เมื่ออาถรรพ์แห่งบทเพลงไทยเดิมเริ่มบังเกิด จนมีผู้สังเวยชีวิต นักศึกษาสาวผู้อยู่ในวงดนตรีไทย และชายหนุ่มผู้เป็นทายาทรุ่นล่าสุด จึงต้องสืบหาความจริงที่ซ่อนอยู่ในบทเพลงนั้น จนตำนานความรักและโศกนาฏกรรมที่นำไปสู่ความตายถูกเปิดเผย การปลดปล่อยวิญญาณอาฆาต คือหนทางสุดท้ายที่พวกเขาต้องทำให้สำเร็จ
พรายสังคีต 2563
ละคร พรายสังคีต 2563 EP.1-15CH7+
ฉากเด็ด พรายสังคีต 2563
เพลงประกอบละคร พรายสังคีต 2563 ท่วมธรณี Ost.พรายสังคีต | ปนัดดา เรืองวุฒิ [Official MV]
การเปลี่ยนแปลงโจทย์เพลงที่จะใช้ในการประกวดดนตรีไทยระดัอุดมศึกษา ภายใต้ชื่องาน สังคีตศิลป์ถิ่นไทย อย่างกะทันหันจากเพลงบุหลันมาเป็นเพลงเขกมอญ ส่งผลให้ผู้ดูแลวงดนตรีอย่าง โฉมยงค์ (ปนัดดา เรืองวุฒิ) เป็นทุกข์มาก เพราะรู้ดีว่านักดนตรีจากมหาวิทยาลัยคู่แข่งมีความชำนาญในการบรรเลงเพลงแขกมอญชนิดหาตัวจับยาก นั่นทำให้ลูกศิษย์ของหล่อนตกเป็นรองตั้งแต่ยังไม่เริ่มแข่งด้วยซ้ำ วันแข่งขันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ หนทางเดียวในการแก้ไขปัญหาที่โฉมยงค์พอจะนึกออกก็คือหาเพลงแขกมอญฉบับที่แตกต่างออกไปจากของคู่แข่ง หล่อนมองให้เห็นใครที่จะช่วยได้นอกจาก ยชญ์ (อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์) อดีตนักศึกษาของภาควิชาสังคีตศิลป์
ยชญ์เป็นเจ้าของร้านเสียงสังคีต ซึ่งเป็นร้านขายเครื่องดนตรีไทยที่เก่าแก่มากที่สุดร้านหนึ่ง ที่สำคัญชายหนุ่มเป็นทายาทของตระกูล วิจิตรวาทิน ตระกูลนักดนตรีเก่าแก่ที่สืบทอดเชื้อสายกันมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น บรรพบุรุษผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของตระกูล นี้คือ ครูพุก (วัชรบูล ลี้สุวรรณ) ซึ่งเป็นเอตทัคคะด้านการบรรเลงซอสามสายในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยครูพุกได้ประพันธ์เพลงแขกมอญทางเดี่ยวซอสามสายเอาไว้ ชื่อเพลง ท่วมธรณี
ยชญ์มีผู้ช่วยสาวที่ชื่อ อิงอร (ณัฐชา นวลแจ่ม) ซึ่งยชญ์ชื่นชมในการทำงานนิสัยใจคอมาก โดยไม่รู้ว่าที่อิงอรมาทำงานกับยชญ์ก็เพื่อจะหาโอกาสขโมยโน้ตเพลงพรายคลั่ง ตามคำสั่งของ ปกรณ์ (พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์) แฟนหนุ่มผู้มีใบหน้าที่มีแผลเป็นที่น่ากลัวด้านหนึ่ง และเป็นเหลนของนายกล้า (พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์) ลูกชายบุญธรรมของ ครูเทิด (ศรรม เทพพิทักษ์) ปกรณ์เป็นหนึ่งในเหยื่อที่ตกอยู่ในบ่วงเวรกรรมจากคำสาปแช่งของครูเทิด ปกรณ์ผู้ซึ่งฝึกฝนสมาธิจนสามารถใช้ทิพจักขุญาณในการล่วงรู้อดีต ปัจจุบัน และอนาคต แต่ไม่ทันการณ์เพราะยชญ์ได้มอบสำเนาโน้ตเพลงทางเดี่ยวซอสามสายพร้อมทั้งบทร้องให้แก่โฉมยงค์เพื่อนำไปให้นักศึกษาฝึกซ้อมสำหรับการประกวดที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ โดยนักดนตรีที่จะทำการบรรเลงซอสามสายคือ เมญากร (พิมประภา ตั้งประภาพร) ส่วนผู้ทำการขับร้องคือ พวงแพร (ปริตา ไชยรักษ์)
ครั้งแรกที่เมญากรเห็นโน้ตและตั้งท่าจะสีซอ สายซอทั้งสามก็ขาดผึงพร้อมกัน ทั้งศิษย์ทั้งครูจึงต่างจุดธูปเพื่อขอขมาเจ้าของบทประพันธ์ผู้ล่วงลับไปแล้ว แต่ก็ยังคงเกิดเหตุการณ์แปลก ๆ ชวนให้เด็ก ๆ คิดไปว่าเพลงท่วมธรณีน่าจะมีอาถรรพ์อะไรสักอย่างโดยไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้ว คือการกระทำของดร.พิบูล (อุเทน พรหมมินทร์) เพื่อต้องการให้ทีมแพ้เพราะหวังตำแหน่งและหุ้นส่วนใหญ่กับมหาวิทยาลัยคู่แข่ง แต่ในที่สุดโฉมยงค์ก็จับได้ว่าเป็นการกระทำของดร. ทำให้เด็กเลิกหวาดกลัวและกลับมาซ้อมเพลงกันอย่างจริงจัง
ด้านปกรณ์นั่งสมาธิเห็นการตายของโฉมยงค์หลังการร้องเพลง ทำให้ปกรณ์รีบร้อนจะมาห้าม แต่เกิดวูบหมดสติต้องเข้าโรงพยาบาล พวงแพรไม่สบาย ทำให้โฉมยงค์ต้องร้องเพลงท่วมธรณีแทนไปก่อน และระหว่างที่ซ้อมอยู่คนเดียวในห้องซ้อมซึ่งตรงกับคืนวันเพ็ญพระจันทร์เต็มดวง โฉมยงค์เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดกับตัวเอง เลือดจำนวนมากไหลออกมาจากทวารทั้งเก้าของหล่อน แม้พยายามจะหยุดร้อง แต่กลับควบคุมตัวเองไม่ได้ หล่อนขาดใจตายในห้องดนตรีทันทีที่ร้องเพลงท่วมธรณีจบ เพราะอาถรรพ์จากคำสาปของเทิดซึ่งเป็นพี่ชายของครูพุก และเป็นเจ้าของบทประพันธ์อันแท้จริง และเป็นการปลุกวิญญาณของเทิดที่ถูกจองจำให้ออกมาได้ ตำรวจไม่สามารถหาการตายของโฉมยงค์ได้ และสุดท้ายก็ลงความเห็นว่าโฉมยงค์ตายเพราะภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ในขณะที่วิญญาณของเทิดได้พยายามตามหากล้าและ ดวง (ญาดา เทพนม) เพื่อจะแก้แค้นอีกครั้ง โดยไม่รู้ว่ากล้าได้กลับมาเป็นปกรณ์นั้นเอง
ยชญ์ยังคงต้องทำหน้าที่ในการซ้อมเพลงท่วมธรณีต่อไป ทั้ง ๆ ที่เขารู้สึกแปลก ๆ พวงแพรเองก็ไม่อยากร้อง แต่ในที่สุดเมื่อวันประกวดมาถึง พวงแพรก็ต้องร้องเพลงท่วมธรณี แต่แล้วทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อพวงแพรเองก็เสียชีวิตด้วยลักษณะอาการคล้ายกับโฉมยงค์บนเวทีการประกวดนั้นเอง ยชญ์และเมญากรเริ่มแน่ใจว่า เพลงท่วมธรณีต้องมีอาถรรพ์จริง ๆ ทั้งสองคนจึงเริ่มลงมือสืบ และในที่สุดก็ได้เจอกับปกรณ์ โดยมีอิงอรเป็นสื่อให้ได้พบกัน จนทำให้ได้รู้เรื่องราวเบื้องหลังของโน้ตเพลงท่วมธรณีว่าจริง ๆ แล้ว ผู้ประพันธ์เพลงนี้ก็คือครูเทิด ซึ่งเป็นพี่ชายของครูพุก ด้วยความแค้นในอดีตที่เกิดขึ้นกับกล้า ลูกชายบุญธรรมและดวงเมียรัก และที่ปกรณ์สามารถรู้เรื่องราวทุกอย่างได้ก็เพราะจากการเข้าฌานนั่งสมาธิที่มีหลวงพ่อเป็นคนสอนให้
ย้อนกลับไปสู่ปีพุทธศักราช 2435 หม้ายสาวลูกติดผู้สวยสะพรั่งนามว่า ดวง (ญาดา เทพนม) พาเจ้าแดงลูกชายวัยเจ็ดขวบมาขอเล่าเรียนระนาดเอกกับ ครูเทิด (ศรราม เทพพิทักษ์) เพียงครั้งแรกที่ครูเทิดเห็นหน้าแม่ดวงก็เกิดหลงรักในทันที เทิดเคยมีเมียมาแล้วคนหนึ่ง แต่หล่อนเสียชีวิตไปด้วยโรคเปลี่ยวดำ จากนั้นครูเทิดก็ครองตัวเป็นหม้ายมานานร่วมยี่สิบปี มุ่งมั่นในทางดนครี ไม่เคยชายตาแลหญิงใด ครูเทิดตัดสินใจรับเจ้าแดงไว้เป็นศิษย์ด้วยความหลงใหลในตัวแม่ของเด็กน้อย เขาแนะนำแม่ดวงให้รู้จักกับ กล้า (พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์) ลูกชายบุญธรรมทุกเขาเก็บมาชุบเลี้ยงตั้งแต่อ้อนแต่ออก กล้ารู้สึกคุ้นหน้าสตรีผู้นี้เป็นอย่างมาก แต่พยายามนึกเท่าไรก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ไหน เขาได้แต่เก็บความสงสัยไว้เงียบ ๆ
นอกจากกล้าแล้ว ครูเทิดยังแนะนำให้แม่ดวงรู้จักกับ พุก (วัชรบูล ลี้สุวรรณ) น้องชายของเขา พุกเป็นนักดนตรีซอสามสายผู้มากฝีมือ ได้รับการยอมรับในแวดวงนักดนตรีด้วยกัน พุกนั้นแตกต่างจากเทิดอย่างสิ้นเชิง เพราะเป็นชายเจ้าสำราญ รักอิสระ และค่อนข้างเจ้าชู้เรื่องสุรวนารีนั้นไม่เคยขาดตก เขาเดินทางไปเล่นดนตรีร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ ไม่ว่าจะเยื้องย่างไปแห่งหนตำบลใดเป็นต้องได้เมียที่นั่น พุกรู้ว่าพี่ชายหมายปองในตัวแม่ดวง และไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด กับการที่พี่ชายอยากได้แม่หม้ายมาทำเมีย เช่นเดียวกันกล้าที่ยินดีหากพ่อบุญธรรมจะได้คู่ชู้ชื่นมาคอยดูแลปรนนิบัติ ความสัมพันธ์ระหว่างครูเทิดกับแม่ดวงก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในเวลาชั่วไม่กี่เดือนแม่ดวงก็เข้ามาอยู่ในเรือนของครูเทิดในฐานะเมีย ส่วนเจ้าแดงก็กลายมาเป็นลูกชายบุญธรรมของครูเทิดอีกคน ทั้งพุกและกล้าต่างเอ็นดูเจ้าเด็กน้อยคนนี้มาก ท่ามกลางความชื่นมื่น ไม่มีใครรู้ว่าแท้จริงแล้วแม่ดวงคนนี้คือใคร
กระทั่งวันหนึ่งความจริงก็เริ่มปรากฏ เมื่อกล้าลองหยั่งเชิงถามเจ้าแดง และเด็กน้อยหลุดปากพูดความจริงออกมาว่า แท้จริงแล้ว ก่อนแม่ดวงจะย้ายเข้ามาในพระนคร หล่อนเป็นนางรำอยู่ที่อัมพวา ไม่ได้อยู่ที่อยุธยาเหมือนที่บอกใครต่อใคร ฉับพลันกล้าก็นึกได้ว่าเคยเจอผู้หญิงคนนี้ที่ไหนท เมื่อราวเจ็ดแปดปีก่อน กล้าเคยติดสอยห้อยตามพุกไปเล่นดนตรีที่อัมพวา ในงานเลี้ยงคืนหนึ่งมีคณะนางรำมาแสดง และพุกก็ไปติดพันนางรำคนหนึ่ง นางรำผู้นั้นชื่อแม่ดวง เมื่อนึกได้ว่าเคยพบกันที่ไหนมาก่อน ชายหนุ่มก็ปะติดปะต่อเรื่องราวทุกอย่างได้ และได้ข้อสรุปว่าแม่ดวงจงใจหลอกทุกคน หล่อนมาทอดสะพานและสานสัมพันธ์กับครูเทิดด้วยเหตุผลบางอย่าง หนำซ้ำยังแกล้งทำเป็นไม่เคยรู้จักพุกมาก่อน กล้านึกสงสัยว่าเจ้าแดงอาจจะเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพุกก็เป็นได้
คืนหนึ่งกล้ามีโอกาสได้คุยกับแม่ดวงตามลำพัง เขาตัดสินใจถามเรื่องนี้และย้ำว่าหากแม่ดวงไม่ไปสารภาพความจริงกับทุกคน เขานี่แหละจะแฉแม่ดวงเอง ทั้งสองคนโต้เถียงกันโดยไม่รู้สักนิดว่า สิน (อิทธิพล หวานดี) นักดนตรีรุ่นพี่ในวงที่แอบอิจฉากล้ามานาน แอบฟังทุกคำพูดอยู่ไม่ไกล หลังจากกล้าผละไปจากแม่ดวงแล้ว สินจึงฉวยโอกาสนั้นเข้าไปแนะนำแม่ดวงว่า หากอยากจะปิดปากกล้าให้สนิท ก็ให้ใช้ความสาวความสวยของแม่ดวงให้เป็นประโยชน์ เพราะผู้ชายนั้นจะพ่ายแพ้ต่อเสน่ห์และมารยาหญิง หากมัดใจกล้าได้สำเร็จ ก็ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะปากพล่อยเอาความลับของแม่ดวงไปบอกใคร
แม่ดวงรู้สึกเป็นกังวลอย่างมาก เหตุผลแท้จริงที่นำพาหล่อนมาที่นี่ เป็นเพราะหล่อนอยากจะเจอพุก ผู้ชายที่หล่อนรักและเป็นพ่อของเจ้าแดง หล่อนสงสารลูกที่ต้องกำพร้าพ่อ ถูกล้อถูกหยามว่าเป็นลูกไม่มีพ่อ หล่อนแค่อยากให้เจ้าแดงได้พบเจอพ่อแท้ ๆ สักครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับคือสายตาว่างเปล่าของพุก วันที่ครูเทิดแนะนำให้หล่อนกับพุกรู้จักกัน พุกไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ ที่บ่งบอกว่าจดจำหล่อนได้เลยสักนิด เขาเพียงยิ้มทักทาย และเอ่ยเย้าเรื่องที่พี่ชายของเขาชื่นชมในตัวหล่อน เมื่อหนุ่มเจ้าสำรวญรักสนุกอย่างพุกจำจดหล่อนไม่ได้ แม่ดวงจึงทำได้เพียงซ่อนความชมชื่น หล่อนเริ่มมองหาหนทางอื่นที่จะให้ลูกชายได้อยู่ใกล้ชิดพ่อ ท้ายที่สุดหล่อนก็ตัดสินใจใช้ความรักของครูเทิดเป็นเครื่องมือ หล่อนตกลงปลงใจกับครูเทิด และได้พาลูกชายย้ายเข้ามาอยู่ร่วมชายคาเดียวกับพุกสมความตั้งใจ
แม่ดวงคิดจะเก็บความลับทั้งหมดนี้ไปจนตัวตาย แต่คิดไม่ถึงเลยว่ากล้าจะจำหล่อนได้ หากเขาเอาความจริงไปเปิดเผย หล่อนกับลูกชายคงถูกตะเพิด ความฝันที่วาดหวังไว้คงสลาย เจ้าแดงคงยิ่งเสียใจหนัก แม่ดวงใคร่ครวญถึงคำแนะนำของสิน หากไม่มีทางเลือกหล่อนคงต้องใช้ความสวยและเรือนร่างนี้แหละเป็นเครื่องปิดปากกล้า
ระหว่างนั้นเองสินก็ไปยุยงครูเทิด ว่าแม่ดวงกับกล้าลักลอบคบชู้กัน แรกเริ่มเทิดไม่เชื่อ ทั้งยังโมโหจนเกือบจะตะบันหน้าคนพูด แต่พอสินยืนกรานหนักแน่น หัวโจของเทิดก็หวั่นไหว เพราะขนาดตัวเขาเองไม่ชายตาแลสตรีใดมาเกือบยี่สิบปี ยังใจอ่อนยวบเมื่อมาเจอเสน่ห์ของแม่ดวง แล้วนับประสาอะไรกับชายที่เพิ่งแตกเนื้อหนุ่มอย่างกล้า ความระแวงเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของครูเทิดอย่างเงียบ ๆ เขาคอยจับตาดูพฤติกรรมของเมียรักและลูกชายบุญธรรมอยู่ห่าง ๆ ยิ่งเมื่อสังเกตเห็นว่ากล้าชอบลอบมองแม่ดวงเป็นระยะ เขาก็ยิ่งหวั่นไหว เกรงคำพูดของสินจะเป็นจริง
และแล้ววันแห่งความย่อยยับก็เดินทางมาถึง เมื่อแม่ดวงแอบย่องออกจากห้องกลางดึกคืนหนึ่งเพื่อไปหากล้าที่ห้องนอน หล่อนเปลือยอกตั้งใจจะบำเรอกามให้กล้า แต่ชายหนุ่มไม่เล่นด้วย กล้ามีคนรักอยู่แล้วชื่อ แม่วัน (ณัฐชา นวลแจ่ม) และเขาก็ไม่เคยคิดจะทรยศพ่อบุญธรรมของตัวเอง แม่ดวงนั้นจนปัญญา หล่อนได้แต่ร่ำไห้ ก้มกราบวิงวอนชายหนุ่ม หล่อนแค่อยากให้เจ้าแดงได้อยู่ใกล้พุก หล่อนสัญญาว่าจะไม่นอกใจครูเทิด จะปรนนิบัติและทำหน้าที่เมียอย่างดี จะมองพุกเป็นเพียงน้องผัว ขอให้กล้าเห็นใจหล่อนและเห็นแก่เจ้าแดง กล้ารับฟังด้วยความสะเทือนใจ เขาขอร้องไห้แม่ดวงนุ่งผ้าผ่อนให้เรียบร้อย พร้อมกับรับปากว่าจะไม่บอกเรื่องนี้แก่ใคร หากแม่ดวงจะซื่อสัตย์ต่อพ่อของเขาตลอดไป เขาก็พร้อมจะลืมเรื่องในอดีต เพื่ออนาคตที่สวยงามของทุกคน ทว่าดูเหมือนจะไม่มีคำว่าอนาคตสำหรับกล้าและแม่ดวงอีกต่อไป เพราะตอนนั้นเองครูเทิดผลักประตูห้องกล้าเข้ามา และภาพที่เห็นคือแม่ดวงที่ยังเปลือยอกอยู่กับกล้าตามลำพัง ความโกรธเกรี้ยวรุนแรงทำให้ครูเทิดสั่งให้บ่าวไพร่จับตัวหญิงชั่วชายโฉดไปขังไว้ เขาพยายามเปิดโอกาสให้กล้าพูดความจริง แต่กล้ากลับเอาแต่นิ่งเงียบ ชายหนุ่มรับปากแม่ดวงไว้แล้วว่าจะไม่แพร่งพรายความลับของหล่อน เขาก็ทำตามคำพูด แม่ดวงคิดจะสารภาพความจริงเพื่อช่วยกล้าให้พ้นผิด แต่กล้าห้ามไว้ เพราะเห็นว่าเปล่าประโยชน์ ในเมื่อพุกจำแม่ดวงไม่ได้ ก็คงไม่มีทางยอมรับแม่ดวงในฐานะเมียหรือแม่ของลูก ยิ่งรื้อฟื้นอดีตไปก็มีแต่จะยิ่งทำร้ายจิตใจแม่ดวงและเจ้าแดงเท่านั้นเอง
ทางด้านพุกก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ความจริงประการหนึ่งที่เขาไม่เคยบอกใครก็คือ เขาจำแม่ดวงได้ตั้งแต่แวบแรกที่เห็น ในชีวิตนี้เขาผ่านผู้หญิงมานับไม่ถ้วน มีจำนวนไม่น้อยที่เขาสานสัมพันธ์ด้วยแล้วก็ลืมเลือนกันไป จะมีแค่ไม่ก็คนเท่านั้นที่เขารู้สึกหลงรักอย่างจริงจัง หนึ่งในนั้นก็คือแม่ดวง นางรำจากอัมพวา พุกรู้จักตัวเองดี เขาเป็นคนอ่อนแอ กลัวการผิดหวัง กลัวจะถูกทอดทิ้ง จึงเที่ยวหว่านเสน่ห์ใส่ผู้หญิงคราวละหลายราย และเมื่อรู้สึกว่าตัวเองกำลังถลำลึกกับความสัมพันธ์ใด เขาก็จะสะบั้นความสัมพันธ์นั้นเสีย เขาไม่อยากตกเป็นทาสความรัก ไม่อยากกลายเป็นคนอ่อนแอ นั่นคือเหตุผลที่เขาตัดสินใจจากแม่ดวงมา บัดนี้พุกแทบไม่อยากเชื่อว่าคนกตัญญูอย่างกล้าน่ะหรือ จะลักลอบเป็นชู้กับแม่ดวงได้ แต่เมื่อหลักฐานมันมัดตัวแน่นหนาถึงเพียงนี้ ต่อให้ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
อีกคนหนึ่งที่ทุกข์ใจกับเรื่องนี้คือแม่วัน คนรักของกล้า หล่อนกำลังอุ้มท้องลูกของกล้า จึงมาขอร้องให้พุกช่วยพาไปพบกล้า เพราะมีแต่พุกคนเดียวเท่านั้นที่รู้ว่ากล้าถูกขังอยู่ที่ไหน สุดท้ายพุกก็ใจอ่อนยอมพาแม่วันไป ตอนที่ทั้งสองคนไปถึง กล้าอยู่ในสภาพสะบักสะบอมจากการถูกซ้อมและไม่ได้รับการรักษา ส่วนแม่ดวงก็ดูอ่อนแรงเต็มที่ เพราะขาดข้าวขาดน้ำ พุกมองสภาพผู้หญิงที่คนรักด้วยความรู้สึกผิด เขาไม่อาจนิ่งเฉยปล่อยให้หล่อนตายไปต่อหน้าต่อตาได้ บางทีนี้อาจเป็นโอกาสเดียวที่เขาจะไถ่บาปได้ คืนนั้นพุกตัดสินใจช่วยพากล้า แม่วัน แม่ดวง และเจ้าแดง หนีกลับไปบ้านแม่ดวงที่อัมพวา
ทางด้านครูเทิดก็จมอยู่ในห้วงทุกข์ เขานึกถึงความดีและความกตัญญูของลูกชายบุญธรรมที่เขาชุบเลี้ยงมากับมือ พลันก็รู้สึกว่าตัวเองทำรุนแรงกับลูกชายเกินไป อย่างน้อยก็น่าจะได้ไต่สวนพูดคุยกันดี ๆ คิดได้ดังนั้นเทิดจึงรีบไปที่ห้องขังท้ายป่า เพื่อจะพบว่ากล้ากับแม่ดวงหนีไปแล้ว จากความเมตตา แปรเปลี่ยนเป็นความอาฆาต เพราะคิดว่าจำเลยทั้งคู่พากันหนีไปเสวยสุข เขาสาบานกับตัวเองว่าจะตามล่าหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นจนกว่ามันทั้งสองจะตาย
ครูเทิดเหมือนคนที่ตกนรกทั้งเป็น วัน ๆ เขาเอาแต่ดื่มเหล้า ไม่พูดไม่จากับใคร เว้นแต่สบถคำหยาบ ด่าทอสาปแช่งกล้าและแม่ดวง ข้าวปลาอาหารที่บ่าวไพร่หามาให้ก็ไม่แตะต้อง แม้กระทั่งดนตรีไทยที่เคยเป็นดั่งชีวิตจิตใจเขาก็ไม่เหลียวแล งานจ้างงานแสดงที่เคยรับไว้ก็เบี้ยวไม่ยอมไปตามนัด เขากลายสภาพเป็นคนไม่เต็มคน ร่างกายผ่ายผอมลงเรื่อย ๆ เขาส่งคนออกไปตามล่าตัวกล้ากับแม่ดวง แต่หาตัวทั้งสองไม่พบ จนกระทั่งวันหนึ่ง ครูเทิดไปพบชายสูงวัยผู้หนึ่งซึ่งเป็นอดีตหมอคุณไสย เพื่อขอคาถาที่จะใช้ในการกำจัดกล้าและแม่ดวง ในเมื่อตามหาตัวไม่เจอ เขาก็จะใช้คุณไสยนี่แหละเล่นงานหญิงร้ายชายเลวคู่นั้นให้ตายตกไปตามกัน เดิมทีหมอคุณไสยผู้นี้ไม่ยอมให้ความร่วมมือ แต่ครูเทิดถือไพ่เหนือกว่า สุดท้ายจึงสามารถบีบบังคับอีกฝ่ายได้สำเร็จ ถึงกระนั้นหมอคุณไสยก็ได้ย้ำเตือนเรื่องอันตรายจากการใช้คุณไสย คนที่จะยุ่งเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้จะต้องมีวิชาอาคมไว้ป้องกันตน เพื่อไม่ให้ผลเสียย้อนเข้าตัว แต่ครูเทิดไม่มีวิชาอาคมใด ๆ เลย เขามีเพียงความแค้นเป็นที่ตั้งเท่านั้น
หลังได้คาถาที่ตนต้องการมาแล้ว ครูเทิดก็เปลี่ยนจากคนที่เอาแต่กินเหล้าเมาหัวราน้ำ กลับมาเป็นชายผู้มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แตะเหล้ายาอีกเลย จนใครต่อใครหลงคิดว่าบาดแผลในใจของเขาทุเลาเบาบางลงแล้ว ครูเทิดใช้เวลาในแต่ละวัน หมดไปกับการแต่งบทร้องเพลงใหม่ขึ้นมา บทเพลงที่บอกเล่าความรู้สึกนึกคิดของเขาพร้อมทั้งตั้งชื่อว่า ท่วมธรณี เขาตั้งสัตย์ต่อตัวเองว่าจะขอผูกพยาบาท ตามไล่ล่ากล้าและดวง รวมถึงหน่อเนื้อเชื้อไขของพวกมันทั้งสองทุกชาติไป และหากเขาจะจองจำวิญญาณของตัวเองไว้กับอะไรสักอย่าง สิ่งนั้นต้องไม่มีวันสูญสลายไปตามกาล นั่นก็คือดนตรีที่ไม่มีวันตายจากโลกนี้ ครูเทิดสิ้นใจตายในระหว่างทำพิธีกรรมตัวเองด้วยอาการเลือดออกจากทวารทั้งเก้า เช่นเดียวกับกล้าและแม่ดวงที่แม้จะรอดพ้นจากการคุมขังไปได้แล้ว แต่ไม่อาจหนีพ้นอำนาจแห่งคุณไสย ทั้งสองคนสิ้นใจตายในเวลาเดียวกับครูเทิด ด้วยอาการเดียวกันทุกประการ
ทั้งหมดพยายามที่จะช่วยกันหาทางแก้ไข เรื่องราวต่าง ๆ แต่ไม่ทันการ เพราะเทิดได้เจอกับปกรณ์ก่อน และเห็นว่าปกรณ์หน้าตาเหมือนกล้าก็รู้ทันทีว่ากล้ากลับชาติมาเกิด จึงจับตัวปกรณ์ไปขังไว้ และพยายามตามหาดวงเพื่อจะให้ทั้งคู่มาชดใช้กรรมในชาตินี้อีก แต่ก็หาดวงไม่เจอ ในระหว่างที่ปกรณ์ถูกขังอยู่ ปกรณ์พยายามนั่งสมาธิเพื่อค้นหาความจริงในอดีต เพราะเขาไม่เชื่อว่ากล้าและดวงจะเป็นชู้กัน และได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้ ทำให้ปกรณ์ติดตามเสียงผู้หญิงไป จนได้พบที่คุมขังแต่ไม่สามารถเข้าไปได้ อิงอรร้อนใจที่ปกรณ์หายไปจึงบอกยชญ์ ยชญ์และเมญากรสงสัยว่าปกรณ์อาจจะถูกขังอยู่ที่เรือนเก่าของเทิด และในที่สุดยชญ์ก็เข้ามาช่วย แต่ก็โดนเทิดเล่นงานจนเกือบแย่ โชคดีที่ได้หลวงพ่อมาช่วยไว้ และขังวิญญาณเทิดเอาไว้ในเรือน เพื่อไม่ให้ออกมา
ปกรณ์เล่าให้หลวงพ่อฟังเรื่องที่คุมขัง และได้อาศัยบารมีของหลวงพ่อไปที่นั้นอีกครั้ง จนได้พบว่าเสียงผู้หญิงที่ได้ยินก็คือวิญญาณของดวงที่ถูกกักขัง ไม่ได้ไปผุดไปเกิดจากอำนาจไสยดำที่เทิดได้สาปแช่งไว้ และดวงได้เล่าความจริงให้ปกรณ์ฟัง ว่าเรื่องทุกอย่างเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่หลวงพ่อและปกรณ์ก็ไม่สามารถที่จะช่วยดวงออกมาจากที่คุมขังได้ หลวงพ่อบอกว่ามีเทิดคนเดียวที่จะไปช่วยดวงได้
ปกรณ์กลับมาเล่าให้ยชญ์ เมญากร และอิงอรฟัง พร้อมทั้งไปหาพุก เพื่อสอบถามความจริง พุกจึงยอมเล่าเรื่องในอดีตที่ตัวเองเคยมีความสัมพันธ์กับแม่ดวง และตกลงใจที่ไปบอกความจริงกับเทิด ทั้งหมดพากันไปหาเทิด แต่ด้วยความที่เทิดโกรธที่โดนหลวงพ่อขังไว้ จึงไม่ยอมฟัง และจับเมญากรกับอิงอรไปกักขังไว้ ยชญ์และปกรณ์จะสามารถช่วยคนรักของเขาได้หรือไม่ และพุกจะยอมสารภาพความจริงในอดีตให้เทิดได้รับรู้หรือไม่ ความอาฆาตของเทิดจะจบลงตรงที่ใด ต้องติดตามชมกันต่อได้ในละคร พรายสังคีต
บทประพันธ์โดย : เจนศิลป์
บทโทรทัศน์โดย : ณ.ภัทรพร
กำกับการแสดงโดย : เอกภพ ตันหยงมาศกุล
ผลิตโดย : บริษัท มุมใหม่ จำกัด
นักแสดง
อาทิตย์ ตั้งวิบูลย์พาณิชย์ รับบท ยชญ์
พิมประภา ตั้งประภาพร รับบท เมญากร
ศรราม เทพพิทักษ์ รับบท ครูเทิด
พีรวัศ กุลนันท์วัฒน์ รับบท ปกรณ์ (กล้า)
ณัฐชา นวลแจ่ม รับบท อิงอร (วัน)
วัชรบูล ลี้สุวรรณ รับบท พุก
ญาดา เทพนม รับบท ดวง
ปนัดดา เรืองวุฒิ รับบท โฉมยงค์
ปริตา ไชยรักษ์ รับบท พวงแพร
วริศรา กาญจน์วีระโยธิน รับบท มิ่งกมล
ชรัส เฟื่องอารมย์ รับบท อ่ำ
สุดา ชื่นบาน รับบท จำเนียร
อุเทน พรหมมินทร์ รับบท ดร.พิบูล
บุญโทน คนหนุ่ม รับบท เข้ม
รตวรรณ ออมไธสง รับบท รื่น
นักแสดงรับเชิญ
ขุนอิน โตสง่า รับบท อาจารย์มาโนช
สิริลภัส กองตระการ รับบท ราตรี
จตุรงค์ โกลิมาศ รับบท พ่อวัน
ฐกร พรหมสถิตกุล รับบท ธวัช
กิตติพจน์ เพชรศิริ รับบท ต้อง
อิทธิพล หวานดี รับบท สิน