ละคร ทุยจ๋า 2568 เมื่อพายุแห่งความสูญเสียโหมกระหน่ำจนรากชีวิตแทบถอนโคน… ทิว ชายหนุ่มผู้เหลือเพียงเศษเสี้ยวของหัวใจ, ต้องเผชิญหน้ากับความว่างเปล่าที่มิอาจเติมเต็ม การจากไปของมารดาและ ‘น้ำอ้อย’ ควายแม่ลูกอ่อน พรากทุกสิ่งไปจากเขา ทิ้งไว้เพียง ‘เจ้าทุย’ ลูกควายกำพร้าและรอยร้าวลึกในวิญญาณ แต่เมื่อแสงแห่งความหวังจากรอยยิ้มของ ‘หนึ่งฤทัย’ ส่องนำทางให้เขาได้เรียนรู้ที่จะลุกขึ้นยืนอีกครั้ง ชะตากรรมอันโหดร้ายกลับนำพาคนโฉดมาขโมยสิ่งยึดเหนี่ยวสุดท้ายไปอย่างเลือดเย็น บัดนี้… ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายและความผูกพันที่ไม่อาจประเมินค่า กำลังถูกเดิมพันบนสนามประลองความเร็วที่เต็มไปด้วยอันตราย เขาจะชิง ‘ทุยจ๋า’ กลับคืนมา เพื่อปกป้องทั้งชีวิตและหัวใจที่เพิ่งเริ่มฟื้นคืนได้อย่างไร

ละคร ทุยจ๋า 2568 ในยุคที่ละครไทยหลายเรื่องชูความดราม่าเข้มข้นผสมโรแมนติก แต่ “ทุยจ๋า” กลับมาแบบเรียบง่ายแต่ซึ้งกินใจ สะท้อนวัฒนธรรมท้องถิ่นไทยผ่านเรื่องราวของคนกับสัตว์เลี้ยง ละครเรื่องนี้จากชุด “ทุนไทย” ของ Thai PBS ออกอากาศเมื่อปี 2568 เน้นธีมมิตรภาพ การเยียวยาจิตใจ และศักดิ์ศรีในสนามชีวิต

เรื่องเริ่มต้นด้วย “ทิว” ชายหนุ่มเงียบขรึมที่สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาอาศัยอยู่กับความสันโดษในทุ่งนา ชีวิตเขาดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ถูกพายุซัดจนรากแทบถอน ทิวผูกพันกับควายชื่อ “น้ำอ้อย” ที่เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัว แต่โชคชะตาเล่นตลก เมื่อน้ำอ้อยตายหลังคลอดลูก ทิวจึงเหลือเพียง “ทุย” ลูกควายกำพร้าที่กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจสุดท้าย ทิวจมดิ่งในความเศร้าโศก แต่หลักธรรมจากหลวงพ่อและการดูแลทุยค่อยๆ เยียวยาเขา ทำให้ทิวเรียนรู้ที่จะยิ้มและเปิดใจอีกครั้ง

แล้วโชคชะตาก็พา “หนึ่งฤทัย” หญิงสาวมั่นใจ ลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ เข้ามาในชีวิตทิว เธอหนีจากชีวิตวุ่นวายในเมืองกรุง มาพบทิวโดยบังเอิญผ่านอุบัติเหตุรถ ทำให้ทั้งคู่ประทับใจกัน หนึ่งฤทัยนำความอบอุ่นและความเข้าใจมาเติมเต็มช่องว่างในใจทิว ความรักของทั้งคู่เบ่งบานท่ามกลางทุ่งนาและวัฒนธรรมขี่ควาย แต่ปัญหาใหญ่มาถึงเมื่อ “สุรเดช” คู่หมั้นเก่าของหนึ่งฤทัยที่เต็มไปด้วยความริษยา ลักขโมยทุยไปขายเพื่อทำลายความสุขของทิว

เพื่อชิงทุยคืน ทิวต้องตัดสินใจลงสนามแข่งขี่ควายกับ “เจ้ารวย” ยอดควายแข่งของเสี่ยเกรียงไกร ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ เงื่อนไขโหดมาก ชนะได้ทุยคืน แต่แพ้ต้องเสียทุกอย่าง การแข่งขันนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็ว แต่เป็นบทพิสูจน์ศักดิ์ศรี ความรัก และมิตรภาพ ระหว่างทาง ทิวได้รับความช่วยเหลือจาก “กระถิน” เพื่อนสนิทตั้งแต่เด็กที่คอยเป็นที่ปรึกษา และ “สุรพล” กำนันพ่อของสุรเดชที่แม้จะโผงผางแต่รักบ้านเกิด

สารบัญละคร

ละครเรื่องนี้ชวนให้คิดถึงคุณค่าของชีวิตเรียบง่ายและวัฒนธรรมไทย ถ้าใครชอบเรื่องซึ้งๆ แบบไม่เวอร์เกินจริง เรื่องนี้ตอบโจทย์แน่นอน ต่อไปนี้คือเนื้อเรื่องสำคัญของละคร

ในหมู่บ้านเล็กๆ ข้างทุ่งนา ทิว ชายหนุ่มผู้เงียบขรึมดั่งต้นไม้โบราณ ต้องเผชิญพายุชีวิตที่โหมกระหน่ำ เมื่อมารดาผู้เป็นดวงใจจากไปอย่างไม่มีวันกลับ ซ้ำร้าย น้ำอ้อย ควายแม่ลูกอ่อนที่เป็นเสมือนสมาชิกครอบครัว ก็ถูกพรากไป ทิวจมดิ่งสู่ห้วงอเวจีแห่งความสิ้นหวัง แต่แล้ว ทุย ลูกควายกำพร้าที่น้ำอ้อยทิ้งไว้เป็นสมบัติสุดท้าย กลายเป็นแสงสว่างในความมืด หลักธรรมคำสอนจากหลวงพ่อดั่งน้ำทิพย์ชโลมใจ ทิวค่อยๆ ลุกขึ้น เรียนรู้ที่จะดูแลทุยด้วยความรักดั่งพี่น้อง

แล้วโชคชะตาก็พลิกผัน เมื่อหนึ่งฤทัย หญิงสาวผู้มีรอยยิ้มอบอุ่นดั่งแสงตะวัน ปรากฏตัวขึ้น เธอ ลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ หนีจากชีวิตมัดมือชกในเมืองกรุง มาพบทิวผ่านอุบัติเหตุที่ทำให้ทั้งคู่ผูกพัน หนึ่งฤทัยนำความหวังมาเติมเต็มช่องว่างในใจทิว ความรักเบ่งบานดั่งดอกไม้ในทุ่ง แต่สุรเดช ชายหนุ่มริษยาจัด คู่หมายเก่าของเธอ ลอบขโมยทุยไปขายอย่างเลือดเย็น เพื่อทำลายทุกอย่าง

ทิวไม่อาจยอมแพ้ เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชายและสิ่งที่รัก เขาต้องลงสนามประลองขี่ควายกับเจ้ารวย ยอดฝีมือที่ไร้เทียมทาน ตามเงื่อนไขสุดหฤโหดจากเสี่ยเกรียงไกร การแข่งครั้งนี้ดั่งมหากาพย์แห่งทุ่งนา ไม่ใช่แค่ชิงทุย แต่คือการชี้ชะตารักระหว่างทิวกับหนึ่งฤทัย ท่ามกลางการช่วยเหลือจากกระถิน เพื่อนสนิทดั่งคู่หู และสุรพล กำนันผู้โผงผางแต่ซื่อตรง

ละครเรื่องนี้เต็มเปี่ยมด้วยบทเรียนชีวิต การต่อสู้อุปสรรคด้วยหัวใจที่มั่นคง และความงามของวัฒนธรรมขี่ควายที่หาชมยาก ทุกบทตอนชวนลุ้นระทึกผสมซึ้งใจ จนถึงจุดไคลแมกซ์ที่ชัยชนะไม่ใช่แค่เส้นชัย แต่คือมิตรภาพที่เหนือกว่า ต่อไปนี้คือจุดเด่นของละคร

ละครไทยเดี๋ยวนี้มีเยอะแยะ แต่เรื่องที่ทำให้เรารู้สึกอบอุ่นหัวใจแบบ “ทุยจ๋า” นี่หายากนะ ปี 2568 ช่อง Thai PBS ส่งละครชุด “ทุนไทย” มาเรื่องนี้ เน้นวัฒนธรรมท้องถิ่นแบบไม่เวอร์เกิน

ก่อนอื่น ต้องยกนิ้วให้เนื้อเรื่อง มันเรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง สะท้อนชีวิตคนบ้านนอกผ่านทิวที่สูญเสียทุกอย่าง แต่ได้ทุยควายน้อยมาเยียวยาใจ ผสมโรแมนติกกับหนึ่งฤทัยได้กลมกล่อม ไม่น้ำเน่า ฉากแข่งขี่ควายคือไฮไลต์ ตื่นเต้นและสวยงาม สะท้อนประเพณีวิ่งควายชลบุรีได้อย่างมีเสน่ห์ ทำให้เรารู้สึกอยากไปดูของจริงเลย

นักแสดงเล่นดีมาก อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ (แบงค์) เป็นทิวได้เงียบขรึมแต่มีน้ำใจ นัฐรุจี วิศวนารถ (ตังตัง) เป็นหนึ่งฤทัยสดใส มั่นใจ กลศ อัทธเสรี เป็นกำนันสุรพลโผงผางแต่รักบ้านเกิด ฟ้าว์เฟี้ยว สุดสวิงริงโก้ เป็นสุรเดชริษยาจัดแต่ลึกๆ มีความกดดัน หนึ่งฤทัย ชัยอะทะ เป็นกระถินคล่องแคล่ว ทุกคนเข้าถึงบทได้ดี ทำให้ตัวละครมีมิติ ไม่แบนๆ

งานภาพและโปรดักชั่นของ Thai PBS ทำถึง แสงสีธรรมชาติ ฉากทุ่งนาและแข่งควายสวยงาม เพลงประกอบเข้ากัน เน้นสาระแต่ไม่เทศนา ชอบที่แทรกหลักธรรมและมิตรภาพระหว่างคนกับสัตว์ได้กลมกลืน ไม่ยัดเยียด

คะแนนโดยรวม 8.1/10 ทุยจ๋า ชูธีมมิตรภาพและวัฒนธรรมขี่ควาย ละครน้ำดีที่ทำให้เรายิ้มและน้ำตาซึม ถ้าชอบวัฒนธรรมไทยและเรื่องราวเยียวยาใจ ที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ชวนให้สัมผัสถึงความงามของชีวิตท้องถิ่นและมิตรภาพที่เหนือชัยชนะ อย่าพลาดเด็ดขาด

ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความเศร้าโศกผสมความหวัง เมื่อเห็นทิวสูญเสียทุกอย่างแต่ได้ทุยมาเยียวยา ฉากทุ่งนาและการดูแลควายทำให้รู้สึกสงบ ราวกับกำลังหลบหนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่ หลักธรรมจากหลวงพ่อที่แทรกเข้ามาไม่เทศนา แต่ชวนให้คิดถึงการปล่อยวางและลุกขึ้นสู้ ทำให้หัวใจที่เคยแตกร้าวค่อยๆ สมาน การพบรักกับหนึ่งฤทัยนำมาซึ่งความสดใส รอยยิ้มอบอุ่นของเธอเหมือนแสงแดดที่ส่องทะลุเมฆหมอก ทำให้รู้สึกถึงพลังของความรักที่เติมเต็มช่องว่าง

แต่เมื่อปัญหาใหญ่มาถึง ความตื่นเต้นและลุ้นระทึกก็เข้ามาแทนที่ ฉากสุรเดชขโมยทุยทำให้รู้สึกโกรธและเห็นใจทิว การแข่งขี่ควายคือจุดพีคที่ทำให้หัวใจเต้นรัว ราวกับกำลังเชียร์อยู่ในสนามจริง ประเพณีวิ่งควายที่นำเสนอได้งดงาม ทำให้รู้สึกภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทย มิตรภาพจากกระถินและสุรพลนำมาซึ่งความอบอุ่นแบบครอบครัวใหญ่ ชวนให้ยิ้มและน้ำตาซึมไปพร้อมกัน

โดยรวม ความรู้สึกหลังดูจบคือความเต็มอิ่มทางใจ เรื่องราวชวนให้เรียนรู้ว่าชีวิตไม่ใช่แค่ชัยชนะ แต่คือการมีคน (และสัตว์) เคียงข้าง ทำให้หัวใจเบิกบานและอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ แบบนี้กับคนอื่น

“ทุยจ๋า” คือกระจกสะท้อนชีวิตที่ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าของสิ่งเล็กๆ รอบตัว เรื่องราวชวนให้เรียนรู้ว่าชีวิตไม่ใช่แค่ชัยชนะ แต่คือการมีคน (และสัตว์) เคียงข้าง ทำให้หัวใจเบิกบานและอยากแบ่งปันเรื่องราวดีๆ แบบนี้กับคนอื่น ถ้าได้ดูแล้ว จะรู้สึกว่าหัวใจเบาขึ้นและยิ้มได้กว้างกว่าเดิม


ละคร ทุยจ๋า 2568

ละคร ทุยจ๋า 2568

ละคร ทุยจ๋า 2568 ตอนจบTHAIPBS​​​​​​

[OFFICIAL TRAILER] ละครชุด ทุนไทย เรื่อง ทุยจ๋า

[OFFICIAL MV] ทุยจ๋า Ost. ทุยจ๋า

ละคร ทุยจ๋า 2568

ตัวเอกของเรา ชื่อ “ทิว” เล่นโดยแบงค์ อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ เป็นหนุ่มบ้านนอกเงียบขรึม สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาอยู่คนเดียวแบบสันโดษ แต่ชีวิตเขาดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ถูกพายุซัดซะจนรากแทบถอนเลยล่ะ เมื่อแม่ที่เป็นดวงใจจากไปแบบไม่มีวันกลับ แถม “น้ำอ้อย” ควายแม่ลูกอ่อนที่เป็นทั้งเพื่อนและครอบครัวก็ตายหลังคลอดลูก ทิวเลยจมดิ่งลงไปในความเศร้าโศกสุดๆ ความสิ้นหวัง อ้างว้าง มันแบบห้วงอเวจีเลยอะ แต่ตรงนี้แหละที่เรื่องเริ่มพลิก เพราะ “ทุย” ลูกควายกำพร้าที่น้ำอ้อยทิ้งไว้ มันกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจสุดท้ายของทิว ทิวต้องลุกขึ้นมาดูแลทุยแบบพี่น้องแท้ๆ เลย แล้วยังมีหลักธรรมคำสอนจากหลวงพ่อที่ค่อยๆ ชโลมใจแตกร้าวของเขาให้สมานขึ้นช้าๆ แต่แน่นอน มันแบบน้ำทิพย์ชโลมใจจริงๆ ทำให้ทิวเริ่มยิ้มได้ เปิดรับแสงแห่งความหวังอีกครั้ง

แล้วโชคชะตาเล่นตลก พา “หนึ่งฤทัย” สาวเมืองกรุงมั่นใจสุดๆ เล่นโดยตังตัง นัฐรุจี วิศวนารถ เข้ามาในชีวิตทิว เธอเป็นลูกสาวนักธุรกิจใหญ่ รอยยิ้มอบอุ่น ดวงใจงดงาม เข้ามาแบบบังเอิญผ่านอุบัติเหตุรถ ทำให้ทั้งคู่ประทับใจกันตั้งแต่แรกเจอเลย หนึ่งฤทัยมอบความรัก ความเข้าใจ เติมเต็มช่องว่างในใจทิวแบบเต็มๆ ความรักเบ่งบานท่ามกลางทุ่งนาและเสียงทุยร้องอู๊ดๆ น่ารักมาก แต่เฮ้ย ชีวิตไม่ใช่เทพนิยายนะ เส้นทางรักของทั้งคู่ไม่ได้ราบรื่นแบบกลีบกุหลาบ เพราะ “สุรเดช” คู่หมั้นเก่าของหนึ่งฤทัย ที่ริษยาจัดสุดๆ ลอบขโมยทุยไปขายแบบเลือดเย็น เพื่อทำลายความสุขของทิวเลยอะ นี่แหละดราม่าเข้มข้น

ทิวไม่ยอมแพ้ เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ความผูกพันกับทุยที่ลึกซึ้งเกินคำบรรยาย และเพื่อปกป้องสิ่งที่รัก เขาต้องตัดสินใจใหญ่โต ลงสนามแข่งขี่ควายประลองความเร็วกับ “เจ้ารวย” ยอดฝีมือแห่งทุ่งนาที่ไม่มีใครกล้าต่อกร ตามเงื่อนไขสุดหินจาก “เสี่ยเกรียงไกร” ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ การแข่งครั้งนี้ไม่ใช่แค่ชิงทุยคืนนะ แต่เป็นบทพิสูจน์ชะตากรรมของทิว ความรักบริสุทธิ์กับหนึ่งฤทัย และอนาคตทั้งหมดที่แขวนไว้บนเส้นชัยแห่งความหวัง ระหว่างทางยังมีตัวละครรองช่วยเติมสีสัน เช่น “กระถิน” เพื่อนสนิททิวที่คอยเป็นที่ปรึกษาแบบไม่ต้องร้องขอ และ “สุรพล” กำนันพ่อของสุรเดชที่โผงผางแต่รักบ้านเกิด เรื่องเดินแบบค่อยเป็นค่อยไป ผสมคอมเมดี้เบาๆ กับสาระวัฒนธรรมขี่ควายชลบุรีที่งดงามมาก

“ทุยจ๋า” ละคร แบทเรียนชีวิตที่บอกว่า ในสนามชีวิต มิตรภาพมีค่าเหนือชัยชนะ ถ้ายังไม่ได้ดู รีบไปหาย้อนหลังบนเว็บ Thai PBS เลยนะ รับรองซึ้งจนน้ำตาไหล

เบื้องหลังละคร “ทุยจ๋า” ปี 2568 บน Thai PBS กถ้าใครดูแล้วชอบ อยากรู้ว่าทีมงานถ่ายทำยังไง ทำงานกับควายจริงๆ ยากขนาดไหน ผู้กำกับเป็นใคร มากันเลยครับ

ละครเรื่องนี้เป็นส่วนหนึ่งของชุด “ทุนไทย” ที่ Thai PBS ทำเพื่อโปรโมตวัฒนธรรม 6 ภาคของไทย และ “ทุยจ๋า” ยกภาคตะวันออกมาผสมเรื่องมิตรภาพคนกับควายแบบสุดซึ้ง ผู้กำกับคู่หูของเรื่องนี้คือ “เปลว ศิริสุวรรณ” และ “เชิดศักดิ์ ประทุมศรีสาคร” สองคนนี้เก๋าเกมมาก

%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%A7%20%E0%B8%A8%E0%B8%B4%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%93%20%E0%B8%9C%E0%B8%81%E0%B8%81%20%E0%B8%AB%E0%B8%99%E0%B8%B1%E0%B8%87%20%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%AB%E0%B8%A2%20(2)
เปลว ศิริสุวรรณ

พี่เปลวเนี่ย คร่ำหวอดในวงการหนังไทยมานาน เป็นทั้งผู้กำกับ เขียนบท และทำแอนิเมชั่นด้วยนะ ผลงานเด่นๆ เช่นหนังแอ็กชั่นสยอง “ขุนแหย” ที่เขากำกับเองแบบตามใจตัวเอง บอกเลยว่าลงตัวสนุกจริง หรือซีรีส์ “GUARDIAN หักเหลี่ยมมัจจุราช” ที่เขาแสดงเองด้วย สไตล์พี่เปลวคือผสมแอ็กชั่นกับคอเมดี้ได้กลมกล่อม

EhVLFVhUwAA Qk0
เชิดศักดิ์ ประทุมศรีสาคร

ส่วน “เชิดศักดิ์ ประทุมศรีสาคร” หรือพี่เชิด คนนี้เป็นทั้งผู้กำกับและนักแสดงเลยอะ เรียนจบจากเกษตรศาสตร์ แต่ผันตัวมาทำวงการบันเทิงเต็มตัว ผลงานเด่นอย่างหนังจากกองทุน ป.ป.ช. ปี 68 ชุด “ทัณฑกาล” ที่เขากำกับเรื่องราวทุจริต หรือซีรีส์ “DuoMan คู่แสบวายป่วง” ที่เล่นบทเจ้าหน้าที่ช่างโยธากะล่อนๆ สไตล์พี่เชิดคือเน้นดราม่าสังคมผสมฮาแบบเฮฮา สองคนนี้กำกับร่วมกันใน “ทุยจ๋า” เพื่อผสมผสานดราม่า โรแมนติก และวัฒนธรรมได้ลงตัวสุดๆ

เบื้องหลังการถ่ายทำนี่แหละมันส์ ทีมงานบุกไปถ่ายที่ทุ่งนาจริงๆ ในชลบุรี เพื่อให้ได้ฟีลวัฒนธรรมวิ่งควายแท้ๆ มีคลิปบน YouTube ที่บุกกองถ่าย อย่างฉากแบงค์ อาทิตย์ เข้าฉากกับควายจริงๆ ยากมากเพราะควายมันดื้อ ต้องฝึกกันนานกว่าจะได้ช็อตสวย หรือฉากวิ่งควายที่เป็นไฮไลต์ ทีมใช้ CG ผสมกับถ่ายจริงเพื่อให้ดูสมจริงตื่นเต้น แต่ไม่ทำร้ายสัตว์นะ

พี่ๆ นักแสดงอย่างตังตัง นัฐรุจี ต้องเรียนขี่ควายเบื้องต้นด้วย ฮาๆ แล้วยังมีทีมงานวัฒนธรรมมาช่วยให้ฉากแข่งขี่ควายสะท้อนประเพณีจริงๆ การถ่ายทำใช้เวลาหลายเดือน เพราะต้องรอฤดูฝนเพื่อทุ่งนาเขียวขจี และมีงบจากทุนไทยทำให้เน้นสาระแต่ไม่น่าเบื่อ เบื้องหลังยังมีโมเมนต์น่ารักๆ อย่างนักแสดงผูกพันกับควายจริงๆ จนเรียก “ทุย” แบบสนิทสนม

เบื้องหลัง “ทุยจ๋า” คือความทุ่มเทของทีมงานที่ทำให้ละครน้ำดีแบบนี้เกิดขึ้น

นักแสดง

→ อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ รับบท ทิว

อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์

ชายหนุ่มเงียบขรึม สันโดษแต่มีน้ำใจงาม สูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาอาศัยอยู่ในทุ่งนาแบบเรียบง่าย ชีวิตเขาเปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ถูกพายุโหมกระหน่ำจนรากแทบถอนโคน เมื่อมารดาที่เป็นดวงใจจากไปอย่างไม่มีวันกลับ แถมน้ำอ้อย ควายแม่ลูกอ่อนที่เป็นทั้งเพื่อนและสมาชิกครอบครัวก็ถูกพรากไป ทิวเลยจมดิ่งลงห้วงแห่งความเศร้าโศก สิ้นหวัง และอ้างว้างไร้ที่สิ้นสุด แต่ภาระหน้าที่ดูแลทุย ลูกควายกำพร้าที่น้ำอ้อยทิ้งไว้ กลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวใจ หลักธรรมคำสอนจากหลวงพ่อค่อยๆ ชโลมใจแตกร้าวให้สมานขึ้นอย่างเชื่องช้าแต่แน่นหนา ทำให้ทิวเริ่มเปิดรับแสงแห่งความหวังและยิ้มได้อีกครั้ง

โชคชะตาพาให้พบหนึ่งฤทัย หญิงสาวรอยยิ้มอบอุ่นที่เข้ามาเติมเต็มช่องว่างในหัวใจ แต่เส้นทางรักไม่ราบรื่น เพราะสุรเดช คู่หมายเก่าที่ริษยาจัด ลอบขโมยทุยไปขาย เพื่อศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย ความผูกพันลึกซึ้งกับทุย และปกป้องสิ่งที่รัก ทิวต้องลงสนามแข่งขี่ควายกับเจ้ารวย ยอดฝีมือแห่งทุ่งนา ตามเงื่อนไขสุดหินจากเสี่ยเกรียงไกร การแข่งนี้ไม่ใช่แค่ชิงทุย แต่เป็นบทพิสูจน์ชะตากรรม ความรักบริสุทธิ์กับหนึ่งฤทัย และอนาคตทั้งหมดที่แขวนไว้บนเส้นชัย ทิวมีความสัมพันธ์กับทุยดั่งพี่น้องมากกว่าคนเลี้ยงสัตว์ หวังใช้ชีวิตสงบไปเรื่อยๆ แต่ต้องลุกขึ้นสู้เมื่อถูกท้าทาย อาทิตย์เล่นได้กินใจ ด้วยสายตาเศร้าแต่แฝงความมุ่งมั่น สะท้อนคนจริงที่เยียวยาตัวเองผ่านมิตรภาพและศรัทธา บทนี้ผสมดราม่า โรแมนติก และวัฒนธรรมไทยได้กลมกล่อม ทำให้ทิวกลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำ

ฉายา ต้นไม้ใหญ่ในพายุชีวิต
ฉายานี้เหมาะกับทิวมาก เพราะชีวิตเขาเปรียบดั่งต้นไม้ใหญ่ที่ยืนหยัดท่ามกลางพายุโหมกระหน่ำ จนรากแทบถอนโคน จากการสูญเสียพ่อแม่ตั้งแต่เด็ก ทำให้เขาสันโดษ เงียบขรึม แต่ยังคงมีน้ำใจงามดั่งรากแก้วที่ฝังลึกในดินทุ่งนา เมื่อมารดาจากไปและน้ำอ้อยตาย ทิวเหมือนถูกพายุซัดซ้ำ แต่ทุย ลูกควายกำพร้า กลายเป็นกิ่งก้านที่ช่วยพยุงให้ยืนหยัด หลักธรรมจากหลวงพ่อดั่งน้ำฝนชโลมให้ฟื้นคืน อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ ถ่ายทอดออกมาได้ลึกซึ้ง ด้วยท่าทางสงบแต่แฝงความเข้มแข็ง เหมือนต้นไม้ที่โอนเอนแต่ไม่หัก

ฉายานี้สะท้อนการต่อสู้ของทิวที่ไม่ยอมแพ้ แม้โชคชะตาจะพรากทุกอย่าง แต่เขายังเติบโตผ่านมิตรภาพและความรักจากหนึ่งฤทัย การแข่งขี่ควายคือจุดพลิกผันที่ทิวต้องใช้รากฐานชีวิตเดิมมาประลอง ฉายานี้ทำให้เห็นว่าทิวไม่ใช่แค่ตัวละคร แต่เป็นสัญลักษณ์ของคนธรรมดาที่ฟื้นจากความสูญเสีย ด้วยความอดทนดั่งต้นไม้ใหญ่ที่รอดพายุมาได้ทุกครั้ง

ข้อคิด มิตรภาพคือแสงสว่างในความมืด
ข้อคิดนี้จากบททิวสอนว่ามิตรภาพคือพลังที่ช่วยเยียวยาใจแตกร้าว ทิวสูญเสียทุกอย่างจนจมดิ่งในความสิ้นหวัง แต่ทุยกลายเป็นมิตรแท้ที่ยึดเหนี่ยว ทำให้เขาลุกขึ้นดูแลและพบความหมายชีวิตอีกครั้ง หลักธรรมจากหลวงพ่อเสริมให้เห็นว่ามิตรภาพไม่จำกัดแค่คน แต่รวมถึงสัตว์และธรรมะที่คอยชโลมใจ อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ แสดงออกผ่านสายตาและท่าทางที่ค่อยๆ เปลี่ยนจากเศร้าเป็นมุ่งมั่น ข้อคิดนี้ชวนคิดว่าชีวิตจริงเราก็เจอพายุเหมือนทิว แต่มิตรภาพจากเพื่อนอย่างกระถิน หรือรักจากหนึ่งฤทัย คือแสงที่นำทาง การแข่งขี่ควายพิสูจน์ว่าชัยชนะไม่ใช่แค่ชนะ แต่คือมิตรภาพที่อยู่เคียงข้าง ข้อคิดนี้เตือนว่าในยามมืดมิด อย่าลืมมองหามิตรรอบตัว เพราะมันคือพลังที่ทำให้เราฟื้นคืนและยิ้มได้อีก

→ นัฐรุจี วิศวนารถ รับบท หนึ่งฤทัย

นัฐรุจี วิศวนารถ

ลูกสาวคนเดียวของนักธุรกิจหมื่นล้าน เกิดมาบนกองเงินกองทอง แต่ไม่ยอมถูกมัดมือชก คิดเร็ว ทำเร็ว ชอบลองทุกอย่างใหม่ๆ ไม่ว่าจะขับรถเหินทุ่งหรือเรียนขี่ควายในสามวัน เธอหนีกรุงเทพฯ มาชนทิวโดยบังเอิญ แล้วรถพัง ใจพัง แต่กลับเจอเป้าหมายชีวิตที่ตามหามานาน หนึ่งฤทัยมีรอยยิ้มอบอุ่นแบบแดดยามเช้า ดวงตาเป็นประกายทุกครั้งที่พูดถึงการทำประโยชน์เพื่อสังคม เธอไม่ชอบคำสั่งพ่อที่บังคับให้แต่งงานกับสุรเดช เพราะอยากเลือกทางเดินเอง ตังตังเล่นได้สมจริง

ฉากยิ้มให้ทิวครั้งแรกคือละลายทั้งจอ ฉากเถียงพ่อคือไฟลุก ฉากกอดทุยคือแม่ควายสำรองตัวจริง เธอค่อยๆ เปลี่ยนจากสาวเมืองที่กลัวโคลน กลายเป็นคนทุ่งที่วิ่งไล่ควายเก่งกว่าคนเกิดที่นี่ ความมั่นใจของเธอไม่ได้มาจากเงิน แต่มาจากการกล้าค้นหาตัวเอง เมื่อสุรเดชลักทุยไป หนึ่งฤทัยไม่นั่งร้องไห้ แต่ลุยช่วยทิวฝึกซ้อม ไปคุยกับเสี่ยเกรียงไกรเอง เธอคือคนที่ทำให้ทิวเห็นว่า ความรักไม่ใช่แค่เติมเต็ม แต่คือการเดินไปด้วยกัน ตัวละครนี้มีมิติครบทั้งหวาน เผ็ด ฮา และเข้มแข็ง ตังตังถ่ายทอดออกมาได้แบบที่เราอยากเป็นเพื่อนเธอจริงๆ

ฉายา แสงตะวันที่วิ่งตามฝัน
ฉายานี้ติดหนึ่งฤทัยแน่น เพราะเธอคือแสงตะวันที่ไม่ยอมอยู่กับที่ ตั้งแต่รถพุ่งลงทุ่ง หนึ่งฤทัยก็พุ่งตามความฝันทันที รอยยิ้มของเธอสว่างไสวพอๆ กับแสงแรกที่สาดลงทุ่งนา ทำให้ทุยหยุดร้องไห้ ทำให้ทิวยิ้มได้ ทำให้กระถินยอมเป็นเพื่อนซี้ เธอวิ่งจากกรุงเทพฯ มาชนโชคชะตา วิ่งไล่ทุยที่หายไป วิ่งเข้าสนามแข่งขี่ควายเพื่อยืนข้างคนที่รัก ตังตังเล่นฉายานี้ออกมาได้ชัด ด้วยสายตาที่เป็นประกายทุกครั้งที่พูดถึงอนาคต ฉายานี้บอกเราว่า แสงตะวันที่แท้จริงไม่ใช่แค่สว่าง แต่ต้องกล้าพุ่งไปหาความฝัน แม้จะต้องลุยโคลน ล้มกลิ้ง หรือรถพังกี่คันก็ตาม

ข้อคิด เป้าหมายชีวิตไม่ต้องใหญ่ แค่กล้าลงมือ
หนึ่งฤทัยสอนว่า การทำประโยชน์ให้สังคมไม่ต้องเริ่มจากโครงการพันล้าน เริ่มจากยิ้มให้เด็กกำพร้า เริ่มจากช่วยทิวฝึกควาย เริ่มจากยืนหยัดข้างความรัก เธอหนีจากชีวิตที่ถูกจัดฉากไว้ มาเจอเป้าหมายจริงที่ทุ่งนาเล็กๆ ข้อคิดนี้ชัดในฉากที่เธอบอกทิวว่า “หนูไม่รู้จะเปลี่ยนโลกยังไง แต่หนูจะเริ่มจากเปลี่ยนวันที่แย่ของพี่ให้ดีก่อน” ตังตังเล่นฉากนี้ได้สะเทือนใจ เพราะน้ำตาที่กลั้นไว้คือน้ำตาของคนที่เจอทางเดินของตัวเอง ข้อคิดนี้เตือนเราว่า อย่ารอให้พร้อม อย่ารอให้ใหญ่ ลงมือเดี๋ยวนี้ หนึ่งก้าวในทุ่งนาอาจพาไปถึงดวงดาว

→ กลศ อัทธเสรี รับบท สุรพล

กลศ อัทธเสรี

กำนันมากบารมีที่ทุ่มสุดตัวกับซุ้มควายแข่ง นิสัยโผงผาง พูดจริงทำจริง เสียงดังก้องทุ่งทุกครั้งที่สั่งลูกน้อง สุรพลรักบ้านเกิดจนอยากให้ลูกชายสุรเดชเรียนสูงไปบริหารบ้านเมือง แต่ใส่ใจเป้าหมายมากกว่ารายละเอียด เลยละเลยความรู้สึกสุรเดชที่กดดันจนทำผิด เมื่อเจ้ารวยควายแชมป์ตายกะทันหัน สุรพลเครียดจัดเพราะงานวิ่งควายประจำปีใกล้เข้ามา หนึ่งฤทัยเสนอให้ยืมทุย เขาเลยสั่งสุรเดชไปเจรจา แต่สุรเดชดันลักทุยไปขาย เรื่องบานปลายจนสุรพลทะเลาะกับทิวกลางงานบุญวัด ชาวบ้านแตกตื่น พี่หมูเล่นได้สมจริง เสียงดุดันแต่แฝงความเหงาในสายตา

ฉากตัดขาดพ่อลูกคือจุดพีคที่น้ำตาแตก เพราะสุรพลเพิ่งรู้ว่าความสำเร็จที่ไล่ตามทำให้ลูกหลงทาง สุรพลไม่ใช่ตัวร้ายล้วนๆ แต่เป็นพ่อที่ผิดพลาดจากความรักบ้านเกิดที่มากเกิน เขาคอยปกป้องประเพณีวิ่งควายชลบุรี ฝึกควายเองทุกวัน เชื่อว่าชัยชนะคือเกียรติยศ แต่สุดท้ายเรียนรู้ว่าศักดิ์ศรีอยู่ที่การยอมรับผิด พี่หมูถ่ายทอดออกมาได้หนักแน่น ด้วยหุ่นล่ำและเสียงทุ้มที่สั่งสมจากประสบการณ์นักแสดงกว่า40ปี ตัวละครนี้มีมิติครบ ทั้งดุ เศร้า สำนึกผิด และกลับตัวได้ทัน กลายเป็นบทที่ทำให้เราคิดถึงพ่อบ้านนอกที่ทุ่มเทแต่ลืมมองลูก

ฉายา พายุทุ่งนา
ฉายานี้ติดสุรพลแน่น เพราะทุกครั้งที่เขาโผงผางคือพายุที่พัดกวาดทุ่งนาให้สั่นคลอน เสียงตะโกนสั่งลูกน้องดังกึกก้อง ควายในคอกยังสะดุ้ง แต่ใต้พายุนั้นคือหัวใจที่รักบ้านเกิดสุดหัวใจ พี่หมูเล่นฉายานี้ออกมาได้ชัด ด้วยคิ้วขมวดและกำปั้นที่กำแน่นทุกครั้งที่พูดถึงเกียรติยศซุ้มควาย พายุของสุรพลพัดแรงตอนควายตายและสุรเดชทำผิด จนตัดขาดพ่อลูกกลางงานวัด แต่พายุก็สงบเมื่อเขายอมรับว่าตัวเองผิดที่กดดันลูกเกินไป ฉายานี้บอกเราว่าพายุจริงไม่ใช่เสียงดัง แต่คือความรักที่พลาดทางแล้วหันกลับมาได้ทัน

ข้อคิด เป้าหมายใหญ่ต้องไม่บังจิตใจคนข้างหลัง
สุรพลสอนว่าความสำเร็จที่ไล่ตามต้องไม่ทิ้งคนที่รักไว้ข้างหลัง เขาใส่ใจชัยชนะซุ้มควายจนลืมฟังสุรเดชที่กดดันจนริษยา ข้อคิดนี้ชัดในฉากตัดขาดพ่อลูกที่สุรพลร้องไห้คนเดียวในคอกควาย พี่หมูเล่นได้สะเทือน ด้วยน้ำตาที่กลั้นไม่อยู่ ข้อคิดนี้เตือนพ่อแม่ทุกคนว่าการผลักดันลูกต้องฟังหัวใจเขาด้วย ไม่งั้นพายุที่สร้างเพื่อปกป้องอาจพัดทำลายครอบครัวเอง สุดท้ายสุรพลกลับตัว ยอมให้สุรเดชขอโทษทิว และยืนเชียร์ข้างสนามแข่งขี่ควายอย่างภาคภูมิใจ

→ ฟ้าว์เฟี้ยว สุดสวิงริงโก้ รับบท สุรเดช

ฟ้าว์เฟี้ยว สุดสวิงริงโก้

ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของกำนันสุรพล รักสะดวกชอบสบาย หน้าตาหล่อเหลาแต่ใจร้อนไฟลุกทุกครั้งที่เห็นหนึ่งฤทัยยิ้มให้ทิว สุรเดชถูกเลี้ยงมาแบบเจ้าชายทุ่งนา พ่อคาดหวังสูงอยากให้เรียนจบไปบริหารบ้านเมือง แต่เขากลับชอบขี่มอเตอร์ไซค์ซิ่งไล่ควายเล่น เมื่อเจ้ารวยควายแชมป์ตายกะทันหัน สุรเดชอาสาไปยืมทุยจากทิว แต่เจอทิวปฏิเสธตรงๆ ความริษยาพุ่งปรี๊ด เขาเลยแอบลักทุยไปขายให้เสี่ยเกรียงไกรตอนกลางคืน หวังทำลายความสุขของคู่แข่งในใจ ฟ้าว์เฟี้ยวเล่นได้สมจริง ตาแดงก่ำตอนแอบปีนรั้วคอกควาย มือสั่นตอนรับเงิน แต่ลึกๆ สุรเดชเป็นคนดีนะ แค่กดดันจากพ่อที่โผงผางทุกวัน จนเขาคิดว่าต้องชนะทุกอย่างถึงจะรักลูก

เมื่อเรื่องบานปลาย ชาวบ้านแตกตื่น สุรเดชถึงเพิ่งรู้ว่าตัวเองทำพลาดใหญ่ ฉากร้องไห้ขอโทษพ่อกลางงานวัดคือจุดพีคที่ฟ้าว์เฟี้ยวถ่ายทอดออกมาได้สะเทือน ด้วยน้ำเสียงสั่นเครือและสายตาที่เคยหยิ่งกลายเป็นสำนึกผิด สุรเดชค่อยๆ เปลี่ยนจากตัวร้ายเป็นตัวช่วย เชียร์ทิวในสนามแข่งขี่ควาย สุดท้ายยอมรับความพ่ายแพ้และขอโทษทุยด้วยการกอดคอควายร้องไห้ ฟ้าว์เฟี้ยวใช้ประสบการณ์จากสายมูและพลังงานบวก ทำให้สุรเดชมีมิติครบทั้งฮา ดราม่า และเติบโต ตัวละครนี้สะท้อนเด็กบ้านนอกที่ถูกกดดันจนหลงทาง แต่ยังมีโอกาสกลับตัวได้เสมอ

ฉายา ไฟริษยาในคอกควาย
ฉายานี้ติดสุรเดชแน่น เพราะทุกครั้งที่ริษยาลุกคือไฟที่เผาคอกควายวอด ตั้งแต่เห็นหนึ่งฤทัยขี่หลังทุยหัวเราะร่วน สุรเดชก็จุดไฟในใจทันที ฟ้าว์เฟี้ยวเล่นฉายานี้ออกมาได้ชัด ด้วยคิ้วขมวดและปากเม้มทุกครั้งที่พูดชื่อทิว ไฟของสุรเดชพุ่งสูงตอนลักทุยกลางคืน มือจุดไฟแช็คส่องทาง แต่สุดท้ายไฟนั้นก็เผาใจตัวเองเมื่อพ่อตัดขาด ฉายานี้บอกเราว่าไฟริษยาไม่เคยชนะใคร แต่สุรเดชดับไฟได้ด้วยการยอมรับผิดและกอดทุยขอโทษ

ข้อคิด ความผิดพลาดคือครูที่โหดแต่จริง
สุรเดชสอนว่าการทำผิดเพราะกดดันไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นครูที่สอนให้โต เมื่อลักทุยไปขาย สุรเดชคิดว่าจะชนะ แต่กลับเสียพ่อ เสียเพื่อน เสียเกียรติ ข้อคิดนี้ชัดในฉากคุกเข่าขอโทษทิวหน้าชาวบ้าน ฟ้าว์เฟี้ยวเล่นได้สะเทือน ด้วยน้ำตาที่ไหลจริงๆ ข้อคิดนี้เตือนเราว่าอย่าปล่อยให้ความคาดหวังของคนอื่นจุดไฟริษยาในใจ สุรเดชเปลี่ยนจากเด็กเอาแต่ใจเป็นหนุ่มที่ยอมรับความพ่ายแพ้และเชียร์คู่แข่ง ใครเคยกดดันแบบนี้ ลองกอดควายตัวเองแล้วเริ่มใหม่

→ หนึ่งฤทัย ชัยอะทะ รับบท กระถิน

หนึ่งฤทัย ชัยอะทะ

อสม. สาวบ้านนอกคล่องแคล่ว พูดจาฉะฉาน ตรงไปตรงมาแบบไม่กั๊ก ติดสนิทกับทิวมาตั้งแต่เด็ก จนกลายเป็นคู่หูและที่ปรึกษาที่พร้อมช่วยเหลือทุกเมื่อโดยไม่ต้องร้องขอ กระถินคือคนที่รู้จักทิวดีที่สุด รู้ว่าเขาชอบกินอะไร รู้ว่าเขาจะเศร้าเมื่อไหร่ ตั้งแต่ทิวเสียแม่และน้ำอ้อย กระถินก็คอยอยู่ข้างๆ ทุกวัน เอาน้ำสมุนไพรไปให้ ช่วยดูแลทุยตอนทิวยังจมดิ่ง พี่หนึ่งฤทัยเล่นได้สมจริง ด้วยเสียงดังฟังชัดและท่าทางลุยๆ ฉะฉานแบบชาวบ้านแท้ ฉากด่ากำนันสุรพลตรงๆ คือจุดพีคที่ฮาแตก ฉากกอดทุยปลอบทิวคือซึ้งทะลุ กระถินไม่ใช่แค่ตัวฮา แต่เป็นกาวใจที่เชื่อมทุกคน เมื่อหนึ่งฤทัยมาจากเมือง กระถินคือคนแรกที่สอนให้เธอขี่ควายและปรับตัวเข้ากับทุ่งนา

เมื่อสุรเดชลักทุย กระถินลุยไปตามหาคนเดียวกลางคืน ถือไฟฉายตะโกนชื่อทุยจนคอแหบ พี่หนึ่งฤทัยถ่ายทอดออกมาได้แบบที่เรารู้สึกว่าเธอคือเพื่อนสนิทจริงๆ ด้วยรอยยิ้มกว้างและสายตาที่อบอุ่นทุกครั้งที่ช่วยทิว กระถินคอยเตือนสติทิวเรื่องหลักธรรมจากหลวงพ่อ คอยเป็นพยานรักระหว่างทิวกับหนึ่งฤทัย และคอยไกล่เกลี่ยตอนกำนันกับสุรเดชทะเลาะใหญ่ สุดท้ายกระถินคือคนที่ยืนเชียร์ข้างสนามแข่งขี่ควายดังที่สุด ตัวละครนี้มีมิติครบทั้งฮา เข้ม อบอุ่น และจริงใจ พี่หนึ่งฤทัยใช้ประสบการณ์นักแสดงละครพื้นบ้านทำให้กระถินดูเป็นคนบ้านนอกแท้แต่ใจกว้าง กลายเป็นบทที่ทำให้เราอยากกลับบ้านเกิดไปหาเพื่อนซี้เก่าๆ

ฉายา ลมพัดทุ่งที่พูดตรง
ฉายานี้ติดกระถินแน่น เพราะเธอคือลมพัดที่พัดพาความจริงมาทุกครั้ง พูดฉะฉานตรงไปตรงมาแบบไม่สนหน้าไหน ลมของกระถินพัดเบาๆ ตอนปลอบทิว แต่พัดแรงตอนด่าคนผิด พี่หนึ่งฤทัยเล่นฉายานี้ออกมาได้ชัด ด้วยปากที่เม้มและมือที่ชี้ทุกครั้งที่เตือนสติ ฉายานี้บอกเราว่าลมจริงไม่ใช่แค่เย็น แต่คือความตรงที่ทำให้ทุ่งนาสดชื่น

ข้อคิด เพื่อนแท้ไม่ต้องร้องขอ
กระถินสอนว่าเพื่อนแท้คือคนที่มาช่วยก่อนเราจะพูด เธอรู้ใจทิวทุกอย่าง ช่วยโดยไม่ต้องบอก ข้อคิดนี้ชัดในฉากที่กระถินวิ่งไปหาทิวตอนทุยหาย พี่หนึ่งฤทัยเล่นได้สะเทือน ด้วยน้ำตาที่กลั้นไว้ ข้อคิดนี้เตือนเราว่าอย่าปล่อยให้เพื่อนจมดิ่งคนเดียว กระถินเปลี่ยนจากเพื่อนเด็กเป็นครอบครัวที่สองของทิว ใครมีเพื่อนแบบนี้ จงรักษาไว้


ทุยจ๋า ภาค 2 การปกป้องมรดกวัฒนธรรมท่ามกลางโลกสมัยใหม่ หลังจากความสำเร็จของละคร ทุยจ๋า ในปี 2568 บนช่อง Thai PBS ที่สร้างกระแสชื่นชมจากผู้ชมด้วยการผสมผสานดราม่าโรแมนติกเข้ากับวัฒนธรรมการแข่งขี่ควายอย่างลงตัว หลายคนต่างสงสัยว่าถ้ามีภาค 2 จะเป็นอย่างไร

เนื้อเรื่องในภาค 2 จะเริ่มต้นหลายปีหลังจากตอนจบของภาคแรก ทิว (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) และหนึ่งฤทัย (นัฐรุจี วิศวนารถ) แต่งงานกันและมีลูกชายคนเล็กชื่อ “ทุยน้อย” ที่สืบทอดความผูกพันกับควายเหมือนพ่อ พวกเขาสร้างฟาร์มควายออร์แกนิกขึ้นในหมู่บ้าน โดยใช้ความรู้จากหนึ่งฤทัยที่เรียนจบธุรกิจมาผสมกับภูมิปัญญาท้องถิ่นของทิว ทำให้ฟาร์มกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากเมืองใหญ่

ทุย ควายตัวเอกจากภาคแรก ตอนนี้แก่ชราแต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของฟาร์ม โดยมีลูกหลานควายรุ่นใหม่ที่ทิวฝึกให้เข้าร่วมแข่งขี่ควายประจำปี อย่างไรก็ตาม โชคชะตาเล่นตลกอีกครั้งเมื่อบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่จากกรุงเทพฯ เข้ามาเสนอซื้อที่ดินในหมู่บ้านเพื่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม นำโดยตัวร้ายใหม่ “เสี่ยธนัท” ผู้บริหารหนุ่มทะเยอทะยานที่มองว่าวิถีชีวิตชาวนาเป็นอุปสรรคต่อความก้าวหน้า เสี่ยธนัทใช้กลอุบายกดดันชาวบ้านให้ขายที่ดิน รวมถึงปล่อยข่าวลือว่าฟาร์มของทิวกำลังล้มละลายจากภัยแล้งที่รุนแรงขึ้น ทำให้ทิวต้องเผชิญกับความสูญเสียอีกครั้ง เมื่อทุยป่วยหนักจากน้ำปนเปื้อนสารเคมีจากโรงงานใกล้เคียง

ท่ามกลางวิกฤต หนึ่งฤทัยใช้ความมั่นใจและทักษะธุรกิจของเธอในการรณรงค์ผ่านโซเชียลมีเดีย เพื่อดึงดูดพันธมิตรจากเมืองใหญ่มาช่วยปกป้องหมู่บ้าน ขณะที่สุรเดช (ฟ้าว์เฟี้ยว สุดสวิงริงโก้) กลับมาด้วยบทบาทใหม่ในฐานะนักกิจกรรมสิ่งแวดล้อม หลังจากสำนึกผิดจากภาคแรกและกลับตัวได้สำเร็จ เขาร่วมมือกับทิวเพื่อต่อต้านเสี่ยธนัท โดยมีกระถิน (หนึ่งฤทัย ชัยอะทะ) เป็นกำลังสำคัญที่คอยเชื่อมชาวบ้านเข้าด้วยกัน

ไคลแมกซ์ของเรื่องคือการแข่งขี่ควายระดับชาติที่เสี่ยธนัทใช้เป็นเดิมพัน หากทิวแพ้ ฟาร์มจะถูกยึด แต่หากชนะ ชาวบ้านจะได้เงินทุนจากรัฐบาลเพื่อพัฒนาอย่างยั่งยืน ทิวต้องฝึก “เจ้าแชมป์” ลูกหลานของทุยให้พร้อมประลองกับควายพันธุ์ดีจากบริษัทใหญ่ การแข่งครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องความเร็ว แต่เป็นการพิสูจน์ว่ามรดกวัฒนธรรมสามารถอยู่คู่กับโลกสมัยใหม่ได้ ระหว่างทาง เรื่องราวยังแทรกดราม่าครอบครัว เมื่อทุยน้อยอยากตามรอยพ่อแต่กลัวความล้มเหลว และหลักธรรมจากหลวงพ่อที่ช่วยเยียวยาจิตใจทุกตัวละคร