเพื่อนที่คอยสร้างรอยยิ้มและอยู่เคียงข้างในทุกสถานการณ์ ใครที่เคยมีเพื่อนที่คอยทำให้ชีวิตสนุกต้องอินกับเซนแน่นอน ความสัมพันธ์ของเซนกับพี่แก่และนิ้งคือสีสันของเรื่อง ฉากที่แก๊งนี้อยู่ด้วยกันคือขำกลิ้งและอบอุ่นหัวใจ บนโซเซียล มีคนบอกว่า “แก๊งเซนคือทำให้อยากมีเพื่อนแบบนี้”
→ ณพัทร์พล จรรยาศิริกุล รับบท พี่แก่

พี่แก่ คือตัวละครรองที่เป็น สีสันสุดจี๊ด ใน 9 YEARS OF YOU เขาคือหนึ่งในสมาชิกของ แก๊งเพื่อน ของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) และ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) เป็นหนุ่มที่มีความขี้เล่น สนุกสนาน และมีจิตใจดีสุดๆ แต่ก็มีมุมที่ทำให้คนดูรู้สึกว่าเขาไม่ใช่แค่ตัวละครตลก แต่เป็นเพื่อนที่ทุกคนอยากมีในชีวิตจริง
ตัวจี๊ดประจำแก๊ง
พี่แก่คือคนที่คอยสร้างความบันเทิงให้กับกลุ่มเพื่อน ไม่ว่าจะเป็นการแซว เซน (รับบทโดย จิณภพ ปรารถนาสันติ) หรือการหยอกล้อ นิ้ง (รับบทโดย นาน่า ศวรรยา ไพศาลพยัคฆ์) เขามักจะโยนมุกตลกและทำให้บรรยากาศในแก๊งครึกครื้น บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “พี่แก่คือตัวชงมุกของกลุ่ม ขาดไม่ได้เลย”
เพื่อนที่แสนดี
ถึงจะขี้เล่น แต่พี่แก่เป็นเพื่อนที่พร้อมอยู่ข้างๆ ภารัณและนับดาวในทุกสถานการณ์ เช่น ตอนที่ภารัณต้องเจอกับปัญหาหนี้ 300 ล้านของครอบครัว หรือตอนที่นับดาวสับสนในความรัก เขาคอยให้คำแนะนำแบบเรียลๆ และเป็นกำลังใจให้เสมอ
มุมจริงจังที่ซ่อนอยู่
พี่แก่ไม่ได้มีแค่ความตลกนะ ทุกคน ในบางตอน เช่น ตอนที่ 4 เขาแสดงให้เห็นถึงมุมที่จริงจัง เมื่อต้องช่วยเพื่อนแก้ปัญหาหรือเผชิญหน้ากับดราม่าในกลุ่ม ทำให้เราเห็นว่าเขาเป็นมากกว่าตัวละครตลก แต่เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้
การแสดงของณพัทร์พล จรรยาศิริกุล
น้องเต้ เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่เคยฝากผลงานในซีรีส์วัยรุ่นและละครสั้นหลายเรื่อง เขานำความสดใสและความเป็นธรรมชาติมาสู่บทพี่แก่ ทำให้ตัวละครนี้ทั้งน่ารักและน่าจดจำ บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “น้องเต้เล่นเป็นพี่แก่ได้แบบเป็นเพื่อนในชีวิตจริงเลย ขี้เล่นแต่ก็น่าเชื่อใจ”
ฉายาของพี่แก่ “FUNNY CHAMPION มุกแชมป์
ฉายานี้คือปังและเหมาะสุดๆ CHAMPION มุกแชมป์ สะท้อนตัวตนของ พี่แก่ ที่เป็นเหมือนแชมป์ตัวจริงในเรื่องการชงมุกและสร้างความสนุกให้กับแก๊งเพื่อน ฉายานี้ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “พี่แก่คือตัวตึงของกลุ่ม CHAMPION มุกแชมป์ตัวจริง” เพราะเขาคือคนที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้ แม้ในโมเมนต์ที่ดราม่าหนักๆ ฉายานี้ยังแสดงถึงความสามารถของเขาในการเป็นศูนย์กลางของความสนุกและมิตรภาพในกลุ่ม
ข้อคิดจากพี่แก่
รอยยิ้มคือพลังที่ยิ่งใหญ่ พี่แก่สอนว่าแค่รอยยิ้มหรือมุกตลกเล็กๆ ก็สามารถเปลี่ยนบรรยากาศและทำให้เพื่อนๆ มีความสุขได้ ข้อคิดคือ “บางครั้งความสุขเล็กๆ ที่คุณมอบให้คนอื่นอาจเปลี่ยนวันของเขาได้ทั้งวัน”
มิตรภาพคือสิ่งที่ยั่งยืน พี่แก่เป็นเพื่อนที่คอยอยู่เคียงข้างไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาสอนว่า “เพื่อนแท้คือคนที่อยู่ด้วยกันทั้งในวันที่ดีและวันที่แย่”
อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง ความขี้เล่นและความเป็นธรรมชาติของพี่แก่ทำให้เขาเป็นที่รักของทุกคน ข้อคิดคือ “จงเป็นตัวของตัวเอง เพราะความจริงใจคือสิ่งที่ทำให้คนอยากอยู่ใกล้คุณ”
ทำไมพี่แก่ถึงน่าจดจำ
การแสดงของณพัทร์พล จรรยาศิริกุล
น้องเต้นำความสดใสและความเป็นธรรมชาติมาสู่บทพี่แก่ ทำให้ตัวละครนี้ทั้งขี้เล่นและมีมิติ แฟนๆ บนโซเซียลชมว่า “พี่แก่คือตัวละครที่ทำให้ยิ้มทุกครั้งที่โผล่มา” พี่แก่คือเพื่อนที่คอยสร้างเสียงหัวเราะและเป็นกาวใจของกลุ่ม ใครที่เคยมีเพื่อนขี้เล่นแบบนี้ต้องอินกับพี่แก่แน่นอน ความสัมพันธ์ของพี่แก่กับ เซน, นิ้ง, และตัวละครหลักคือสีสันของเรื่อง ฉากที่แก๊งนี้รวมตัวกันคือทั้งขำและอบอุ่นหัวใจ บนโซเซียล มีคนบอกว่า “พี่แก่กับเซนคือคู่หูสุดป่วน ทำให้ทุกตอนสนุกขึ้น!”
→ โสภิตนภา ชุ่มภาณี รับบท แม่มล

แม่มล คือตัวละครที่เป็น แม่ของภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) และเป็นหนึ่งในตัวละครที่เพิ่มมิติดราม่าให้กับ 9 YEARS OF YOU แบบสุดๆ เธอเป็นคุณแม่ที่ทั้งเข้มแข็งและเปราะบางในเวลาเดียวกัน ต้องแบกรับความกดดันมหาศาลเมื่อครอบครัวต้องเผชิญหน้ากับวิกฤตครั้งใหญ่
คุณแม่ที่เข้มแข็งแต่เจ็บปวด
แม่มลเป็นภรรยาของ พ่อศักดิ์ (รับบทโดย น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์) เจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจครอบครัวล้มละลาย ทิ้งหนี้ 300 ล้านบาทให้เธอกับภารัณต้องแบกรับ ชีวิตแม่มลคือหนักมาก เธอต้องเป็นเสาหลักของครอบครัว แม้ว่าลึกๆ จะรู้สึกเสียใจและกดดันสุดๆ
ความรักที่เสียสละ
แม่มลรักภารัณมากและพยายามปกป้องเขาจากความจริงอันโหดร้ายของครอบครัว เธอมักจะเก็บความรู้สึกไว้และแสดงความเข้มแข็งต่อหน้าลูก แต่ในบางฉาก เช่น ในตอนที่ 3 ที่เธอแอบร้องไห้คนเดียวหลังจากรู้ว่าธุรกิจพัง คือหน่วงมากกก บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “แม่มลคือตัวแทนของแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก”
การแสดงของโสภิตนภา ชุ่มภาณี
เจี๊ยบ โสภิตนภา คือตำนานนักแสดงที่ฝากผลงานไว้เพียบ เช่น ชิงชัง และ รอยรักรอยบาป เธอเคยเล่นทั้งบทเรียบร้อยและบทร้ายมาแล้ว แต่ในบทแม่มล เธอถ่ายทอดความเป็นแม่ที่ทั้งเข้มแข็งและเปราะบางได้อย่างสมจริง บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “เจี๊ยบเล่นเป็นแม่มลได้แบบถึงใจ ร้องไห้ตามเลย”
ฉายาของแม่มล “IRON MOM คุณแม่ใจเหล็ก”
ฉายานี้คือปังและเหมาะสมสุดๆ IRON MOM คุณแม่ใจเหล็ก สะท้อนตัวตนของแม่มลที่เข้มแข็งเหมือนเหล็กกล้า แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปัญหาหนักหน่วงอย่างหนี้ 300 ล้านและครอบครัวที่แตกสลาย แต่ลึกๆ เธอก็มีหัวใจที่อ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรัก บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “แม่มลคือ IRON MOM จริงๆ ดูแข็งแกร่งแต่ข้างในเจ็บปวดมาก” ฉายานี้ทำให้แม่มลเป็นตัวละครที่ทั้งน่าเกรงขามและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน
ข้อคิดจากแม่มล
ความเข้มแข็งคือการยอมรับความอ่อนแอ แม่มลสอนว่าไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลา การยอมรับความเจ็บปวดและขอความช่วยเหลือคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโต ข้อคิดคือ “บางครั้งการร้องไห้ไม่ใช่ความอ่อนแอ แต่เป็นการปลดปล่อยเพื่อก้าวต่อไป”
รักลูกคือการให้อิสรภาพ แม่มลเรียนรู้ที่จะปล่อยให้ภารัณตามความฝันของตัวเอง แม้ว่าเธอจะอยากปกป้องเขาตลอดเวลา ข้อคิดคือ “รักลูกคือการให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง แม้ว่ามันจะยากสำหรับเรา”
ทุกปัญหามีทางออก แม้จะเจอหนี้ 300 ล้านและความสูญเสียในครอบครัว แม่มลก็ไม่ยอมแพ้และหาทางสู้ต่อ ข้อคิดคือ “ไม่ว่าปัญหาจะใหญ่แค่ไหน จงเชื่อว่ามีทางออกเสมอ แค่ต้องกล้าลงมือทำ”
ทำไมแม่มลถึงน่าจดจำ
การแสดงของโสภิตนภา เจี๊ยบ โสภิตนภาคือตัวจริงในวงการที่ถ่ายทอดความเป็นแม่มลได้แบบถึงอารมณ์ การแสดงของเธอในฉากดราม่าทำให้คนดูร้องไห้ตาม และฉากที่เธอยิ้มให้กำลังใจภารัณก็อบอุ่นหัวใจสุดๆ แม่มลคือตัวแทนของแม่ที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อลูก ใครที่เคยเห็นแม่ตัวเองสู้เพื่อครอบครัวต้องอินกับแม่มลแน่นอน แม่มลไม่ใช่แค่ตัวละครประกอบ แต่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เราเข้าใจภารัณและความกดดันที่เขาต้องเจอ ฉากที่เธอกับภารัณคุยกันแบบเปิดใจคือพีคมาก
→ วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์ รับบท พ่อศักดิ์

พ่อศักดิ์ คือตัวละครที่เป็น พ่อของภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) และสามีของ แม่มล (รับบทโดย เจี๊ยบ โสภิตนภา ชุ่มภาณี) เขาคือเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่เคยรุ่งเรืองในอดีต ทำให้ครอบครัวมีฐานะร่ำรวยและใช้ชีวิตแบบลูกคุณหนู แต่เมื่อโลกเปลี่ยนไป ธุรกิจของเขาล้มละลาย ทิ้งหนี้ 300 ล้านบาทให้แม่มลและภารัณต้องรับมือ ดราม่าตัวพ่อเลย
ผู้นำครอบครัวที่ล้มเหลว
พ่อศักดิ์เริ่มต้นด้วยภาพลักษณ์ของพ่อที่ดูสมบูรณ์แบบ เป็นเสาหลักของครอบครัว แต่เมื่อธุรกิจพัง เขากลายเป็นคนที่แบกรับความกดดันมหาศาล บนโซเซียล มีคนพูดถึงว่า “พ่อศักดิ์คือตัวแทนของคนที่เคยยิ่งใหญ่แต่ล้มลง แล้วต้องเผชิญหน้ากับความผิดหวังในตัวเอง”
ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
พ่อศักดิ์รักภารัณและแม่มลมาก แต่การที่เขาไม่สามารถจัดการปัญหาทางการเงินได้ทำให้เกิดรอยร้าวในครอบครัว ฉากในตอนที่ 2 ที่เขาทะเลาะกับแม่มลและพูดว่า “ผมทำดีที่สุดแล้ว” คือหน่วงมาก แสดงให้เห็นว่าเขาเจ็บปวดที่ไม่สามารถปกป้องครอบครัวได้
การแสดงของวรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์
น็อต วรฤทธิ์ คือตำนานของวงการที่ฝากผลงานไว้เพียบ เช่น ขุนศึก และ ผู้กองเจ้าเสน่ห์ เขาเคยได้รับการเสนอชื่อรางวัลนักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก คมชัดลึก อวอร์ด และ นาฏราช มาแล้ว ในบทพ่อศักดิ์ น็อตถ่ายทอดความเป็นพ่อที่ทั้งเข้มแข็งและแตกสลายได้อย่างสมจริง บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “น็อตเล่นเป็นพ่อศักดิ์ได้แบบถึงใจ รู้สึกถึงความเจ็บปวดของพ่อจริงๆ”
ฉายาของพ่อศักดิ์ “FALLEN KING ราชันที่ร่วงหล่น”
ฉายานี้คือปังและหน่วงในเวลาเดียวกัน FALLEN KING ราชันที่ร่วงหล่น สะท้อนตัวตนของพ่อศักดิ์ที่เคยเป็นราชาของวงการสื่อสิ่งพิมพ์ แต่เมื่อธุรกิจล้ม เขาก็กลายเป็นราชันที่สูญเสียทุกอย่าง ฉายานี้ถูกพูดถึงในโซเซียล ว่า “พ่อศักดิ์คือ FALLEN KING ที่น่าสงสาร อยากให้เขากลับมามีความสุขอีกครั้ง” ฉายานี้แสดงถึงความยิ่งใหญ่ที่พังทลายและความพยายามที่จะลุกขึ้นใหม่ของเขา
ข้อคิดจากพ่อศักดิ์
ความล้มเหลวไม่ใช่จุดจบ พ่อศักดิ์สอนว่าต่อให้เคยยิ่งใหญ่แค่ไหน การล้มลงก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต สิ่งสำคัญคือการยอมรับและหาทางลุกขึ้นใหม่ ข้อคิดคือ “ความล้มเหลวคือบทเรียน ไม่ใช่คำตัดสินชีวิตคุณ”
ครอบครัวคือที่พึ่งสุดท้าย แม้ว่าพ่อศักดิ์จะทำให้ครอบครัวต้องลำบาก แต่เขาก็พยายามปกป้องและไถ่บาปให้ภารัณและแม่มล ข้อคิดคือ “ครอบครัวคือคนที่รักคุณ แม้ในวันที่คุณสูญเสียทุกอย่าง”
ความรับผิดชอบคือความกล้า การที่พ่อศักดิ์ยอมรับความผิดพลาดและพยายามแก้ไข แม้จะยากลำบาก สอนว่า “ความกล้าที่แท้จริงคือการรับผิดชอบต่อสิ่งที่เราทำผิด”
ทำไมพ่อศักดิ์ถึงน่าจดจำ
การแสดงของน็อต วรฤทธิ์ น็อตคือตัวพ่อของวงการที่ถ่ายทอดความเป็นพ่อศักดิ์ได้แบบถึงอารมณ์ การแสดงของเขาในฉากดราม่าทำให้คนดูรู้สึกถึงความเจ็บปวดของพ่อที่อยากปกป้องครอบครัวแต่ทำไม่ได้ พ่อศักดิ์คือตัวแทนของคนที่เคยประสบความสำเร็จแต่ต้องเจอกับความล้มเหลว ใครที่เคยผ่านช่วงที่ชีวิตพังๆ ต้องอินกับพ่อศักดิ์แน่นอน พ่อศักดิ์เป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมภารัณถึงต้องสู้ และเพิ่มความหนักแน่นให้กับดราม่าครอบครัว ฉากที่เขาขอโทษภารัณคือพีคมาก
→ สุจิรา อรุณพิพัฒน์ รับบท แม่สมรฃ

แม่สมร คือตัวละครที่เป็น แม่ของนับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) และ นับเดือน (รับบทโดย ปริม อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร) เธอเป็นเจ้าของร้านอาหารเล็กๆ แต่มีความคาดหวังสูงมากกับลูกสาวทั้งสอง โดยเฉพาะนับเดือนที่เป็นเชฟมิชลินสตาร์ แม่สมรคือตัวละครที่เพิ่มมิติให้กับดราม่าครอบครัว และทำให้เราเห็นมุมมองของแม่ที่รักลูกในแบบที่เข้มงวดสุดๆ
แม่ที่เปี่ยมความหวังแต่กดดัน
แม่สมรเป็นแม่ที่ทุ่มเทให้ครอบครัวและร้านอาหาร แต่เธอมักเปรียบเทียบ นับดาว กับ นับเดือน ทำให้เกิดความกดดันในใจนับดาวที่สนใจศิลปะและแอนิเมชันมากกว่าการทำอาหาร ตามที่ THE STANDARD บอกว่า แม่สมรคือตัวละครที่สะท้อนความคาดหวังของผู้ปกครองที่บางครั้งอาจทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว
ความรักที่ซ่อนอยู่ในความเข้มงวด
แม้แม่สมรจะดูเหมือนแม่ที่ดุและคาดหวังสูง แต่ลึกๆ เธอรักนับดาวและนับเดือนมาก ฉากในตอนที่ 5 ที่เธอขอโทษนับดาวหลังจากรู้ว่านับดาวเจ็บปวดจากการถูกเปรียบเทียบ คือซึ้งสุดๆ บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “แม่สมรเข้มงวดแต่รักลูกจริงๆ น้ำตาจะไหลตอนขอโทษนับดาว”
การแสดงของสุจิรา อรุณพิพัฒน์
นุ้ย สุจิรา อดีตนางสาวไทยปี 2544 และนักแสดงมากฝีมือที่ฝากผลงานใน เป็นต่อ, รักเดียว, และ สตรีเหล็ก เธอยังเป็นพิธีกรรายการดังอย่าง กินอยู่..คือ และ นารีโซไซตี้ อีกด้วย ในบทแม่สมร นุ้ยถ่ายทอดความเข้มงวดและความรักของแม่ได้อย่างสมจริง บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “นุ้ยเล่นเป็นแม่สมรได้แบบถึงอารมณ์ เหมือนแม่ในชีวิตจริงเลย”
ฉายาของแม่สมร “STERN GUARDIAN ผู้พิทักษ์เข้มงวด”
ฉายานี้คือปังและตรงจุดสุดๆ STERN GUARDIAN ผู้พิทักษ์เข้มงวด สะท้อนตัวตนของแม่สมรที่เป็นเหมือนผู้พิทักษ์ครอบครัว ด้วยความเข้มงวดและความคาดหวังที่สูงลิบ แต่ลึกๆ เธอแค่ต้องการให้ลูกมีชีวิตที่ดี บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “แม่สมรคือ STERN GUARDIAN ที่ดูดุแต่รักลูกสุดหัวใจ” ฉายานี้ทำให้แม่สมรเป็นตัวละครที่ทั้งน่าเกรงขามและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน
ข้อคิดจากแม่สมร
รักลูกในแบบที่เขาเป็น แม่สมรเรียนรู้ว่าการรักลูกไม่ใช่การบังคับให้เป็นตามที่เราต้องการ แต่คือการยอมรับความฝันและตัวตนของเขา ข้อคิดคือ “รักลูกคือการปล่อยให้เขาได้เป็นตัวของตัวเอง”
คำขอโทษคือพลังแห่งการเยียวยา การที่แม่สมรกล้าขอโทษนับดาวหลังจากทำให้ลูกเจ็บปวด สอนว่า “คำขอโทษจากใจสามารถเยียวยาความสัมพันธ์ที่แตกสลายได้”
ความคาดหวังต้องมาพร้อมความเข้าใจ แม่สมรสอนว่า ความคาดหวังจากพ่อแม่เป็นเรื่องปกติ แต่ต้องเข้าใจความรู้สึกของลูกด้วย ข้อคิดคือ “ความหวังที่ดีต้องมาพร้อมความรักและการรับฟัง”
ทำไมแม่สมรถึงน่าจดจำ
การแสดงของนุ้ย สุจิรา นุ้ยคือตัวแม่ของวงการที่ถ่ายทอดความเป็นแม่สมรได้แบบถึงอารมณ์! การแสดงของเธอในฉากดราม่าทำให้คนดูรู้สึกถึงความกดดันและความรักของแม่ได้จริงๆ แม่สมรคือตัวแทนของพ่อแม่ที่หวังให้ลูกประสบความสำเร็จ แต่บางครั้งอาจเผลอทำร้ายลูกโดยไม่ตั้งใจ ใครที่เคยเจอความกดดันจากครอบครัวต้องอินกับแม่สมรแน่นอน แม่สมรเป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าใจว่าทำไมนับดาวถึงต้องต่อสู้เพื่อตามความฝัน ฉากที่เธอกับนับดาวปรับความเข้าใจกันคือซึ้งและน่าจดจำ
→ ดวงดาว จารุจินดา รับบท ยายสมัย

ยายสมัย คือตัวละครที่เป็น ยายของนับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) และ นับเดือน (รับบทโดย ปริม อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร) เธอเป็นคุณยายที่เปี่ยมด้วยความอบอุ่นและความเข้าใจ เป็นเหมือนที่พักใจของครอบครัวในยามที่ทุกคนเจอดราม่าหนักๆ ยายสมัยคือตัวแทนของความรักและความหวังดีที่ไม่มีเงื่อนไข ทำให้ทุกคนในเรื่อง (และคนดู) รู้สึกถึงพลังบวกจากเธอ
คุณยายใจดีแห่งครอบครัว
ยายสมัยเป็นคนที่คอยประคับประคองครอบครัวของนับดาวและนับเดือน เธอมักให้คำแนะนำที่มาจากประสบการณ์ชีวิต โดยเฉพาะกับ นับดาว ที่ต้องเจอกับความกดดันจาก แม่สมร (รับบทโดย นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์) ที่คาดหวังให้ลูกเป็นเหมือนนับเดือน ฉากในตอนที่ 3 ที่ยายสมัยปลอบนับดาวว่า “หนูเป็นตัวของตัวเองก็พอแล้ว” คืออบอุ่นมาก บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “ยายสมัยคือคนที่ทำให้บ้านนี้น่าอยู่ อยากมียายแบบนี้”
สะพานเชื่อมรุ่น
ยายสมัยเป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างแม่สมรกับนับดาว เธอช่วยให้ทั้งคู่เข้าใจกันมากขึ้น โดยเฉพาะในตอนที่เธอเล่าถึงอดีตของตัวเองเพื่อให้แม่สมรเห็นใจนับดาวมากขึ้น โมเมนต์นี้คือซึ้งสุดๆ
ความลับในอดีต
ในบางตอน เช่น ตอนที่ 5 มีการเล่าว่ายายสมัยอาจมีเรื่องราวในอดีตที่เกี่ยวข้องกับความรักที่ไม่สมหวัง ซึ่งทำให้เธอเข้าใจความรู้สึกของนับดาวที่แอบรัก ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) แม้จะเป็นตัวละครรอง แต่เรื่องราวของยายสมัยเพิ่มความลึกให้กับซีรีส์มาก
การแสดงของดวงดาว จารุจินดา
ป้าดาว ดวงดาว คือตำนานของวงการที่โลดแล่นมากว่า 50 ปี เธอเคยฝากผลงานในละครดังอย่าง นางทาส (รับบทสาลี่) และเล่นละครช่อง 7 มากว่า 80 เรื่อง ในบทยายสมัย ป้าดาวถ่ายทอดความเป็นคุณยายที่อบอุ่นและฉลาดได้อย่างสมจริง บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “ป้าดาวเล่นเป็นยายสมัยได้แบบอบอุ่นสุดๆ เหมือนยายที่บ้านเลย”
ฉายาของยายสมัย “HEART OF HOME หัวใจของบ้าน”
ฉายานี้คือปังและอบอุ่นสุดๆ HEART OF HOME หัวใจของบ้าน สะท้อนตัวตนของยายสมัยที่เป็นเหมือนศูนย์กลางทางใจของครอบครัว คอยให้ความรัก ความอบอุ่น และคำแนะนำที่ทำให้ทุกคนผ่านพ้นช่วงเวลายากลำบาก บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “ยายสมัยคือ HEART OF HOME จริงๆ เป็นคนที่ทำให้ครอบครัวนี้ยังยิ้มได้” ฉายานี้ทำให้ยายสมัยกลายเป็นตัวละครที่แฟนๆ รักและรู้สึกผูกพัน
ข้อคิดจากยายสมัย
ความรักไม่มีเงื่อนไขคือพลังที่ยิ่งใหญ่ ยายสมัยรักนับดาวและนับเดือนโดยไม่คาดหวังให้ทั้งคู่ต้องเป็นอะไรนอกจากตัวเอง ข้อคิดคือ “รักแท้คือการยอมรับคนที่เรารักในแบบที่เขาเป็น”
ฟังหัวใจของกันและกัน การที่ยายสมัยคอยเป็นตัวกลางให้แม่สมรและนับดาวเข้าใจกัน สอนว่า “การรับฟังคือกุญแจที่ทำให้ครอบครัวแข็งแกร่ง”
ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด ยายสมัยใช้เรื่องราวในอดีตของตัวเองเพื่อสอนลูกหลาน ข้อคิดคือ “ทุกความผิดพลาดและความเจ็บปวดในอดีตคือบทเรียนที่ทำให้เราเติบโต”
ทำไมยายสมัยถึงน่าจดจำ
การแสดงของดวงดาว จารุจินดา ป้าดาวคือตำนานที่ถ่ายทอดความเป็นยายสมัยได้แบบถึงอารมณ์ การแสดงของเธอในฉากที่ให้คำแนะนำนับดาวหรือปลอบครอบครัวคืออบอุ่นและทำให้คนดูรู้สึกเหมือนมียายอยู่ข้างๆ ยายสมัยคือตัวแทนของปู่ย่าตายายที่เป็นที่พึ่งทางใจของครอบครัว ใครที่เคยมีคุณย่าคุณยายที่แสนดีต้องอินกับยายสมัยแน่นอน ยายสมัยเป็นตัวละครที่ทำให้เราเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนับดาวและแม่สมรมากขึ้น ฉากที่เธอเล่าถึงอดีตของตัวเองคือเพิ่มความลึกให้เรื่องราวสุดๆ
→ อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร รับบท นับเดือน

นับเดือน คือตัวละครที่เป็น พี่สาวของนับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) และลูกสาวคนโตของ แม่สมร (รับบทโดย นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์) และเป็นหลานของ ยายสมัย (รับบทโดย ดวงดาว จารุจินดา) เธอคือเชฟมิชลินสตาร์ที่ประสบความสำเร็จระดับโลก แต่เบื้องหลังความเก่งกาจนั้น นับเดือนก็มีความกดดันและความซับซ้อนในใจที่ทำให้ตัวละครนี้มีมิติสุดๆ
เชฟสาวสุดเพอร์เฟกต์ (แต่กดดัน)
นับเดือนคือความภาคภูมิใจของครอบครัว โดยเฉพาะแม่สมรที่มักยกย่องเธอเป็นตัวอย่างให้กับนับดาว เธอเป็นเชฟที่ได้รับดาวมิชลิน ซึ่งเป็นความสำเร็จที่หายากมาก แต่ความสมบูรณ์แบบนี้มาพร้อมกับความกดดันมหาศาลจากทั้งตัวเองและครอบครัว บนโวเซียล มีคนพูดถึงว่า “นับเดือนคือตัวละครที่ดูเพอร์เฟกต์ แต่จริงๆ แล้วแบกอะไรหนักๆ ไว้เยอะ”
ความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดกับน้องสาว
นับเดือนกับนับดาวมีความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน เพราะแม่สมรมักเปรียบเทียบทั้งสองคน ทำให้เกิดความรู้สึกอึดอัด ฉากในตอนที่ 4 ที่นับเดือนพูดกับนับดาวว่า “ฉันไม่ได้อยากให้แม่เปรียบเทียบเราเลย” คือหน่วงมาก แสดงให้เห็นว่าเธอรักน้องสาว แต่ก็รู้สึกผิดที่กลายเป็นมาตรฐานที่กดดันนับดาว
การแสดงของปริม อัจฉรียา
ปริม คือดาวรุ่งที่เคยฝากผลงานใน สงครามสมรส (รับบททนายวิรงรอง) และ วิมานจอเงิน เธอเป็นนักแสดงที่ถ่ายทอดคาแรกเตอร์สาวมั่นได้ดีสุดๆ ในบฒนับเดือน ปริมแสดงทั้งความสง่างามของเชฟระดับโลกและความเปราะบางในใจได้อย่างลงตัว บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “ปริมในบทนับเดือนคือปังมาก ดูแล้วทั้งอิจฉาและสงสาร”
ฉายาของนับเดือน “STAR CHEF ดาวเด่นแห่งครัว”
ฉายานี้คือเป๊ะปังสุดๆ STAR CHEF ดาวเด่นแห่งครัว สะท้อนตัวตนของนับเดือนที่เป็นเชฟมิชลินสตาร์ เปล่งประกายในวงการอาหาร แต่ก็ต้องเผชิญกับความกดดันที่ซ่อนอยู่ใต้ความสำเร็จ บนโซเซียลมีคนโพสต์ว่า “นับเดือนคือ STAR CHEF ที่เก่งสุดๆ แต่ก็มีมุมที่ทำให้เราอยากกอด” ฉายานี้ทำให้เราเห็นทั้งความเจิดจรัสและความท้าทายในชีวิตของเธอ
ข้อคิดจากนับเดือน
ความสำเร็จมาพร้อมความกดดัน นับเดือนสอนว่า ความสำเร็จที่ทุกคนเห็นอาจมาพร้อมกับความกดดันที่มองไม่เห็น ข้อคิดคือ “อย่าตัดสินคนจากแค่ความสำเร็จ เพราะทุกคนมีเรื่องที่ต้องสู้ในใจ”
ครอบครัวคือที่พึ่ง แม้จะมีรอยร้าว แม้ว่านับเดือนและนับดาวจะถูกเปรียบเทียบ แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็เรียนรู้ที่จะสนับสนุนกัน ข้อคิดคือ “ครอบครัวอาจไม่สมบูรณ์แบบ แต่ความรักคือสิ่งที่เชื่อมทุกอย่างไว้”
ความสมบูรณ์แบบไม่ใช่ทุกอย่าง นับเดือนเรียนรู้ว่า การเป็นตัวของตัวเองสำคัญกว่าการพยายามเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่น ข้อคิดคือ “จงยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น ไม่ต้องสมบูรณ์แบบก็มีค่าได้”
ทำไมนับเดือนถึงน่าจดจำ
การแสดงของปริม อัจฉรียา ปริมนำความเป็นสาวมั่นและความเปราะบางมาสู่บทนับเดือนได้อย่างลงตัว การแสดงของเธอในฉากดราม่าครอบครัวคือพีคมาก ทำให้คนดูทั้งอินและสงสาร นับเดือนคือตัวแทนของคนที่ต้องแบกรับความคาดหวังจากครอบครัวและสังคม ใครที่เคยเจอความกดดันจากครอบครัวต้องอินกับนับเดือนแน่นอน นับเดือนไม่ใช่แค่พี่สาวที่สมบูรณ์แบบ แต่เธอยังเป็นตัวละครที่สะท้อนถึงความท้าทายของการใช้ชีวิตภายใต้ความคาดหวัง ฉากที่เธอเปิดใจกับนับดาวในตอนที่ 8 คือโมเมนต์ที่ทำให้เราเห็นว่าเธอไม่ได้อยากเป็น “ตัวอย่าง” ที่สมบูรณ์แบบ แต่แค่พยายามทำดีที่สุดเพื่อครอบครัว
→ พุฒิพงษ์ จีรังกุลฤทธิ์ รับบท จิว

จิว คือตัวละครรองที่เป็น เพื่อนร่วมงาน และ เพื่อนสนิท ของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร) ในช่วงที่ภารัณเริ่มก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพเพื่อแก้ปัญหาหนี้ 300 ล้านของครอบครัว เขาคือหนุ่มที่มีความสามารถ เป็นที่ปรึกษาที่ไว้ใจได้ และมีมุมขี้เล่นที่ทำให้คนรอบข้างรู้สึกสบายใจ
เพื่อนร่วมงานสุดคูล
จิวเป็นคนที่เข้ามาร่วมทีมสตาร์ทอัพของภารัณและ มิรา (รับบทโดย ลภัสลัล จิรเวชสุนทรกุล) ด้วยความสามารถด้านเทคโนโลยีและความคิดสร้างสรรค์ เขาคือคนที่คอยช่วยแก้ปัญหาในทีมและเป็นตัวเชื่อมให้ทุกคนทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น บนโซเซียล มีคนพูดถึงว่า “จิวคือเพื่อนร่วมงานในฝัน เก่ง แถมยังขี้เล่น”
ที่ปรึกษาทางใจ
จิวไม่ได้แค่ช่วยเรื่องงาน แต่ยังเป็นคนที่ภารัณปรึกษาเรื่องส่วนตัว โดยเฉพาะเรื่องความรักที่ซับซ้อนกับ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล) และมิรา ฉากในตอนที่ 4 ที่จิวให้คำแนะนำภารัณแบบตรงไปตรงมาว่า “แกต้องเลือกสักทาง อย่าทำร้ายทั้งสองคน” คือหนักแน่นและจริงใจมาก
มุมขี้เล่นแต่ลึกซึ้ง
จิวมีบุคลิกที่ดูชิลๆ ขี้เล่น แต่ก็มีมุมที่จริงจังและเข้าใจความรู้สึกของเพื่อน ในตอนที่เขาเป็นคนที่ช่วยภารัณมองเห็นมุมมองใหม่ในชีวิตเมื่อทุกอย่างดูเหมือนจะพังลง ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆ ชอบมาก
การแสดงของพุฒิพงษ์ จีรังกุลฤทธิ์
อ๊อฟ พุฒิพงษ์ คือนักแสดงหน้าใหม่ที่เคยฝากผลงานในซีรีส์วัยรุ่นและโฆษณาหลายชิ้น เขานำความสดใสและความเป็นธรรมชาติมาสู่บทจิว ทำให้ตัวละครนี้ทั้งเท่และน่ารักในเวลาเดียวกัน บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “อ๊อฟเล่นเป็นจิวได้แบบเป็นเพื่อนที่ทุกคนอยากมีเลย”
ฉายาของจิว “TRUSTY WINGMAN เพื่อนคู่ใจ”
ฉายานี้คือปังและเหมาะสมสุดๆ TRUSTY WINGMAN เพื่อนคู่ใจ สะท้อนตัวตนของจิวที่เป็นเหมือนเพื่อนคู่ใจของภารัณ ทั้งในเรื่องงานและเรื่องหัวใจ เขาคอยช่วยเหลือและให้คำแนะนำในทุกสถานการณ์ บนโซเซียลมีคนโพสต์ว่า “จิวคือ TRUSTY WINGMAN ที่ทุกคนอยากมี เก่งงาน เก่งใจ” ฉายานี้ทำให้จิวกลายเป็นตัวละครที่แฟนๆ รักเพราะความจริงใจและความน่าเชื่อถือของเขา
ข้อคิดจากจิว
เพื่อนดีคือคนที่พูดความจริง จิวสอนว่าการเป็นเพื่อนที่ดีคือการกล้าพูดความจริง แม้ว่ามันจะยาก เช่น การเตือนภารัณให้เลือกทางในความรัก ข้อคิดคือ “เพื่อนแท้คือคนที่กล้าบอกสิ่งที่นายต้องรู้ ไม่ใช่แค่เอาใจ”
ทีมเวิร์กคือกุญแจสู่ความสำเร็จ การที่จิวช่วยภารัณในสตาร์ทอัพแสดงให้เห็นว่าการทำงานเป็นทีมคือสิ่งสำคัญ ข้อคิดคือ “ไม่มีใครสำเร็จได้คนเดียว ทีมที่ดีคือพลังที่ยิ่งใหญ่”
ความขี้เล่นทำให้ชีวิตง่ายขึ้น ความชิลและขี้เล่นของจิวช่วยคลายความตึงเครียดในทีม ข้อคิดคือ “บางครั้งการยิ้มและหัวเราะคือวิธีที่ดีที่สุดในการผ่านวันที่หนักๆ”
ทำไมจิวถึงน่าจดจำ
การแสดงของอ๊อฟ พุฒิพงษ์ อ๊อฟนำความเท่และความเป็นธรรมชาติมาสู่บทจิว ทำให้ตัวละครนี้ทั้งน่ารักและน่าเชื่อถือ แฟนๆ บนโวเซียล ชมว่า “จิวของอ๊อฟคือเพื่อนในฝันเลย อยากมีเพื่อนแบบนี้” จิวคือตัวแทนของเพื่อนที่คอยซัพพอร์ตทั้งในงานและชีวิตส่วนตัว ใครที่เคยมีเพื่อนที่คอยอยู่ข้างๆ ต้องอินกับจิวแน่นอน ความสัมพันธ์ของจิวกับภารัณและมิราในทีมสตาร์ทอัพคือสีสันของเรื่อง ฉากที่เขาชงมุกหรือช่วยแก้ปัญหาคือขโมยซีนสุดๆ
→ ปริชญ์ดิศรณ์ ชัยสุทธิวงศ์ รับบท ภารัณ (เด็ก)

ภารัณ (เด็ก) คือตัวละครในวัยเด็กของ ภารัณ (รับบทโดย เอม สรรเพชญ์ คุณากร ในวัยผู้ใหญ่) เขาเป็นเด็กชายที่เติบโตมาในครอบครัวที่ร่ำรวยจากธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ของ พ่อศักดิ์ (รับบทโดย น็อต วรฤทธิ์ เฟื่องอารมย์) และ แม่มล (รับบทโดย เจี๊ยบ โสภิตนภา ชุ่มภาณี) แต่ถึงจะมีชีวิตแบบลูกคุณหนู ภารัณ (เด็ก) ก็มีมุมที่อ่อนโยนและโลกส่วนตัวสูง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพสุดพิเศษกับ นับดาว (เด็ก) (รับบทโดย มากิ มาชิดา สุทธิกุลพานิช)
เด็กชายอินโทรเวิร์ตแต่อบอุ่น
ภารัณ (เด็ก) เป็นเด็กที่เงียบๆ ขี้อาย และไม่ค่อยแสดงออก แต่เขามีความจริงใจและจิตใจดี ในตอนที่ 1 ที่เล่าย้อนวัยเด็กปี 2559 เราเห็นภารัณเริ่มสนิทกับนับดาว (เด็ก) เพราะความร่าเริงของเธอช่วยดึงเขาออกจากเปลือกของตัวเอง ฉากที่ทั้งสองเล่นด้วยกันในสวนสาธารณะคือน่ารักมากกก บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “ภารัณเด็กคือขี้อายแต่จิตใจดี อยากกอดเลย”
มิตรภาพแรกเริ่มกับนับดาว
ความสัมพันธ์ของภารัณ (เด็ก) กับนับดาว (เด็ก) คือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้ง 9 ปี เขาคอยอยู่ข้างๆ นับดาวในวันที่เธอถูก แม่สมร (รับบทโดย นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์) ดุ และนับดาวก็เป็นคนที่ทำให้ภารัณกล้าที่จะเปิดใจมากขึ้น โมเมนต์ที่ทั้งคู่แชร์ของเล่นกันในตอนที่ 1 คือจุดสปาร์กของความเป็น “เพื่อนรัก”
ชีวิตที่เริ่มเผชิญความกดดัน
แม้ว่าภารัณ (เด็ก) จะยังเด็ก แต่เขาเริ่มสัมผัสได้ถึงความคาดหวังจากครอบครัว โดยเฉพาะจากพ่อศักดิ์ที่อยากให้ลูกเป็นทายาทที่สมบูรณ์แบบของธุรกิจ ฉากที่พ่อศักดิ์พูดกับภารัณว่า “ลูกต้องเก่งเหมือนพ่อ” ในตอนที่ 2 คือจุดที่ทำให้เราเห็นว่าเด็กคนนี้แบกอะไรไว้ตั้งแต่เด็ก
การแสดงของปริชญ์ดิศรณ์ ชัยสุทธิวงศ์
น้องนอร์ท คือเด็กน้อยวัย 10 ขวบที่เคยฝากผลงานในโฆษณาและซีรีส์เด็กหลายเรื่อง เขานำความน่ารักและความเป็นธรรมชาติมาสู่บทภารัณ (เด็ก) ทำให้ตัวละครนี้ทั้งขี้อายและน่าเอ็นดู บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “น้องนอร์ทเล่นเป็นภารัณเด็กได้แบบน่ารักมาก เหมือนเห็นเอมตอนเด็กจริงๆ”
ฉายาของภารัณ (เด็ก) “SHY WARMHEART เพื่อนขี้อายใจอบอุ่น”
ฉายานี้คือปังและเหมาะสุดๆ SHY WARMHEART เพื่อนขี้อายใจอบอุ่น สะท้อนตัวตนของภารัณ (เด็ก) ที่เป็นเด็กชายเงียบๆ ขี้อาย แต่มีหัวใจที่อบอุ่นและพร้อมดูแลเพื่อนอย่างนับดาว บนโวเซียล มีคนโพสต์ว่า “ภารัณเด็กคือ SHY WARMHEART จริงๆ ขี้อายแต่จิตใจดี น่ารักสุด” ฉายานี้ทำให้ภารัณ (เด็ก) เป็นตัวละครที่แฟนๆ อยากปกป้องและเอ็นดู
ข้อคิดจากภารัณ (เด็ก)
มิตรภาพเริ่มจากใจที่จริง ภารัณ (เด็ก) สอนว่า มิตรภาพที่แท้จริงเริ่มจากความจริงใจ แม้เขาจะขี้อาย แต่ความใจดีของเขาทำให้นับดาวอยากเป็นเพื่อนด้วย ข้อคิดคือ “แค่จริงใจก็ทำให้เราได้เพื่อนดีๆ แล้ว”
ความกล้าอยู่ในก้าวเล็กๆ การที่ภารัณ (เด็ก) กล้าเปิดใจกับนับดาวแม้จะขี้อาย สอนว่า “ความกล้าไม่ต้องยิ่งใหญ่ แค่ก้าวเล็กๆ ก็เปลี่ยนชีวิตได้”
ครอบครัวคือที่มาของเรา แม้ว่าภารัณ (เด็ก) จะเริ่มรู้สึกถึงความกดดันจากครอบครัว แต่เขาก็รักพ่อแม่และอยากทำให้ทุกคนภูมิใจ ข้อคิดคือ “ครอบครัวคือรากฐานที่ทำให้เราเติบโต แม้จะมีวันที่ยาก”
ทำไมภารัณ (เด็ก) ถึงน่าจดจำ
การแสดงของน้องนอร์ท ปริชญ์ดิศรณ์ น้องนอร์ทนำความน่ารักและความเป็นเด็กขี้อายมาสู่บทภารัณ (เด็ก) ได้แบบเนียนสุดๆ การแสดงของเขาในฉากที่เล่นกับนับดาว (เด็ก) คือทั้งน่ารักและทำให้คนดูยิ้มตาม ภารัณ (เด็ก) คือตัวละครที่ทำให้เราเห็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพระหว่างภารัณและนับดาว ซึ่งเป็นหัวใจของซีรีส์ทั้ง 9 ปี ฉากวัยเด็กในตอนที่ 1 คือโมเมนต์ที่แฟนๆ รักมาก ภารัณ (เด็ก) คือตัวแทนของเด็กๆ ที่อาจจะเงียบๆ แต่มีหัวใจที่ยิ่งใหญ่ ใครที่เคยเป็นเด็กขี้อายต้องอินกับภารัณแน่นอน
→ มาชิดา สุทธิกุลพานิช รับบท นับดาว (เด็ก)

นับดาว (เด็ก) คือตัวละครในวัยเด็กของ นับดาว (รับบทโดย เฌอปราง อารีย์กุล ในวัยผู้ใหญ่) เธอเป็นเด็กสาวที่เปี่ยมไปด้วยพลังบวกและความร่าเริง เป็นเหมือนแสงแดดตัวน้อยที่ส่องสว่างให้ทุกคนรอบตัว นับดาว (เด็ก) เป็นลูกสาวคนเล็กของ แม่สมร (รับบทโดย นุ้ย สุจิรา อรุณพิพัฒน์) และหลานของ ยายสมัย (รับบทโดย ดวงดาว จารุจินดา) และเป็นน้องสาวของ นับเดือน (รับบทโดย ปริม อัจฉรียา โพธิพิพิธธนากร)
เด็กสาวพลังบวกตัวแม่
นับดาว (เด็ก) เป็นเด็กที่ร่าเริง สดใส และรักการวาดรูป เธอมักจะนำความสุขมาให้ทุกคน โดยเฉพาะ ภารัณ (เด็ก) (รับบทโดย น้องนอร์ท ปริชญ์ดิศรณ์ ชัยสุทธิวงศ์) ที่เป็นเด็กขี้อาย ในตอนที่ 1 ที่เล่าย้อนวัยเด็กปี 2559 ฉากที่นับดาว (เด็ก) ชวนภารัณ (เด็ก) เล่นด้วยกันในสวนสาธารณะคือสุดน่ารักกก! บน X มีคนโพสต์ว่า “นับดาวเด็กคือแสงแดดตัวน้อย น่ารักจนใจเจ็บ”
มิตรภาพแรกเริ่มกับภารัณ
ความสัมพันธ์ของนับดาว (เด็ก) กับภารัณ (เด็ก) คือจุดเริ่มต้นของมิตรภาพสุดซึ้งที่เป็นหัวใจของซีรีส์ทั้ง 9 ปี เธอเป็นคนที่ช่วยดึงภารัณออกจากโลกส่วนตัว และทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกัน ฉากที่ทั้งสองแชร์ของเล่นและหัวเราะด้วยกันในตอนที่ 1 คือโมเมนต์ที่ทำให้คนดูจิกหมอนด้วยความน่ารัก
ความกดดันจากครอบครัว
แม้ว่านับดาว (เด็ก) จะยังเด็ก แต่เธอก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความกดดันจากแม่สมรที่เปรียบเทียบเธอกับนับเดือน พี่สาวที่เก่งกาจ ฉากที่นับดาว (เด็ก) แอบร้องไห้เพราะถูกแม่ดุในตอนที่ 2 คือหน่วงมาก แต่โชคดีที่มี ยายสมัย และภารัณ (เด็ก) คอยปลอบ
การแสดงของมากิ มาชิดา
น้องมากิ คือเด็กสาววัย 11 ปีที่เคยฝากผลงานในโฆษณาและมิวสิกวิดีโอมากมาย เธอนำความสดใสและความเป็นธรรมชาติมาสู่บทนับดาว (เด็ก) ทำให้ตัวละครนี้ทั้งร่าเริงและน่าเอ็นดู บนโซเซียล มีแฟนๆ ชมว่า “น้องมากิเล่นเป็นนับดาวเด็กได้แบบน่ารักสุดๆ เหมือนเห็นเฌอปรางตอนเด็กเลย”
ฉายาของนับดาว (เด็ก) “LITTLE SUNSHINE แสงแดดตัวน้อย”
ฉายานี้คือปังและน่ารักสุดๆ LITTLE SUNSHINE แสงแดดตัวน้อย สะท้อนตัวตนของนับดาว (เด็ก) ที่เป็นเหมือนแสงแดดที่ส่องสว่างให้ทุกคน โดยเฉพาะภารัณ (เด็ก) ที่ขี้อาย เธอคือเด็กสาวที่นำพลังบวกมาให้ทุกคนรอบตัว บนโซเซียล มีคนโพสต์ว่า “นับดาวเด็กคือ LITTLE SUNSHINE จริงๆ น่ารักจนอยากปกป้อง” ฉายานี้ทำให้เธอกลายเป็นตัวละครที่แฟนๆ หลงรักและอยากกอด
ข้อคิดจากนับดาว (เด็ก)
ความร่าเริงเปลี่ยนโลกได้ นับดาว (เด็ก) สอนว่าพลังบวกและรอยยิ้มของเราสามารถทำให้คนรอบข้างมีความสุขได้ แม้ในวันที่ตัวเองเจอปัญหา ข้อคิดคือ “รอยยิ้มเล็กๆ ของคุณอาจเป็นแสงสว่างให้คนอื่น”
มิตรภาพเริ่มจากใจที่เปิดกว้าง การที่นับดาว (เด็ก) ชวนภารัณ (เด็ก) เล่นด้วยกัน แม้ว่าเขาจะขี้อาย สอนว่า “มิตรภาพที่แท้จริงเริ่มจากใจที่พร้อมจะแบ่งปัน”
อย่ากลัวที่จะเป็นตัวเอง แม้ว่านับดาว (เด็ก) จะถูกเปรียบเทียบกับพี่สาว เธอก็ยังคงรักการวาดรูปและเป็นตัวของตัวเอง ข้อคิดคือ “จงทำในสิ่งที่รัก แม้ว่าโลกจะบอกให้คุณเป็นคนอื่น”
ทำไมนับดาว (เด็ก) ถึงน่าจดจำ
การแสดงของน้องมากิ มาชิดา น้องมากินำความสดใสและความเป็นเด็กสาวร่าเริงมาสู่บทนับดาว (เด็ก) ได้แบบเนียนสุดๆ การแสดงของเธอในฉากที่เล่นกับภารัณ (เด็ก) หรือฉากดราม่ากับแม่สมรคือทั้งน่ารักและถึงอารมณ์ นับดาว (เด็ก) คือตัวละครที่ทำให้เราเห็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างนับดาวและภารัณ ซึ่งเป็นหัวใจของซีรีส์ ฉากวัยเด็กในตอนที่ 1 คือโมเมนต์ที่แฟนๆ จิกหมอนด้วยความน่ารัก นับดาว (เด็ก) คือตัวแทนของเด็กๆ ที่มีหัวใจเต็มไปด้วยความฝันและพลังบวก ใครที่เคยเป็นเด็กที่อยากทำตามใจตัวเองต้องอินกับนับดาวแน่นอน
ปิดท้ายเรื่องราวของ 9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ ปี 2568 จาก oneD ORIGINAL แล้ว ละครเรื่องนี้พาเราดำดิ่งไปในชีวิตของ ภารัณ และ นับดาว รวมถึงตัวละครสุดปังอย่าง มิรา, เคน, นิ้ง, เซน, พี่แก่, แม่มล, พ่อศักดิ์, แม่สมร, ยายสมัย, นับเดือน, จิว, และสองเด็กน้อย ภารัณ (เด็ก) กับ นับดาว (เด็ก) ผ่านเวลา 9 ปี (2559-2567) ที่เต็มไปด้วยมิตรภาพ ความรัก ความสูญเสีย และการเติบโต โอ้โห ทุกคน ดราม่ากินใจ เคมีจิ้นฟินขาดใจ และข้อคิดที่ทำให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเอง
จากจุดเริ่มต้นของมิตรภาพวัยเด็กระหว่าง ภารัณ และ นับดาว ที่น่ารักจนใจเจ็บ ไปจนถึงความรักที่ต้องผ่านการทดสอบของเวลาและอุปสรรค ไม่ว่าจะเป็นหนี้ 300 ล้านของครอบครัวภารัณ ความกดดันจากครอบครัวนับดาว หรือความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของ มิรา และ เคน ทุกตัวละครในเรื่องนี้สอนให้เราเห็นว่า ความรัก ไม่ว่าจะเป็นรักแบบเพื่อน ครอบครัว หรือคนรัก ต้องใช้ทั้งใจ เวลา และความกล้า ฉากจูบในงานพรอมตอนที่ 1 ฉากสารภาพรัก “ฉันรักแก” ในตอนที่ 5 หรือโมเมนต์ที่ครอบครัวและเพื่อนๆ รวมตัวกันในตอนจบคือพีคทุกซีน
ข้อคิดปิดท้ายจาก 9 YEARS OF YOU ชีวิตเหมือนรถไฟเหาะ มีทั้งวันที่ดีและวันที่พัง แต่สิ่งที่ทำให้เราไปต่อได้คือ มิตรภาพที่แท้จริง ความรักที่อดทน และความกล้าที่จะเป็นตัวของตัวเอง บนโวเซียล แฟนๆ พูดถึงว่า “ละครเรื่องนี้คือสะท้อนชีวิตจริงมาก ดูแล้วทั้งร้องไห้และยิ้มตาม” และเราก็เห็นด้วยสุดๆ
ถ้าคุณยังไม่ได้ดู ต้องไปตามแล้วน้า 9 YEARS OF YOU แต่ละปีที่มีเธอ ออกอากาศทางช่องวัน 31 หรือย้อนหลังแบบ UNCUT ในแอป oneD ฝากกดแชร์ ว่าคุณชอบตัวละครไหน หรือโมเมนต์ไหนในเรื่องนี้ที่ทำให้ใจฟู