ละครพื้นบ้าน แม่ปลาบู่ 2568 ละครพื้นบ้านไทย ที่รีเมคจากนิทานพื้นบ้านไทยชื่อดัง “ปลาบู่ทอง” ซึ่งออกอากาศทางช่อง 7HD เริ่มตอนแรกเมื่อวันเสาร์ที่ 1 มีนาคม 2568 โดยผลิตโดยค่ายสามเศียร บทประพันธ์ดัดแปลงโดย “บุราณ” และเขียนบทโทรทัศน์โดย “แป้นพิม” กำกับการแสดงโดย ภิพัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์ ละครเรื่องนี้ยังคงรักษาเสน่ห์ของนิทานพื้นบ้านดั้งเดิม แต่มีการปรับเนื้อหาให้ทันสมัยและเข้มข้นขึ้นเพื่อดึงดูดผู้ชมยุคใหม่
เรื่องราวเริ่มต้นในอดีตกาลที่เมืองพาราณสี หมู่บ้านแห่งหนึ่ง “เศรษฐีภาติกะ” เป็นชายขี้เหนียวที่มีอาชีพจับปลา เขามีภรรยาสองคน คือ “นางขนิษฐา” หญิงสาวจิตใจดี อ่อนโยน มีลูกสาวชื่อ “เอื้อย” และ “นางขนิษฐี” ภรรยาอีกคนที่จิตใจร้าย อิจฉาริษยา มีลูกสาวชื่อ “อ้าย” (นักแสดงบทอ้ายและเอื้อยเป็นตัวละครเดียวกันในร่างที่แตกต่าง) ความขัดแย้งในครอบครัวเริ่มต้นจากความอิจฉาของขนิษฐีที่ภาติกะมักให้ความรักและความสนใจกับขนิษฐามากกว่า
วันหนึ่ง ภาติกะพาขนิษฐาไปจับปลาที่คลอง แต่เหวี่ยงแหเท่าไหร่ก็ได้เพียง ปลาบู่ทอง ที่ตั้งท้องตัวเดียว ขนิษฐาเกิดความสงสาร ขอร้องให้ปล่อยปลากลับคืนสู่คลอง แต่ภาติกะโกรธจัดที่ขนิษฐาขัดใจ เกิดการโต้เถียงจนเขาบันดาลโทสะ ใช้ไม้พายฟาดขนิษฐาจนตกน้ำและจมน้ำตายต่อหน้า ภาติกะไม่ช่วยเหลือ ด้วยอิทธิพลของความโกรธและมนต์ดำที่ขนิษฐีอาจมีส่วนเกี่ยวข้อง เมื่อกลับบ้าน เขาโกหกเอื้อยว่าแม่หนีตามชายอื่นไป เอื้อยไม่เชื่อ แต่ก็ไร้พลังจะโต้แย้ง
หลังจากนั้น ชีวิตของเอื้อยตกอยู่ในความทุกข์ยาก ขนิษฐีและอ้ายกลั่นแกล้งและใช้งานเธออย่างหนัก ภาติกะรู้แต่ไม่สนใจ เอื้อยมักไปนั่งร้องไห้ที่ริมน้ำ คิดถึงแม่ที่จากไป จนวันหนึ่งเธอได้ยินเสียงแม่เรียกจากปลาบู่ทองที่ว่ายมาหา ปลาบู่ทองนี้คือวิญญาณของขนิษฐาที่กลับมาเพื่อปกป้องลูกสาว ด้วยพลังแห่งความรักและความเมตตา ขนิษฐากลายเป็นแม่ปลาบู่ที่คอยช่วยเหลือเอื้อยในยามยาก
ต่อมา เอื้อยเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและมีจิตใจดี เธอได้พบกับ “เจ้าชายพรหมทัต” ซึ่งตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกเห็น เรื่องราวดำเนินไปด้วยอุปสรรคจากขนิษฐีและอ้ายที่พยายามขัดขวางความรักนี้ รวมถึงการเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการตายของขนิษฐา ด้วยความช่วยเหลือจากแม่ปลาบู่และความดีของเอื้อย เธอสามารถเอาชนะความชั่วร้ายและได้ครองคู่กับเจ้าชายในที่สุด
จุดเด่นของละครพื้นบ้าน แม่ปลาบู่ 2568
• ความขัดแย้งในครอบครัว แสดงถึงความอิจฉาริษยาและการต่อสู้ระหว่างความดีและความชั่วผ่านตัวละครขนิษฐาและขนิษฐี
• พลังแห่งความรักของแม่ แม่ปลาบู่เป็นสัญลักษณ์ของความเสียสละและการปกป้องลูก แม้จะอยู่ในร่างปลา
• การเดินทางของเอื้อย จากเด็กสาวที่ถูกกดขี่ สู่หญิงสาวที่แข็งแกร่งและได้พบรักแท้
• แฟนตาซีและอภินิหาร การปรากฏตัวของปลาบู่ทองและพลังเหนือธรรมชาติเพิ่มสีสันให้เรื่องราว
“ละครพื้นบ้าน แม่ปลาบู่ 2568” ผสมผสานความเป็นละครพื้นบ้านแบบดั้งเดิมเข้ากับการเล่าเรื่องที่ทันสมัย เน้นภาพสวย ฉากอลังการ และการแสดงที่เข้มข้นจากนักแสดงนำอย่าง ม่อน-ปูเป้ ที่กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งหลังจากห่างหายไป 7 ปี ละครเรื่องนี้ไม่เพียงมอบความบันเทิง แต่ยังสอดแทรกคติสอนใจเรื่องความกตัญญู ความดีงาม และการชดใช้กรรม
ต่อไปนี้คือเนื้อหาของละครพื้นบ้าน “แม่ปลาบู่” เวอร์ชัน 2568 ที่ออกอากาศทางช่อง 7HD โดยอิงจากข้อมูลที่เผยแพร่และโครงเรื่องที่คาดเดาได้จากนิทานพื้นบ้าน “ปลาบู่ทอง” และการดัดแปลงในรูปแบบละครโทรทัศน์แต่จะสรุปเหตุการณ์สำคัญตามลำดับการเล่าเรื่อง
ความโศกนาฏกรรมของขนิษฐา
ละครเปิดฉากด้วยชีวิตครอบครัวของ “ภาติกะ” เศรษฐีขี้เหนียวที่มีเมียสองคน “นางขนิษฐา” เป็นเมียที่รักลูกสาวชื่อ “เอื้อย” ส่วน “นางขนิษฐี” เป็นเมียที่อิจฉาและร้ายกาจ วันหนึ่ง ภาติกะพาขนิษฐาไปจับปลา แต่ได้แค่ ปลาบู่ทอง ตัวเดียว ขนิษฐาขอให้ปล่อยปลาเพราะสงสาร แต่ภาติกะโกรธที่เธอขัดใจ เขาใช้ไม้พายตีเธอจนตกน้ำตาย ขนิษฐีอาจมีส่วนรู้เห็นหรือใช้มนต์ดำกระตุ้นความโกรธของเขา
ภาติกะกลับบ้าน โกหกเอื้อยว่าแม่หนีไปกับชายอื่น เอื้อยเสียใจแต่ต้องอยู่อย่างอดทนกับการกลั่นแกล้งของขนิษฐีและ อ้าย ลูกสาวของเธอ
การปรากฏตัวของแม่ปลาบู่
เอื้อยมักไปนั่งร้องไห้ที่คลอง และได้ยินเสียงแม่เรียกจากปลาบู่ทอง ซึ่งแท้จริงคือวิญญาณของขนิษฐาที่กลับมาในร่างปลาเพื่อปกป้องลูก แม่ปลาบู่เริ่มช่วยเหลือเอื้อย เช่น กลายร่างเป็นคนมาช่วยงานบ้าน หรือเสกของวิเศษให้เอื้อยใช้เอาตัวรอดจากการถูกใช้งานหนักจากขนิษฐี
ในขณะเดียวกัน ขนิษฐีเริ่มสงสัยในความเปลี่ยนแปลงของเอื้อย และพยายามสืบหาความจริง
ความรักของเจ้าชายและอุปสรรค
“เจ้าชายพรหมทัต” เดินทางผ่านหมู่บ้านและพบเอื้อยขณะเธอกำลังทำงาน เขาตกหลุมรักความงามและจิตใจดีของเธอทันที ขนิษฐีและอ้ายรู้เรื่องนี้ จึงวางแผนขัดขวาง โดยให้อ้ายปลอมตัวเป็นเอื้อยเพื่อหลอกเจ้าชาย แต่เจ้าชายรู้ทันเพราะสัมผัสได้ถึงความแตกต่างในจิตใจ
ขนิษฐีใช้วิชามนต์ดำเพื่อแย่งชิงเจ้าชาย และพยายามกำจัดเอื้อยโดยล่อเธอไปฆ่าที่คลอง แต่แม่ปลาบู่ช่วยไว้ได้
การเปิดเผยความจริงและการลงโทษ
เอื้อยและเจ้าชายร่วมมือกันสืบหาความจริงเรื่องการตายของขนิษฐา แม่ปลาบู่ปรากฏตัวในฝันของเอื้อย บอกเล่าความจริงทั้งหมด ด้วยความช่วยเหลือจากเจ้าชาย เอื้อยเผชิญหน้ากับภาติกะและขนิษฐี ภาติกะสำนึกผิดเมื่อเห็นวิญญาณขนิษฐากลับมาในร่างปลาบู่ เขายอมรับผิดและขอโทษลูกสาว
ขนิษฐีและอ้ายพยายามหนี แต่ถูกมนต์ดำของตัวเองสะท้อนกลับ กลายเป็นโทษทัณฑ์ตามกฎแห่งกรรม (อาจกลายร่างเป็นสัตว์หรือตายอย่างน่าสยดสยอง)
ตอนจบ ชัยชนะของความดี
เอื้อยและเจ้าชายแต่งงานกันอย่างมีความสุข แม่ปลาบู่ปรากฏตัวครั้งสุดท้ายเพื่ออวยพรลูกสาว ก่อนที่วิญญาณของขนิษฐาจะไปสู่สุขคติ ภาติกะอาจได้รับการไถ่โทษด้วยการใช้ชีวิตที่เหลือเพื่อชดใช้ความผิด หรือในบางกรณีอาจตายไปพร้อมกับขนิษฐี ละครปิดฉากด้วยภาพครอบครัวของเอื้อยและเจ้าชาย ที่เติบโตในความรักและความดีงาม
ความตื่นเต้นและลุ้นระทึก การปรากฏตัวของแม่ปลาบู่ในร่างปลาทองที่แปลงเป็นมนุษย์ได้ หรือการใช้พลังเหนือธรรมชาติช่วยเอื้อย ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและอยากติดตามว่าแม่จะช่วยลูกสาวจากความลำบากได้อย่างไร ความร้ายกาจของขนิษฐีและอ้ายที่ใช้มนต์ดำขัดขวางเอื้อยและเจ้าชาย ทำให้ลุ้นว่าความดีจะชนะได้ยังไง บางฉากอาจถึงขั้นนั่งไม่ติดเก้าอี้!
ความซาบซึ้งและน้ำตาไหล ฉากที่แม่ปลาบู่เสียสละและปกป้องเอื้อย แม้จะอยู่ในร่างปลา เป็นจุดที่สะเทือนใจมาก โดยเฉพาะตอนที่เอื้อยร้องไห้เรียกแม่ที่ริมคลอง แล้วแม่ปรากฏตัวมาในรูปแบบวิญญาณหรือร่างปลา ผู้ชมที่อินกับความสัมพันธ์แม่ลูกอาจเสียน้ำตาได้ง่าย ๆ
การที่เอื้อยอดทนต่อความทุกข์ยาก และสุดท้ายได้ครองรักกับเจ้าชายพรหมทัต เป็นตอนจบที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสมหวัง
ความสะใจและความยุติธรรม การลงโทษตัวร้าย เมื่อขนิษฐีและอ้ายได้รับผลกรรมจากความชั่วของตัวเอง (อาจกลายร่างเป็นสัตว์หรือตายอย่างน่ากลัว) ผู้ชมรู้สึกสะใจที่เห็นความยุติธรรมเกิดขึ้นตามแบบฉบับละครพื้นบ้าน ถ้าภาติกะยอมรับผิดและชดใช้กรรม ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจอาจผสมกับความรู้สึกว่า “สมน้ำหน้า” ที่เขาต้องชดใช้สิ่งที่ทำกับขนิษฐา
ความเพลิดเพลินจากภาพและการแสดง โปรดักชันสวยงาม ฉากที่ถ่ายทำริมคลอง บ้านเรือนแบบโบราณ และการใช้ CG ในฉากแฟนตาซีของแม่ปลาบู่ ทำให้รู้สึกเพลินตาและสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพื้นบ้านที่ทันสมัย และการกลับมาร่วมงานกันของม่อน สุรศักดิ์ และปูเป้ เกศรินทร์ ในบทคู่รักเจ้าชายและเอื้อย เป็นจุดที่แฟน ๆ ละครชื่นชอบ เพราะทั้งคู่ถ่ายทอดความรักและความผูกพันได้อย่างน่ารักและลงตัว
ความรู้สึกถึงคุณค่าทางวัฒนธรรม คติสอนใจ ละครสอดแทรกเรื่องความกตัญญู ความดีชนะชั่ว และการชดใช้กรรม ซึ่งเป็นค่านิยมที่ฝังรากลึกในวัฒนธรรมไทย ทำให้รู้สึกภูมิใจที่ได้เห็นนิทานพื้นบ้านถูกถ่ายทอดในรูปแบบที่เข้าถึงคนรุ่นใหม การคงไว้ซึ่งโครงเรื่องจาก “ปลาบู่ทอง” แต่ปรับให้เข้ากับยุคสมัย ทำให้รู้สึกเหมือนได้ย้อนวัยไปฟังนิทานจากปู่ย่าตายาย แต่ในรูปแบบที่ทันสมัยกว่า
“ละครพื้นบ้าน แม่ปลาบู่ 2568” จะให้ความรู้สึกสนุกครบรส ทั้งตื่นเต้น ซาบซึ้ง สะใจ และอบอุ่นใจ เหมาะสำหรับการดูแบบครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ ผู้ที่ชื่นชอบละครพื้นบ้านหรือแฟนคลับของม่อน-ปูเป้ คงรู้สึกคุ้มค่าที่ได้ดู ส่วนคนที่ชอบเนื้อหาลึกซึ้งหรือสมจริงอาจรู้สึกเฉย ๆ แต่โดยรวมแล้ว มันคือละครที่มอบความบันเทิงและข้อคิดได้อย่างลงตัว
ละครพื้นบ้าน แม่ปลาบู่ 2568
ละครพื้นบ้าน แม่ปลาบู่ 2568
ในอดีตกาลนานมาแล้ว ชายชราคนหนึ่งในตำบลเมืองพาราณสี มีลูกสาวสองคนชื่อ ขนิษฐา (กุ๊กกิ๊ก กชกร) กับ ขนิษฐี (ชมพูนุท พึ่งผล) ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน ซึ่งขนิษฐาผู้เป็นพี่นั้น สวยงามกว่าน้องสาวมาก เวลาเดินไปไหนด้วยกันสองคน ผู้ชายก็จะสนใจแต่ขนิษฐา ทำให้ขนิษฐีเกลียด และอิจฉาริษยาพี่สาวของตัวเองเป็นอย่างมาก รวมถึง เศรษฐีภาติกะ (มาฬิศร์ เชยโสภณ) สมัยหนุ่ม ๆ ก็ตกหลุมรักเข้าอย่างจัง จึงไปสู่ขอขนิษฐามาเป็นภรรยา ขนิษฐีไม่ยอม ออดอ้อนพ่อให้ยกตัวเองเป็นเมียภาติกะด้วย แม้ว่าเศรษฐีจะมีฐานะดี แต่ก็ขี้เหนียวมาก เขายังคงทำงานหาเงินลงเรือไปจับปลามาขายด้วยตนเอง ภาติกะหลงใหลตามใจขนิษฐาจนแทบไม่สนใจขนิษฐีเลย ความอิจฉาก็ยิ่งก่อตัวมากขึ้นทุกวัน
จนกระทั่งทั้งสองคลอดลูกออกมาไล่เลี่ยกัน เศรษฐีตั้งชื่อลูกขนิษฐาว่า เอื้อย และตั้งชื่อลูกขนิษฐีว่า อ้าย นานวันขนิษฐีก็ยิ่งเห็นความต่างที่ตัวเองได้รับ จึงไปพบ แม่หมอ (ยุวดี เรืองฉาย) เพื่อทำเสน่ห์ใส่เศรษฐีภาติกะ แช่ม (ชลมารค ธ เชียงทอง) กับ ชม (เต่า เชิญยิ้ม) บริวารของแม่หมอ บอกว่าเศรษฐีภาติกะซ่อนทองที่เป็นมรดกเอาไว้ แม่หมอผู้โลภมากจึงตกลงร่วมมือกับขนิษฐี และห้ามภาติกะดื่มเหล้าเพื่อป้องกันมนต์เสน่ห์เสื่อมคลาย
หลังจากนั้นภาติกะเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ คอยตวาดทำร้ายใช้งานทุบตีขนิษฐา ขนิษฐาเสียใจมาก แต่ก็ต้องพยายามปกป้องลูก จนกระทั่ง เอื้อย กับ อ้าย (เกศรินทร์ น้อยผึ้ง) เติบใหญ่ ด้วยความขี้เหนียวของเศรษฐี ทำให้เหล่าข้าทาสบริวารทนไม่ไหว พากันหนีออกมาจากบ้านของเศรษฐี จึงทำให้ขนิษฐา กับเอื้อยถูกใช้งานอย่างหนัก เมื่อใดที่ ขนิษฐาไปจับปลากับภาติกะ เอื้อยก็จะโดนรังแก และทุบตี ยังดีที่เอื้อยมี จี่ (กุลปริยา ศรนิล) อึ่ง (ศุภกร จิเนราวัต) กลิ่น (ลักษิกา สมบูรณ์) ที่เป็นเพื่อนคอยช่วยและแก้เผ็ดแทนให้อยู่เสมอ
เคราะห์ซ้ำกรรมซัด วันหนึ่งภาติกะไปจับปลากับขนิษฐา แต่ไม่ว่าจะเหวี่ยงแหไปกี่ครั้ง ก็ได้แต่ปลาบู่ทองที่ตั้งท้องตัวเดียว ปล่อยไปก็ยังว่ายกลับมา จนกระทั่งพลบค่ำเศรษฐีภาติกะ ก็ตัดสินใจที่จะเอาปลาบู่ทองที่จับได้เพียงตัวเดียวกลับบ้าน แต่ขนิษฐาเกิดความสงสารปลาบู่ที่ตั้งท้อง ขอให้เศรษฐีปล่อยปลาไป เกิดการยื้อแย่งกันจนเศรษฐีบันดาลโทสะ ฟาดนางขนิษฐาด้วยไม้พายตกน้ำไป ขนิษฐาว่ายน้ำไม่เป็น กำลังจมน้ำต่อหน้าภาติกะ แต่ด้วยฤทธิ์มนต์ดำทำให้เศรษฐีได้แต่ยืนมองอย่างสะใจ ได้สติอีกทีกระโดดลงไปตามหาก็ไม่เจอแล้ว
เมื่อกลับถึงบ้านเอื้อยถามหาแม่ เศรษฐีตอบว่าหนีตามผู้ชายไป เอื้อยไม่เชื่อว่าแม่จะทิ้งไป แต่วันแล้ววันเล่าแม่ก็ไม่เคยกลับมา นับตั้งแต่วันนั้นขนิษฐี กับอ้ายก็กลั่นแกล้งใช้งานเอื้อยเป็นประจำ โดยที่เศรษฐีภาติกะรับรู้ แต่ไม่สนใจ เอื้อยคิดถึงแม่มาก เอื้อยมักไปนั่งร้องไห้อยู่ริมท่าน้ำ ด้วยจิตสุดท้ายของขนิษฐาที่เป็นห่วงทั้งปลาบู่ และลูกสาวจึงได้เกิดมาเป็น ปลาบู่ทอง ขนิษฐาว่ายน้ำมาเรื่อย ๆ จนได้มาเจอเอื้อยที่นั่งร้องไห้อยู่ ขนิษฐาจึงพูดกับลูก เอื้อยดีใจมากที่ได้กลับมาได้ยินเสียงแม่อีกครั้ง แต่ก็เสียใจมากเช่นกันที่รู้ว่าแม่ได้ตายลงไปแล้ว
ทางฝั่งพระราชวังพาราณสี พระโอรสพรหมทัต (สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์) เบื่อสังคมภายในวังมาก เพื่อนเล่นตอนเด็กก็มีแต่ พระธิดามัลลิกา (ปภาดา ประกอบเสียง) จากเมืองคีรีมาศ ที่พ่อแม่จับคลุมถุงชนเป็นคู่หมั้นกันตั้งแต่เล็ก พระโอรสพรหมทัตจึงตัดสินใจแอบออกมาจากวัง แต่งตัวเป็นชาวบ้านพร้อมกับผู้ติดตามสองคน เที่ยวเดินเล่นที่ตลาดชุมชน จนถึงวันสงกรานต์ของไทย ชุมชนมีการจัดงานก่อพระเจดีย์ทราย พรหมทัตจึงขอให้ผู้ติดตามพาออกไปเที่ยวเล่น ในขณะที่ทุกคนออกไปเที่ยวกัน เอื้อยก็ไปนั่งร้องไห้ระบายให้แม่ฟัง ขนิษฐาอยากช่วยลูก จึงบอกว่าเดี๋ยวจะช่วยดูต้นทางให้ ให้ลูกคอยเล่นอยู่แถวท่าน้ำเอาไว้ ถ้าพ่อและแม่เลี้ยงมา จะรีบว่ายไปบอกทันที เอื้อยดีใจมาก จึงรีบวิ่งไปยังงานประจำปี
ระหว่างทางที่วิ่งมาเอื้อยก็เด็ดดอกไม้สวย ๆ มาด้วย มาถึงก็ก่อเจดีย์ทรายกับเพื่อน ๆ ริมท่าน้ำอย่างที่แม่ได้ขอไว้ ประจวบเหมาะกับเจ้าชายพรหมทัต ที่ผู้ติดตามไม่อยากให้ใกล้ชิดกับฝูงชนมากนัก จึงก่อเจดีย์ทรายบริเวณที่เอื้อย และเพื่อนอยู่ เจ้าชายพรหมทัตที่ไม่ได้เตรียมอะไรมา เจดีย์จึงไม่มีอะไรประดับ เอื้อยเห็นแบบนั้นก็นึกสงสาร จึงหันไปแบ่งของตนให้กับเจ้าชาย และช่วยเจ้าชายพรหมทัตก่อเจดีย์จนเสร็จสมบูรณ์ เจ้าชายพรหมทัตมองเอื้อยที่ยิ้มสวยงาม อ่อนโยนและใจดี ก็นึกหลงรักตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ผลิตโดย : บริษัท สามเศียร จำกัด , บริษัท ดารา วิดีโอ จำกัด, บริษัท ดีด้า วิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด
จากนิทานวัดเกาะเรื่อง ปลาบู่ทอง
บทประพันธ์ดัดแปลงโดย : บุราณ
บทโทรทัศน์ : แป้นพิม
กำกับการแสดง : ภิพัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์
อำนวยการสร้าง : ไพรัช สังวริบุตร
อำนวยการผลิต : สยาม สังวริบุตร , สยม สังวริบุตร
เพลงประกอบละคร “แม่ปลาบู่” (ปลาบู่ทอง)
คำร้อง : ชาลี อินทรวิจิตร
ทำนอง : สมาน กาญจนผลิน
เรียบเรียง : ม่อน ด๊ะดาด
ขับร้อง : พรชนก เลี่ยนกัตวา
ขับเสภา : จันจิรา ละม้ายเมือง
ลิขสิทธิ์: บริษัทสามเศียร จำกัด
นักแสดงนำ
→ สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์ รับบทเป็น เจ้าชายพรหมทัต
ตัวละครสำคัญที่เป็นพระเอกของเรื่อง บุคลิกภาพ เจ้าชายพรหมทัตเป็นชายหนุ่มรูปงาม ใจดี มีความกล้าหาญและเฉลียวฉลาด เขาเป็นตัวแทนของความยุติธรรมและความรักแท้ มีจิตใจเมตตาและมองเห็นคุณค่าของคนจากจิตใจมากกว่ารูปลักษณ์ภายนอก
บทบาทในเรื่อง เจ้าชายเดินทางผ่านหมู่บ้านของเอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) และตกหลุมรักเธอตั้งแต่แรกพบ ด้วยความงามและความดีงามในจิตใจของเธอ เขากลายเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยเอื้อยเผชิญหน้ากับความชั่วร้ายจากนางขนิษฐีและอ้าย รวมถึงช่วยสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของนางขนิษฐา (แม่ของเอื้อย)
จากเจ้าชายที่ดูเหมือนจะมีชีวิตสุขสบาย เขาค่อย ๆ เติบโตเป็นผู้นำที่เข้มแข็งและเสียสละเพื่อคนที่รัก โดยเฉพาะการปกป้องเอื้อยจากอันตราย และนำพาเธอไปสู่ชีวิตที่ดีขึ้น ความรักระหว่างเจ้าชายพรหมทัตและเอื้อยเป็นจุดเด่นของเรื่อง เขาไม่เพียงเป็นคนรัก แต่ยังเป็นเพื่อนคู่คิดที่ช่วยให้เอื้อยผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบาก โดยมีแม่ปลาบู่ (วิญญาณของนางขนิษฐา) คอยสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง
ม่อน สุรศักดิ์ นำเสนอเจ้าชายพรหมทัตในสไตล์ที่ผสมผสานความเป็นพระเอกละครพื้นบ้านแบบดั้งเดิม กับความทันสมัยที่เข้าถึงผู้ชมยุคใหม่ เขามักปรากฏตัวในชุดเจ้าชายที่สง่างาม และมีฉากแอ็กชันเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงถึงความกล้าหาญ เช่น การต่อสู้กับพลังมนต์ดำของนางขนิษฐี หรือการช่วยเอื้อยจากสถานการณ์คับขัน เคมีระหว่างเขากับปูเป้ เกศรินทร์ (เอื้อย) ยังเป็นที่พูดถึง เพราะทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาก่อน ทำให้ฉากโรแมนติกดูเป็นธรรมชาติและน่าประทับใจ
เจ้าชายพรหมทัตไม่ใช่แค่พระเอกที่เข้ามาช่วยนางเอกตามสูตร แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของความหวังและความดีที่นำพาเรื่องราวไปสู่บทสรุปที่มีความสุข เขาคือตัวละครที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงพลังของความรักและความยุติธรรมในโลกของ “แม่ปลาบู่”
→ ปูเป้ เกศรินทร์ รับบทเป็น เอื้อย และ อ้าย
นางเอกของเรื่อง เป็นตัวละครหลักที่ขับเคลื่อนเรื่องราวด้วยความดีงามและการต่อสู้ท่ามกลางความทุกข์ยาก บุคลิกภาพ เอื้อยเป็นหญิงสาวที่งดงามทั้งกายและใจ เธอมีนิสัยอ่อนโยน อดทน ขยัน และจิตใจดี แม้จะต้องเผชิญกับการกดขี่จากครอบครัวเลี้ยง เธอยังคงรักษาความหวังและความเมตตาไว้ได้ ความกตัญญูต่อแม่ (นางขนิษฐา) เป็นแรงผลักดันสำคัญในชีวิตของเธอ
บทบาทในเรื่อง เอื้อยเป็นลูกสาวของ นางขนิษฐา (กุ๊กกิ๊ก กชกร) ที่ถูกฆ่าตายโดย ภาติกะ (หนึ่ง มาฬิศร์) พ่อของเธอ หลังจากนั้น เธอต้องอยู่อย่างลำบากภายใต้การกลั่นแกล้งของ นางขนิษฐี (ส้มโอ ชมพูนุท) แม่เลี้ยงใจร้าย และ อ้าย ลูกสาวของขนิษฐี ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปเมื่อได้รับความช่วยเหลือจาก แม่ปลาบู่ (วิญญาณของนางขนิษฐาในร่างปลาทอง) และได้พบรักกับ เจ้าชายพรหมทัต (ม่อน สุรศักดิ์)
จากเด็กสาวที่อ่อนแอและถูกกดขี่ เอื้อยค่อย ๆ เติบโตเป็นหญิงสาวที่เข้มแข็งและกล้าหาญ เธอเรียนรู้ที่จะยืนหยัดเพื่อตัวเองและต่อสู้เพื่อความยุติธรรม โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับขนิษฐีและเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับการตายของแม่
ความสัมพันธ์
กับแม่ปลาบู่ ความผูกพันระหว่างเอื้อยและแม่เป็นหัวใจของเรื่อง เธอมักร้องไห้เรียกหาแม่ที่ริมคลอง และแม่ปลาบู่จะปรากฏตัวมาช่วยเหลือในยามคับขัน
กับเจ้าชายพรหมทัต ความรักของทั้งคู่เริ่มจากความประทับใจในจิตใจดีของกันและกัน และพัฒนาเป็นพลังที่ช่วยให้เอื้อยหลุดพ้นจากความทุกข์
ปูเป้ เกศรินทร์ ถ่ายทอดบทเอื้อยด้วยความอ่อนโยนและความเข้มแข็งที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เธอแสดงฉากดราม่าที่ต้องร้องไห้หรือทนทุกข์ได้อย่างน่าสงสาร ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจและเอาใจช่วย ขณะเดียวกัน ฉากที่เอื้อยเริ่มต่อสู้และมีความหวังเมื่อได้พบเจ้าชาย ก็แสดงถึงความสดใสและพลังบวก เคมีของเธอกับม่อน สุรศักดิ์ (เจ้าชายพรหมทัต) ยังเป็นจุดเด่น เพราะทั้งคู่เคยร่วมงานกันมาก่อน ทำให้ฉากโรแมนติกดูน่ารักและน่าประทับใจ
เอื้อยเป็นตัวละครที่สะท้อนถึงความดีงามและความอดทนตามแบบฉบับนางเอกละครพื้นบ้าน เธอไม่ใช่แค่หญิงสาวที่รอให้คนมาช่วย แต่เป็นผู้หญิงที่เติบโตผ่านความเจ็บปวด และสุดท้ายได้รับรางวัลเป็นความรักและความสุขจากความช่วยเหลือของแม่ปลาบู่และเจ้าชายพรหมทัต ปูเป้นำเสนอเอื้อยในแบบที่ทั้งน่าสงสารและน่าชื่นชม ทำให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันและอยากติดตามการเดินทางของเธอจนถึงตอนจบ
ส่วนบทบาทอ้าย
อ้ายเป็นลูกสาวของนางขนิษฐี ตัวละครฝ่ายร้ายที่อิจฉาและกลั่นแกล้งเอื้อย ร่วมมือกับแม่เลี้ยงเพื่อขัดขวางความสุขของนางเอก บุคลิกมีจิตใจร้าย อิจฉา อยากได้สิ่งที่เอื้อยมี (เช่น ความรักจากเจ้าชาย) มักแสดงออกด้วยความหยิ่งยโสและเจ้าเล่ห์
อ้ายมักได้รับบทลงโทษในตอนท้ายตามแบบฉบับละครพื้นบ้าน เช่น ถูกมนต์สะท้อนกลับหรือถูกลงโทษจากกรรมที่ทำไว้
→ มาฬิศร์ เชยโสภณ รับบทเป็น เศรษฐีภาติกะ
ตัวละครสำคัญที่มีบทบาทเป็นพ่อของนางเอก เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) และสามีของทั้ง นางขนิษฐา (กุ๊กกิ๊ก กชกร) และ นางขนิษฐี (ส้มโอ ชมพูนุท)
บุคลิกภาพ เศรษฐีภาติกะเป็นชายที่มีฐานะดีแต่มีนิสัยขี้เหนียวและใจร้อน เขามักถูกครอบงำด้วยอารมณ์และอิทธิพลจากภรรยาคนที่สองอย่างนางขนิษฐี ซึ่งทำให้เขาตัดสินใจผิดพลาดในหลายครั้ง แม้จะมีด้านที่รักครอบครัว แต่ความโลภและความโกรธมักบดบังความดีในตัวเขา
เขาเป็นผู้จับปลาเพื่อเลี้ยงชีพ และในวันหนึ่งพานางขนิษฐาไปจับปลาที่คลอง แต่ได้เพียง ปลาบู่ทอง ตัวเดียว เมื่อนางขนิษฐาขอให้ปล่อยปลาด้วยความเมตตา เขากลับโกรธจัดและใช้ไม้พายฟาดเธอจนตาย กลายเป็นจุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรมในครอบครัว
หลังจากนั้น เขากลับบ้านและโกหกเอื้อยว่าแม่หนีไปกับชายอื่น ปล่อยให้เอื้อยเผชิญชะตากรรมกับนางขนิษฐีและลูกสาวของเธอ ในช่วงท้ายเรื่อง เขาอาจสำนึกผิดเมื่อความจริงถูกเปิดเผย หรือต้องเผชิญผลกรรมจากสิ่งที่ทำไว้ ขึ้นอยู่กับการดัดแปลงบท
จากชายที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่เข้มแข็ง เขาค่อย ๆ เปิดเผยด้านมืดของตัวเองผ่านการกระทำที่โหดร้ายและการถูกนางขนิษฐีชักจูง สุดท้ายอาจได้รับการไถ่บาปหรือถูกลงโทษตามกฎแห่งกรรม ซึ่งเป็นจุดเด่นของละครพื้นบ้าน
ความสัมพันธ์
กับนางขนิษฐา รักและหลงใหลในตอนแรก แต่ความขัดแย้งเรื่องปลาบู่ทองทำให้เขาลงมือฆ่าเธอ
กับนางขนิษฐี ถูกครอบงำและยุยงให้เกลียดนางขนิษฐา แสดงถึงความอ่อนแอในจิตใจ
กับเอื้อย ไม่ค่อยใส่ใจลูกสาวเท่าที่ควร และปล่อยให้เธอถูกกลั่นแกล้งหลังแม่ตาย
หนึ่ง มาฬิศร์ นำประสบการณ์จากบทบาทในละครพื้นบ้านที่ผ่านมา (เช่น มโหสถชาดก, สังข์ทอง) มาใช้ในการถ่ายทอดตัวละครเศรษฐีภาติกะ เขาจะแสดงถึงความเข้มขรึมและความดุดันในฉากที่โกรธเกรี้ยว เช่น การฆ่านางขนิษฐา รวมถึงความขัดแย้งภายในใจเมื่อต้องเผชิญหน้ากับผลของการกระทำตัวเอง การกลับมารับบทใน “ละคร แม่ปลาบู่” ครั้งนี้ยังเป็นการหวนคืนสู่ช่อง 7 อีกครั้งในรอบหลายปี ทำให้แฟน ๆ คาดหวังถึงการแสดงที่ทรงพลังและเข้ากับสไตล์ละครจักรๆ วงศ์ๆ
เศรษฐีภาติกะเป็นตัวละครที่ซับซ้อน มีด้านที่เป็นมนุษย์ธรรมดา (รักครอบครัว) และด้านมืด (ความโหดร้ายและความโลภ) เขาเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในเรื่อง และเป็นตัวแทนของคนที่ต้องเผชิญผลกรรมจากการตัดสินใจผิดพลาด ผ่านการแสดงของหนึ่ง มาฬิศร์ คาแรกเตอร์นี้น่าจะสร้างทั้งความเกลียดชังและความสงสารให้ผู้ชมได้อย่างลงตัว
→ กุ๊กกิ๊ก กชกร รับบทเป็น นางขนิษฐา
ตัวละครสำคัญที่มีบทบาทเป็นแม่ของนางเอก เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) และภรรยาคนแรกของ เศรษฐีภาติกะ (หนึ่ง มาฬิศร์)
บุคลิกภาพ นางขนิษฐาเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยน ใจดี และมีเมตตา เธอเป็นภรรยาที่ซื่อสัตย์และแม่ที่รักลูกสาวอย่างสุดหัวใจ ความเมตตาของเธอเป็นจุดเด่นที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมในชีวิต และต่อมาเปลี่ยนเป็นพลังแห่งความรักในร่าง แม่ปลาบู่
นางขนิษฐาเป็นภรรยาคนแรกของภาติกะ เธอมีชีวิตที่สงบสุขกับสามีและลูกสาวเอื้อย จนกระทั่งวันหนึ่งตามภาติกะไปจับปลาที่คลอง และพบ ปลาบู่ทอง ที่ตั้งท้อง เธอขอร้องให้ปล่อยปลาด้วยความสงสาร แต่ภาติกะโกรธจัดที่เธอขัดใจ เขาใช้ไม้พายฟาดเธอจนตกน้ำตาย
หลังจากตาย วิญญาณของนางขนิษฐากลับมาในร่าง ปลาบู่ทอง หรือที่เรียกว่า แม่ปลาบู่ เพื่อปกป้องและช่วยเหลือเอื้อยจากความลำบากที่เกิดจาก นางขนิษฐี (ส้มโอ ชมพูนุท) แม่เลี้ยงใจร้าย เธอปรากฏตัวในฐานะผู้พิทักษ์ของเอื้อย อาจแปลงร่างเป็นมนุษย์ในบางครั้ง หรือใช้พลังเหนือธรรมชาติช่วยลูกสาว จนกระทั่งความจริงเกี่ยวกับการตายของเธอถูกเปิดเผยในตอนท้าย
จากภรรยาที่มีชีวิตเรียบง่าย นางขนิษฐากลายเป็นเหยื่อของความโหดร้าย แต่หลังความตาย เธอเปลี่ยนเป็นสัญลักษณ์ของความรักและการเสียสละ แม้จะอยู่ในร่างปลา เธอยังคงมีพลังและอิทธิพลในเรื่องราว ช่วยนำพาเอื้อยไปสู่ความสุข
ความสัมพันธ์
กับเอื้อย เป็นแม่ที่รักลูกสุดชีวิต ความผูกพันของทั้งคู่เป็นหัวใจของเรื่อง โดยเฉพาะฉากที่เอื้อยร้องไห้เรียกแม่ และแม่ปลาบู่ปรากฏตัว
กับภาติกะ เดิมทีมีความรักต่อกัน แต่ความขัดแย้งเรื่องปลาบู่ทองทำให้ความสัมพันธ์จบลงด้วยความตาย
กับนางขนิษฐี เป็นคู่ขัดแย้งโดยอ้อม เพราะความอิจฉาของขนิษฐีที่มีต่อเธออาจเป็นแรงผลักดันให้ภาติกะลงมือฆ่า
กุ๊กกิ๊ก กชกร นำเสนอนางขนิษฐาด้วยความอ่อนหวานและน่าสงสารในช่วงต้นเรื่อง โดยเฉพาะฉากที่เธอขอร้องให้ปล่อยปลาบู่ทอง ซึ่งแสดงถึงความเมตตาและความบริสุทธิ์ใจ หลังจากตายและกลายเป็นแม่ปลาบู่ เธออาจปรากฏในฉากแฟนตาซีที่ต้องใช้การแสดงทั้งสีหน้าและน้ำเสียงที่อบอุ่นเพื่อถ่ายทอดความรักต่อลูกสาว การที่กุ๊กกิ๊กมีประสบการณ์ในวงการบันเทิงมานาน ทำให้เธอสามารถสื่ออารมณ์ของตัวละครที่ทั้งเปราะบางและทรงพลังได้อย่างน่าประทับใจ
นางขนิษฐาเป็นตัวละครที่เริ่มต้นด้วยความโศกนาฏกรรม แต่กลายเป็นพลังแห่งความดีในร่างแม่ปลาบู่ เธอเป็นสัญลักษณ์ของความรักของแม่ที่ไม่มีวันตาย และมีบทบาทสำคัญในการช่วยเอื้อยเอาชนะความชั่วร้าย ผ่านการแสดงของกุ๊กกิ๊ก คาแรกเตอร์นี้คงสร้างความซาบซึ้งและเป็นที่จดจำของผู้ชม โดยเฉพาะในฉากที่เธอปกป้องลูกสาวจากภัยร้ายทั้งในร่างปลาและวิญญาณ
→ ชมพูนุท พึ่งผล รับบทเป็น นางขนิษฐี
ตัวละครฝ่ายร้ายที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง บุคลิกภาพ นางขนิษฐีเป็นหญิงสาวที่จิตใจร้าย อิจฉาริษยา และเต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน เธอมีนิสัยเจ้าเล่ห์ ชอบวางแผนร้าย และมักแสดงออกด้วยความเย่อหยิ่ง เธอเกลียดชัง นางขนิษฐา (กุ๊กกิ๊ก กชกร) ภรรยาคนแรกของ เศรษฐีภาติกะ (หนึ่ง มาฬิศร์) เพราะความสวยงามและความรักที่ภาติกะมีต่อขนิษฐามากกว่า
นางขนิษฐีเป็นภรรยาคนที่สองของภาติกะ และแม่ของ อ้าย เธอมีส่วนสำคัญในการก่อให้เกิดโศกนาฏกรรม โดยอาจยุยงหรือใช้มนต์ดำให้ภาติกะฆ่านางขนิษฐา หลังการตายของขนิษฐา เธอกลายเป็นแม่เลี้ยงที่โหดร้ายต่อ เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) ลูกสาวของขนิษฐา กลั่นแกล้งและใช้งานเอื้อยหนัก รวมถึงพยายามขัดขวางความรักระหว่างเอื้อยและ เจ้าชายพรหมทัต (ม่อน สุรศักดิ์)
เธอใช้เล่ห์เหลี่ยมและมนต์ดำเพื่อรักษาอำนาจและกำจัดศัตรู แต่สุดท้ายมักได้รับบทลงโทษตามกฎแห่งกรรม เช่น ถูกมนต์สะท้อนกลับหรือตายอย่างน่าสยดสยอง
จากภรรยาที่อิจฉาคู่แข่ง นางขนิษฐีค่อย ๆ เปิดเผยด้านมืดที่ร้ายกาจขึ้นเรื่อย ๆ ความโลภและความเกลียดชังผลักดันให้เธอทำชั่วมากขึ้น จนนำไปสู่จุดจบที่สมน้ำสมเนื้อตามสไตล์ละครพื้นบ้าน
ความสัมพันธ์
กับนางขนิษฐา เป็นคู่ขัดแย้งโดยตรง อิจฉาที่ขนิษฐาได้รับความรักและความสนใจมากกว่า
กับภาติกะ ครอบงำและชักจูงให้เขาเลือกข้างเธอ แสดงถึงอิทธิพลที่เธอมีต่อสามี
กับเอื้อย ปฏิบัติต่อเอื้อยเหมือนคนรับใช้ เกลียดชังและพยายามกำจัดเธอ
กับอ้าย ร่วมมือกับลูกสาวในการวางแผนร้ายเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
ส้มโอ ชมพูนุท ซึ่งมีดีกรีเป็นรองอันดับ 4 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2019 และเคยแสดงในละครหลังข่าวของช่อง 7 มาแล้ว นำเสนอนางขนิษฐีด้วยความร้ายกาจและเสน่ห์แบบตัวร้ายที่สะดุดตา เธอถ่ายทอดความเย่อหยิ่งและความเจ้าเล่ห์ได้อย่างถึงอารมณ์ โดยเฉพาะฉากที่ต้องแสดงอารมณ์รุนแรงหรือใช้มนต์ดำ ซึ่งน่าจะทำให้ผู้ชมทั้งหมั่นไส้และสะใจเมื่อเธอได้รับบทลงโทษในตอนท้าย การที่เธอมีประสบการณ์ในวงการบันเทิงและความสวยแบบมีออร่า ช่วยเพิ่มมิติให้ตัวละครนางขนิษฐีดูน่าจดจำ
นางขนิษฐีเป็นตัวละครฝ่ายร้ายที่ขับเคลื่อนความขัดแย้งในเรื่อง เธอเป็นแม่เลี้ยงใจร้ายตามแบบฉบับนิทานพื้นบ้าน ที่สร้างความลำบากให้เอื้อย แต่สุดท้ายต้องพ่ายแพ้ให้กับพลังแห่งความดี ผ่านการแสดงของส้มโอ คาแรกเตอร์นี้ไม่เพียงแต่เป็นตัวร้ายที่น่ากลัว แต่ยังมีความลึกซึ้งในแง่ของความอิจฉาและความทะเยอทะยาน ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงอารมณ์ที่หลากหลายทั้งเกลียดและสงสารในบางมุม
→ ศุภกร จิเนราวัต รับบทเป็น อึ่ง
ตัวละครสมทบที่มีบทบาทในเรื่อง บุคลิกภาพ อึ่งเป็นตัวละครที่มีลักษณะเป็นเพื่อนสนิทของ เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) นางเอกของเรื่อง เขามักจะแสดงออกด้วยความซื่อสัตย์ ใจดี และมีความจงรักภักดีต่อเพื่อน มีนิสัยขี้เล่นและเป็นคนที่คอยช่วยเหลือเอื้อยในยามยาก คาแรกเตอร์ของอึ่งมักถูกออกแบบให้เป็นตัวละครที่สร้างสีสันและความอบอุ่นในกลุ่มเพื่อน
อึ่งเป็นหนึ่งในเพื่อนของเอื้อย ร่วมกับ จี่ (กุลปริยา ศรนิล) และ กลิ่น (ลักษิกา สมบูรณ์) ที่คอยอยู่เคียงข้างเธอในช่วงที่ถูก นางขนิษฐี (ส้มโอ ชมพูนุท) และ อ้าย กลั่นแกล้ง เขามักจะช่วยเอื้อยแก้เผ็ดหรือปกป้องเธอจากความร้ายกาจของแม่เลี้ยงและลูกเลี้ยงในแบบฉบับของตัวละครสมทบที่ซื่อตรงและมีน้ำใจ
บทบาทของอึ่งอาจไม่ใช่ตัวหลัก แต่เป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้เรื่องราวมีความสมบูรณ์ โดยเฉพาะในฉากที่เอื้อยต้องเผชิญความลำบาก เขาจะเป็นตัวละครที่สร้างรอยยิ้มและความหวังให้ทั้งเอื้อยและผู้ชม
อึ่งอาจไม่มีพัฒนาการที่ซับซ้อนเหมือนตัวละครหลัก แต่ความคงเส้นคงวาในความเป็นเพื่อนที่ดีทำให้เขาเป็นที่รักของผู้ชม เขาอาจมีฉากตลกหรือฉากที่แสดงความกล้าหาญเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อปกป้องเพื่อน
ความสัมพันธ์
กับเอื้อย เป็นเพื่อนที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือ โดยเฉพาะในช่วงที่เอื้อยต้องทนทุกข์จากการถูกใช้งานหนักหรือถูกรังแก
กับจี่และกลิ่น ร่วมกันเป็นกลุ่มเพื่อนที่สร้างความสมดุลในเรื่อง คอยช่วยกันแก้สถานการณ์ต่าง ๆ
ศุภกร จิเนราวัต เป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่มีดีกรีจากการประกวด เช่น Mister Landscapes Thailand 2024 และเคยเข้ารอบในเวทีไทยซุปเปอร์โมเดล เขานำเสนอตัวละครอึ่งด้วยความสดใสและเป็นธรรมชาติ เหมาะกับบทบาทเพื่อนซี้ที่ต้องแสดงความจริงใจและความสนุกสนาน การแสดงของเขาน่าจะเน้นไปที่การสร้างเคมีกับนักแสดงในกลุ่มเพื่อน และถ่ายทอดอารมณ์ที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกเอ็นดูและผูกพัน
อึ่งเป็นตัวละครสมทบที่เสริมความแข็งแกร่งให้กับเรื่องราวของเอื้อย เขาไม่ใช่คนที่มีพลังเหนือธรรมชาติหรือบทบาทใหญ่โต แต่เป็นตัวแทนของมิตรภาพที่แท้จริงในชีวิตประจำวัน ผ่านการแสดงของศุภกร อึ่งน่าจะเป็นตัวละครที่ช่วยเพิ่มความมีชีวิตชีวาและทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความอบอุ่นใน “แม่ปลาบู่” เวอร์ชันนี้
→ ปภาดา ประกอบเสียง รับบทเป็น พระธิดามัลลิกา
ตัวละครสมทบที่มีบทบาทในเรื่อง บุคลิกภาพ พระธิดามัลลิกาเป็นหญิงสาวที่มีความสง่างาม ฉลาด และมีเสน่ห์ตามแบบฉบับเจ้าหญิงในละครพื้นบ้าน เธออาจมีนิสัยเย่อหยิ่งหรือทะนงตัวเล็กน้อยในช่วงแรก เนื่องจากสถานะของเธอในฐานะธิดาของกษัตริย์แห่งเมืองคีรีมาศ และถูกวางตัวให้เป็นคู่หมั้นของ เจ้าชายพรหมทัต (ม่อน สุรศักดิ์) ตั้งแต่เด็ก
พระธิดามัลลิกาเป็นคู่หมั้นที่ถูกกำหนดให้กับเจ้าชายพรหมทัตโดยพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย แต่เมื่อเจ้าชายออกจากวังและได้พบกับ เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) ความรักที่แท้จริงของเขา เธอกลายเป็นตัวละครที่ขัดแย้งกับความรักของพระนาง เธออาจมีบทบาทเป็นตัวร้ายรองหรือตัวละครที่สร้างความท้าทายให้กับนางเอก โดยพยายามรักษาสถานะคู่หมั้นของตัวเองไว้ หรือในบางกรณีอาจพัฒนาไปสู่การยอมรับและเข้าใจความรักของเจ้าชายในตอนท้าย
บทของเธอช่วยเพิ่มมิติให้กับเรื่องราว โดยเฉพาะในแง่ของความขัดแย้งในราชสำนักและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน
จากเจ้าหญิงที่อาจดูหยิ่งผยองหรือหวงเจ้าชายในตอนแรก เธออาจค่อย ๆ เรียนรู้ที่จะยอมรับความจริง และกลายเป็นตัวละครที่แสดงถึงความเสียสละหรือความเข้าใจในความรักที่แท้จริง ขึ้นอยู่กับการดัดแปลงบท
ความสัมพันธ์
กับเจ้าชายพรหมทัต เป็นคู่หมั้นที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก แต่ความสัมพันธ์อาจเป็นเพียงพันธะที่ถูกกำหนดมากกว่ารักแท้
กับเอื้อย เป็นคู่แข่งในความรักของเจ้าชาย แม้จะไม่ได้เผชิญหน้ากันโดยตรงตลอดเวลา แต่การมีอยู่ของเธอสร้างแรงกดดันให้กับนางเอก
ปภาดา ประกอบเสียง ซึ่งเป็นนักแสดงหน้าใหม่ที่มีประสบการณ์จากเวทีการประกวดและผลงานละครอื่น ๆ นำเสนอพระธิดามัลลิกาด้วยความสง่าและเสน่ห์ที่เหมาะกับบทเจ้าหญิง เธอน่าจะถ่ายทอดความเย่อหยิ่งและความอ่อนไหวของตัวละครได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะในฉากที่ต้องแสดงอารมณ์ขัดแย้งภายในใจเมื่อเผชิญกับความรักที่ไม่สมหวัง การแสดงของเธอช่วยเพิ่มความน่าสนใจให้กับบทบาทสมทบนี้
พระธิดามัลลิกาเป็นตัวละครที่เสริมความเข้มข้นให้กับเส้นเรื่องความรักของเจ้าชายพรหมทัตและเอื้อย เธอไม่ใช่ตัวร้ายหลักอย่างนางขนิษฐี แต่เป็นตัวแทนของอุปสรรคในแง่ของสถานะและความคาดหวังจากราชสำนัก ผ่านการแสดงของปภาดา ตัวละครนี้มีโอกาสสร้างความประทับใจในฐานะเจ้าหญิงที่ทั้งสวยงามและมีมิติทางอารมณ์
→ เพชรฎี ศรีฤกษ์ รับบทเป็น ท้าวพิไชยทัต
ตัวละครสมทบที่มีบทบาทในเรื่อง บุคลิกภาพ ท้าวพิไชยทัตเป็นตัวละครที่มีศักดิ์เป็นเจ้าเมืองหรือกษัตริย์แห่งเมืองพาราณสี (ขึ้นอยู่กับการตีความของบท) เขามีลักษณะเป็นผู้ทรงอำนาจ สง่างาม และเฉลียวฉลาดตามแบบฉบับผู้นำในละครพื้นบ้าน แต่อาจมีด้านที่เข้มงวดหรือตัดสินใจเด็ดขาดในบางสถานการณ์
ท้าวพิไชยทัตเป็นพ่อของ เจ้าชายพรหมทัต (ม่อน สุรศักดิ์) พระเอกของเรื่อง และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดชะตากรรมของลูกชาย เช่น การหมั้นหมายเจ้าชายกับ พระธิดามัลลิกา (ปภาดา ประกอบเสียง) ซึ่งเป็นอุปสรรคในความรักระหว่างเจ้าชายและ เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์)
เขามีบทบาทในฐานะผู้ปกครองที่ดูแลเมืองและตัดสินใจในเรื่องสำคัญ ซึ่งอาจส่งผลต่อเหตุการณ์ในเรื่อง เช่น การยอมรับเอื้อยในฐานะสะใภ้ หรือการจัดการกับความขัดแย้งที่เกิดจาก นางขนิษฐี (ส้มโอ ชมพูนุท)
ตัวละครนี้อาจเริ่มต้นด้วยภาพลักษณ์ของผู้นำที่ยึดมั่นในประเพณีและสถานะทางสังคม แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป เขาอาจแสดงความเข้าใจหรือยอมรับความรักที่แท้จริงของลูกชาย กลายเป็นผู้สนับสนุนในตอนท้าย
ความสัมพันธ์
กับเจ้าชายพรหมทัต เป็นพ่อที่รักลูก แต่ก็คาดหวังให้ลูกทำตามหน้าที่ของเจ้าชาย
กับพระมเหสีแสงจันทร์ (น้ำทิพย์ เสียมทอง) เป็นคู่ชีวิตที่อาจช่วยกันตัดสินใจในเรื่องสำคัญของราชสำนัก
กับเอื้อย ในตอนแรกอาจมองเอื้อยเป็นเพียงสามัญชน แต่สุดท้ายอาจยอมรับเธอเมื่อเห็นความดีงาม
เพชรฎี ศรีฤกษ์ หรือ หรั่ง อดีตพระเอกชื่อดังของช่อง 7 ที่เข้าสู่วงการจากการคว้ารางวัลหนุ่ม Doraemon 1993 มีประสบการณ์ในละครพื้นบ้านและละครโทรทัศน์มาอย่างโชกโชน เขานำเสนอท้าวพิไชยทัตด้วยความสง่างามและน้ำหนักของผู้นำที่ผ่านร้อนผ่านหนาว การแสดงของเขาน่าจะเน้นความน่าเกรงขามและความอบอุ่นแบบพ่อ รวมถึงการถ่ายทอดอารมณ์ที่ซับซ้อนเมื่อต้องเผชิญกับความขัดแย้งในราชสำนัก
ท้าวพิไชยทัตเป็นตัวละครที่เชื่อมโยงระหว่างราชสำนักและชีวิตของชาวบ้านผ่านลูกชายของเขา เขาไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนเรื่องราวให้ถึงจุดไคลแมกซ์ ผ่านการแสดงของเพชรฎี คาแรกเตอร์นี้คงสร้างความน่าเชื่อถือและเพิ่มมิติให้กับ “แม่ปลาบู่” ในฐานะผู้ปกครองที่มีทั้งอำนาจและหัวใจ
→ น้ำทิพย์ เสียมทอง รับบทเป็น พระมเหสีแสงจันทร์
ตัวละครสมทบที่มีบทบาทในเรื่อง บุคลิกภาพ พระมเหสีแสงจันทร์เป็นหญิงสาวที่มีความสง่างาม อ่อนโยน และเปี่ยมด้วยความเมตตาตามแบบฉบับมเหสีในละครพื้นบ้าน เธอมีลักษณะเป็นผู้หญิงที่ฉลาด มีเหตุผล และมักเป็นที่พึ่งทางใจของคนในราชสำนัก โดยเฉพาะลูกชายของเธอ
พระมเหสีแสงจันทร์เป็นมารดาของ เจ้าชายพรหมทัต (ม่อน สุรศักดิ์) และภรรยาของ ท้าวพิไชยทัต (เพชรฎี ศรีฤกษ์) เธอมีบทบาทในฐานะผู้สนับสนุนและให้คำแนะนำแก่ลูกชายในเรื่องต่าง ๆ รวมถึงความรักของเขากับ เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์) เธออาจเป็นตัวละครที่คอยสมดุลอำนาจหรือความเข้มงวดของท้าวพิไชยทัต โดยแสดงความเห็นอกเห็นใจต่อเอื้อย และช่วยผลักดันให้ความรักของเจ้าชายได้รับการยอมรับในราชสำนัก
ในบางฉาก เธออาจมีส่วนช่วยคลี่คลายความขัดแย้งที่เกิดจาก พระธิดามัลลิกา (ปภาดา ประกอบเสียง) คู่หมั้นของเจ้าชาย
จากมเหสีที่ดูสงบและยึดมั่นในหน้าที่ เธออาจแสดงด้านที่กล้าหาญหรือเสียสละเพื่อความสุขของลูกชาย โดยเฉพาะเมื่อต้องเผชิญหน้ากับประเพณีหรือความคาดหวังของราชสำนักที่ขัดแย้งกับความรักของเจ้าชาย
ความสัมพันธ์
กับเจ้าชายพรหมทัต เป็นแม่ที่รักและเข้าใจลูกชาย คอยให้คำแนะนำและปลอบโยนในยามที่เขาต้องเผชิญกับความกดดัน
กับท้าวพิไชยทัต เป็นคู่ชีวิตที่คอยสนับสนุนและบางครั้งอาจช่วยปรับมุมมองของสามีให้ยอมรับเอื้อย
กับเอื้อย อาจเริ่มต้นด้วยการมองเอื้อยเป็นเพียงสามัญชน แต่สุดท้ายเห็นคุณค่าในจิตใจของเธอและยอมรับในฐานะสะใภ้
น้ำทิพย์ เสียมทอง นักแสดงที่มีประสบการณ์ในวงการละครไทยมานาน นำเสนอพระมเหสีแสงจันทร์ด้วยความอ่อนหวานและสง่างาม เธอถ่ายทอดความเป็นแม่ที่อบอุ่นและมเหสีที่ทรงปัญญาได้อย่างลงตัว การแสดงของเธอน่าจะเน้นไปที่สีหน้าที่ยิ้มแย้มและน้ำเสียงที่อบอุ่น ซึ่งสร้างความรู้สึกน่าเชื่อถือและน่าเคารพให้กับตัวละครนี้
พระมเหสีแสงจันทร์เป็นตัวละครที่เสริมความสมบูรณ์ให้กับส่วนของราชสำนักใน “แม่ปลาบู่” เธอไม่ใช่ตัวละครที่ขับเคลื่อนเรื่องราวหลัก แต่มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนเจ้าชายพรหมทัตและช่วยให้เรื่องราวจบลงอย่างมีความสุข ผ่านการแสดงของน้ำทิพย์ คาแรกเตอร์นี้คงสร้างความประทับใจในฐานะมเหสีที่ทั้งงดงามและมีหัวใจที่เปี่ยมด้วยความรักต่อครอบครัว
→ ยุวดี เรืองฉาย รับบทเป็น แม่หมอ
ตัวละครสมทบที่มีบทบาทสำคัญในเรื่อง บุคลิกภาพ แม่หมอเป็นหญิงสูงวัยที่มีลักษณะเจ้าเล่ห์ ฉลาดแกมโกง และเต็มไปด้วยความโลภ เธอมีความสามารถในการใช้มนต์ดำและเวทมนตร์ เป็นตัวละครที่แสดงถึงความชั่วร้ายในแบบที่ลึกซึ้งและมีเล่ห์เหลี่ยม เธอมักปรากฏตัวด้วยท่าทางลึกลับและน่าเกรงขาม
แม่หมอเป็นผู้ที่ นางขนิษฐี (ส้มโอ ชมพูนุท) ไปขอความช่วยเหลือเพื่อทำเสน่ห์ใส่ เศรษฐีภาติกะ (หนึ่ง มาฬิศร์) ให้หลงรักเธอและเกลียด นางขนิษฐา (กุ๊กกิ๊ก กชกร) ซึ่งเป็นภรรยาคนแรก เธอมีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความขัดแย้งในเรื่อง โดยใช้มนต์ดำเพื่อยุยงให้เกิดโศกนาฏกรรม เช่น การที่ภาติกะฆ่านางขนิษฐา และอาจมีส่วนช่วยนางขนิษฐีในแผนร้ายต่อ เอื้อย (ปูเป้ เกศรินทร์)
แม่หมออาจมีบริวารอย่าง แช่ม (ชลมารค ธ เชียงทอง) และ ชม (เต่า เชิญยิ้ม) คอยช่วยเหลือในแผนการชั่วร้ายของเธอ ในตอนท้าย เธอได้รับบทลงโทษจากกรรมที่ทำไว้ตามแบบฉบับละครพื้นบ้าน เช่น ถูกมนต์สะท้อนกลับหรือถูกลงโทษจากพลังเหนือธรรมชาติ
แม่หมอเริ่มต้นด้วยภาพลักษณ์ของผู้ทรงอิทธิพลที่ควบคุมสถานการณ์ได้ แต่เมื่อความชั่วร้ายของเธอถูกเปิดเผยและพ่ายแพ้ เธอกลายเป็นตัวอย่างของคนที่ต้องชดใช้กรรม
ความสัมพันธ์
กับนางขนิษฐี เป็นพันธมิตรที่ร่วมมือกันเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว โดยแม่หมออาจหวังทรัพย์สินหรืออำนาจจากภาติกะ
กับภาติกะ มีอิทธิพลทางอ้อมผ่านมนต์เสน่ห์ที่ทำให้เขาคล้อยตามนางขนิษฐี
กับเอื้อย เป็นศัตรูทางอ้อมผ่านการสนับสนุนนางขนิษฐีในการกลั่นแกล้งเอื้อย
ยุวดี เรืองฉาย หรือ ปู โลกเบี้ยว เป็นนักแสดงและตลกที่มีประสบการณ์ในวงการมานาน เธอนำเสนอแม่หมอด้วยความสามารถในการแสดงที่หลากหลาย ทั้งสีหน้าท่าทางที่ลึกลับน่ากลัว และน้ำเสียงที่เข้มข้น ซึ่งเหมาะกับบทตัวร้ายที่มีมนต์ขลัง การที่เธอเคยมีผลงานทั้งละครและภาพยนตร์มากมาย เช่น สายโลหิต หรือ ธิดาวานร ทำให้เธอถ่ายทอดความร้ายกาจและเสน่ห์ของแม่หมอได้อย่างน่าจดจำ
แม่หมอเป็นตัวละครที่เพิ่มความเข้มข้นให้กับ “แม่ปลาบู่” ด้วยบทบาทของหมอผีที่ชั่วร้ายและโลภมาก เธอเป็นตัวเชื่อมโยงระหว่างความขัดแย้งในครอบครัวของภาติกะและการต่อสู้ของเอื้อย ผ่านการแสดงของยุวดี คาแรกเตอร์นี้คงสร้างทั้งความเกลียดชังและความตื่นเต้นให้ผู้ชม โดยเฉพาะในฉากที่ใช้มนต์ดำหรือเผชิญหน้ากับการลงโทษในตอนท้ายเรื่อง
→ ชลมารค ธ เชียงทอง รับบทเป็น แช่ม
เป็นหนึ่งในบริวารของ แม่หมอ (รับบทโดย ยุวดี เรืองฉาย) ซึ่งเป็นตัวละครที่มีบทบาทสำคัญในเรื่องราว บทบาทในเรื่อง แช่มเป็นลูกน้องหรือผู้ช่วยของแม่หมอ ซึ่งมีส่วนร่วมในแผนการร้ายและการใช้ไสยศาสตร์เพื่อสนับสนุนความโลภและความอิจฉาของตัวละครอย่าง ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล) แช่มจึงอยู่ในฝ่ายตัวร้ายของเรื่อง ร่วมกับแม่หมอและ ชม (รับบทโดย เต่า เชิญยิ้ม)
บุคลิกภาพ จากบริบทของละครพื้นบ้าน แช่มจะมีคาแรกเตอร์ที่เป็นลูกน้องจอมเจ้าเล่ห์ อาจมีทั้งความตลกขบขันและความร้ายกาจปนกัน ซึ่งเป็นสไตล์ทั่วไปของตัวละครบริวารในละครพื้นบ้านไทย แช่มอาจแสดงท่าทางที่ดูขี้ขลาดแต่ก็ภักดีต่อแม่หมอ และมีส่วนช่วยในการสร้างสีสันให้กับฉากที่เกี่ยวข้องกับการวางแผนหรือการทำพิธีกรรม
แช่มทำงานร่วมกับแม่หมอและชม เพื่อช่วยขนิษฐีในแผนการกำจัด เอื้อย (รับบทโดย ปูเป้ เกศรินทร์) ลูกสาวของ ขนิษฐา (รับบทโดย กุ๊กกิ๊ก กชกร) ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในเรื่อง แช่มจึงเป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนพล็อตด้านมืดของละคร
ในฐานะตัวละครประกอบ แช่มอาจไม่ได้มีมิติลึกซึ้งเท่าตัวละครหลัก แต่จะเน้นการแสดงที่สนุกสนานและมีเอกลักษณ์ตามแบบฉบับละครพื้นบ้าน เพื่อให้ผู้ชมจดจำได้ง่าย โดยเฉพาะในฉากที่ต้องร่วมมือกับแม่หมอและชม ซึ่งอาจมีการแทรกมุกตลกหรือการแสดงท่าทางเกินจริงตามสไตล์ละครแนวนี้
→ เต่า เชิญยิ้ม รับบทเป็น ชม
มีบทบาทสำคัญในฝ่ายตัวร้ายของเรื่อง บทบาทในเรื่อง ชมเป็นหนึ่งในบริวารหรือลูกน้องของ แม่หมอ (รับบทโดย ยุวดี เรืองฉาย) ร่วมกับ แช่ม (รับบทโดย ชลมารค ธ เชียงทอง) ชมมีส่วนร่วมในแผนการร้ายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ไสยศาสตร์ เพื่อช่วย ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล) ในการกำจัด เอื้อย (รับบทโดย ปูเป้ เกศรินทร์) ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของความขัดแย้งในเรื่อง
บุคลิกภาพ ในฐานะที่เต่า เชิญยิ้ม เป็นนักแสดงตลกที่มีชื่อเสียง คาแรกเตอร์ของชมจึงน่าจะผสมผสานทั้งความร้ายกาจและความตลกขบขัน ชมอาจมีลักษณะเจ้าเล่ห์ ขี้ขลาด หรือแสดงท่าทางเกินจริงตามสไตล์ละครพื้นบ้าน เพื่อสร้างความบันเทิงให้ผู้ชม โดยเฉพาะในฉากที่ต้องร่วมมือกับแม่หมอและแช่ม ชมอาจเป็นตัวละครที่ช่วยเบรกความตึงเครียดของพล็อตด้วยมุกตลกหรือการแสดงที่เป็นเอกลักษณ์
ชมทำงานเคียงข้างแม่หมอและแช่ม เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มตัวร้ายที่สนับสนุนแผนการของขนิษฐี ซึ่งขับเคลื่อนเรื่องราวไปสู่ความขัดแย้งระหว่างพี่น้องและการแก้แค้น โดยเฉพาะการต่อสู้กับฝ่ายธรรมะอย่างเอื้อยและตัวละครหลักอื่น ๆ
ด้วยพื้นฐานของเต่า เชิญยิ้ม ที่มีประสบการณ์ในวงการตลกและการแสดงละครพื้นบ้าน ชมจะเป็นตัวละครที่มีสีสัน อาจมีการใส่ลูกเล่นตลกหรือการแสดงท่าทางที่เกินจริง เพื่อให้เข้ากับโทนของละครพื้นบ้านที่เน้นทั้งความสนุกและดราม่า ตัวละครนี้ช่วยเพิ่มมิติให้กับฝ่ายตัวร้าย ทำให้ฉากต่าง ๆ มีชีวิตชีวามากขึ้น
→ ศรีนวล ขำอาจ รับบทเป็น ยายสม
บทบาทในเรื่อง ยายสมเป็นตัวละครประกอบที่มีบทบาทในฐานะผู้สูงวัยในเรื่อง ซึ่งจะเป็นตัวละครที่ให้คำแนะนำหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในหมู่บ้านหรือครอบครัวของตัวละครหลัก ด้วยความที่ศรีนวล ขำอาจ เป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง (ศิลปะพื้นบ้าน-ลำตัด) บทบาทของยายสมอาจมีการแทรกทักษะการแสดงแบบพื้นบ้าน เช่น การพูดจาแบบมีจังหวะจะโคน หรือการเล่าเรื่องที่ดึงดูดใจ เพื่อเพิ่มความสมจริงและเสน่ห์ให้กับละคร
บุคลิกภาพ จากประสบการณ์และความสามารถของศรีนวล คาแรกเตอร์ของยายสมจะเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด มีไหวพริบ และอาจมีมุมตลกขบขันตามสไตล์ตัวละครผู้สูงวัยในละครพื้นบ้าน ยายสมเป็นผู้ที่คอยสังเกตการณ์หรือให้มุมมองจากประสบการณ์ชีวิตแก่ตัวละครอื่น ๆ โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งระหว่าง เอื้อย (รับบทโดย ปูเป้ เกศรินทร์) และฝ่ายตัวร้ายอย่าง ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล)
ยายสมอาจเป็นตัวละครที่เชื่อมโยงกับครอบครัวของ ขนิษฐา (รับบทโดย กุ๊กกิ๊ก กชกร) หรืออยู่ในชุมชนเดียวกับตัวละครหลัก ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้เฝ้ามองหรือผู้เล่าเรื่องราวในบางช่วง เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจบริบทของเหตุการณ์มากขึ้น
ด้วยความที่ศรีนวล ขำอาจ มีชื่อเสียงจากการแสดงลำตัดและศิลปะพื้นบ้าน การรับบทยายสมจึงน่าจะมีการใส่ลูกเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ เช่น การพูดจาแบบมีสัมผัส หรือการแสดงท่าทางที่สะท้อนวัฒนธรรมไทยโบราณ เพื่อเพิ่มรสชาติให้กับละครพื้นบ้านเรื่องนี้
→ พงษ์ประยูร ราชอาภัย รับบทเป็น อำมาตย์เพิ่ม
บทบาทในเรื่อง อำมาตย์เพิ่มเป็นขุนนางหรือที่ปรึกษาในราชสำนัก ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ในวังหรือการตัดสินใจสำคัญ ๆ ที่ส่งผลต่อเรื่องราวของตัวละครหลัก เช่น เจ้าชายพรหมทัต (รับบทโดย สุรศักดิ์ สุวรรณวงษ์) และ เอื้อย (รับบทโดย ปูเป้ เกศรินทร์) เขาเป็นตัวละครที่อยู่ในฝ่ายสนับสนุนหรือมีบทบาทในการเชื่อมโยงเหตุการณ์ระหว่างราชสำนักกับตัวละครอื่น ๆ
บุคลิกภาพ จากประสบการณ์การแสดงของพงษ์ประยูร ราชอาภัย ที่มักรับบทตัวละครที่มีความน่าเชื่อถือและสง่างาม คาแรกเตอร์ของอำมาตย์เพิ่ม จะเป็นคนที่มีความเฉลียวฉลาด รอบคอบ และอาจมีท่าทางที่ดูภูมิฐานตามแบบฉบับขุนนางในละครพื้นบ้าน เขาอาจเป็นผู้ที่ให้คำแนะนำหรือมีส่วนในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความขัดแย้งในเรื่อง
อำมาตย์เพิ่ม จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตัวละครในราชสำนัก เช่น ท้าวพิไชยทัต (รับบทโดย เพชรฎี ศรีฤกษ์) หรือ พระมเหสีแสงจันทร์ (รับบทโดย น้ำทิพย์ เสียมทอง) และอาจมีบทบาทในการช่วยเหลือหรือขัดขวางฝ่ายตัวร้ายอย่าง ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล) และ แม่หมอ (รับบทโดย ยุวดี เรืองฉาย) ขึ้นอยู่กับทิศทางของบท
ในฐานะนักแสดงที่มีประสบการณ์ทั้งละครโทรทัศน์และการเมือง พงษ์ประยูร จะถ่ายทอดคาแรกเตอร์อำมาตย์เพิ่มให้มีความสมจริงและน่าจดจำ โดยอาจมีการแสดงออกทางสีหน้าและน้ำเสียงที่หนักแน่น เพื่อให้เข้ากับบทบาทขุนนางที่มีอำนาจและบารมีในราชสำนัก
→ สุระ มูรธานนท์ รับบทเป็น กำนันมิ่ง
บทบาทในเรื่อง กำนันมิ่งเป็นผู้นำชุมชนหรือตัวแทนของหมู่บ้านในเรื่อง ซึ่งจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวละครหลัก เช่น เอื้อย (รับบทโดย ปูเป้ เกศรินทร์) และครอบครัวของ ขนิษฐา (รับบทโดย กุ๊กกิ๊ก กชกร) เขาอาจทำหน้าที่เป็นผู้ไกล่เกลี่ยหรือมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจในหมู่บ้าน โดยเฉพาะเมื่อเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายธรรมะและอธรรม
บุคลิกภาพ จากชื่อบทบาท “กำนัน” และสไตล์การแสดงของสุระ มูรธานนท์ ที่มักรับบทตัวละครที่มีความน่าเกรงขามและเป็นที่เคารพ คาแรกเตอร์ของกำนันมิ่ง จะเป็นคนที่มีความเด็ดขาด มีอำนาจในชุมชน และอาจมีทั้งความเข้มงวดและความเมตตา เขาอาจแสดงออกด้วยท่าทางที่ดูเป็นผู้นำ น้ำเสียงหนักแน่น แต่ก็อาจมีมุมที่สะท้อนความเป็นคนธรรมดาในแบบฉบับละครพื้นบ้าน
กำนันมิ่ง จะมีความสัมพันธ์กับตัวละครในหมู่บ้าน เช่น เศรษฐีภาติกะ (รับบทโดย หนึ่ง มาฬิศร์) หรือ ยายสม (รับบทโดย ศรีนวล ขำอาจ) และอาจมีบทบาทในการช่วยเหลือหรือขัดขวางแผนการของฝ่ายตัวร้ายอย่าง ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล) และ แม่หมอ (รับบทโดย ยุวดี เรืองฉาย) ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ในเรื่อง
ในฐานะนักแสดงที่มีประสบการณ์ทั้งในวงการตลกและละคร สุระ มูรธานนท์ อาจใส่ลูกเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ลงไปในตัวกำนันมิ่ง เช่น การพูดจาแบบมีจังหวะ หรือการแสดงท่าทางที่ดูน่าเชื่อถือแต่ก็แฝงความสนุก เพื่อให้เข้ากับโทนของละครพื้นบ้านที่ผสมผสานทั้งดราม่าและความบันเทิง
→ ด.ช. ชัญญ จรัสวสุท รับบทเป็น ลูกชายของ เจ้าชายพรหมทัต
ด้วยความที่เป็นเด็ก ด.ช. ชัญญ จรัสวสุท จะถ่ายทอดคาแรกเตอร์นี้ออกมาด้วยความสดใสและเป็นธรรมชาติตามวัย เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเอ็นดูและเห็นถึงความต่อเนื่องของเรื่องราวจากรุ่นพ่อแม่สู่รุ่นลูก การแสดงอาจเน้นที่การพูดจาน่ารักหรือท่าทางที่เข้ากับฉากในราชสำนัก
→ ด.ญ.ปาณิศรา กฤตติกูลภาคิน รับบทเป็น เอื้อย (ตอนเด็ก)
เอื้อย (ตอนเด็ก) ของ ด.ญ. ปาณิศรา เป็นตัวละครสำคัญที่ช่วยปูเรื่องราวในช่วงแรก ก่อนที่เรื่องราวจะพัฒนาไปสู่การผจญภัยและชัยชนะของฝ่ายธรรมะ
บทบาทในเรื่อง เอื้อย (ตอนเด็ก) เป็นตัวละครที่นำเสนอจุดเริ่มต้นของเรื่องราว โดยเฉพาะชีวิตในวัยเด็กของนางเอกที่ต้องเผชิญกับความยากลำบากและการถูกกลั่นแกล้งจาก ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล) ซึ่งเป็นน้องสาวของแม่เลี้ยง เธอเป็นลูกสาวของ ขนิษฐา (รับบทโดย กุ๊กกิ๊ก กชกร) และ เศรษฐีภาติกะ (รับบทโดย หนึ่ง มาฬิศร์) บทบาทนี้ช่วยปูพื้นเรื่องราวให้เห็นถึงความเมตตาและความอดทนของเอื้อยตั้งแต่ยังเล็ก ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของตัวละครเมื่อเติบโตขึ้น
บุคลิกภาพ เอื้อยในวัยเด็กน่าจะถูกนำเสนอให้มีความน่ารัก อ่อนโยน และมีจิตใจดีตามแบบฉบับนางเอกละครพื้นบ้าน เธออาจแสดงออกถึงความไร้เดียงสาแต่ก็มีความเข้มแข็งแฝงอยู่ แม้จะต้องเผชิญกับการถูกกดขี่จากครอบครัวฝ่ายแม่เลี้ยง คาแรกเตอร์นี้ช่วยให้ผู้ชมรู้สึกสงสารและผูกพันกับตัวละครตั้งแต่ต้นเรื่อง
เอื้อย (ตอนเด็ก) มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับขนิษฐา ผู้เป็นแม่ และอาจมีฉากที่แสดงถึงความผูกพันกับพ่ออย่างเศรษฐีภาติกะ แต่ในขณะเดียวกัน เธอก็ต้องเผชิญหน้ากับความโหดร้ายจากขนิษฐี ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความขัดแย้งในครอบครัวที่นำไปสู่เหตุการณ์สำคัญในเรื่อง เช่น การที่เอื้อยถูกฆ่าตายและกลายเป็นปลาบู่ทองในภายหลัง
ด้วยความที่รับบทโดย ด.ญ. ปาณิศรา กฤตติกูลภาคิน ซึ่งเป็นนักแสดงเด็ก คาแรกเตอร์นี้จะเน้นการแสดงที่เป็นธรรมชาติ สดใส และสะท้อนความบริสุทธิ์ของวัยเด็ก เพื่อให้ผู้ชมเห็นถึงจุดกำเนิดของนางเอกที่เต็มไปด้วยความยากลำบากแต่ก็มีแสงสว่างแห่งความดีงาม
→ ด.ญ.ไอย์ฌิฌา กรุดนาค รับบทเป็น ลูกสาวของ เจ้าชายพรหมทัต
เป็นตัวละครที่ช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์ของเรื่องในช่วงท้าย โดยเฉพาะการแสดงถึงอนาคตของครอบครัวพระเอก-นางเอก
ด้วยความที่รับบทโดย ด.ญ. ไอย์ฌิฌา กรุดนาค ซึ่งเป็นนักแสดงเด็ก การแสดงของเธอน่าจะเน้นความสดใส เป็นธรรมชาติ และมีเสน่ห์ตามวัย เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเอ็นดูและประทับใจในตัวละครนี้ โดยเฉพาะในฉากที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวหรือราชสำนัก
→ ด.ช.ชนะพล ศรีพรชัย รับบทเป็น อึ่ง (ตอนเด็ก)
เป็นตัวละครที่ช่วยปูเรื่องราวในช่วงวัยเด็กของตัวละครหลัก ก่อนที่เหตุการณ์จะพัฒนาไปสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ
บทบาทในเรื่อง อึ่ง (ตอนเด็ก) เป็นตัวละครที่แสดงถึงวัยเด็กของ อึ่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในตัวละครหลักของเรื่อง โดยในโครงเรื่องที่ดัดแปลงจากนิทาน “ปลาบู่ทอง” อึ่งมักเป็นตัวละครที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของนางเอก เอื้อย (รับบทตอนโตโดย ปูเป้ เกศรินทร์) ซึ่งอาจเป็นตัวแทนของพี่น้องหรือบุคคลที่เติบโตมาพร้อมกันในช่วงแรกของเรื่อง บทบาทนี้ช่วยปูพื้นเรื่องราวก่อนที่ตัวละครจะพัฒนาไปในวัยผู้ใหญ่
บุคลิกภาพ อึ่ง (ตอนเด็ก) จะถูกนำเสนอให้มีความน่ารัก ซื่อสัตย์ และอาจมีนิสัยที่ขี้เล่นหรือซนเล็กน้อยตามวัย ซึ่งเป็นลักษณะทั่วไปของตัวละครเด็กในละครพื้นบ้าน เพื่อให้ผู้ชมรู้สึกผูกพันและเห็นพัฒนาการของตัวละครในภายหลัง เขาอาจมีส่วนร่วมในฉากที่สะท้อนชีวิตในครอบครัวหรือหมู่บ้านก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญในเรื่อง
อึ่ง (ตอนเด็ก) จะมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เอื้อย (ตอนเด็ก) (รับบทโดย ด.ญ. ปาณิศรา กฤตติกูลภาคิน) รวมถึงครอบครัวของ ขนิษฐา (รับบทโดย กุ๊กกิ๊ก กชกร) และ เศรษฐีภาติกะ (รับบทโดย หนึ่ง มาฬิศร์) เขาเป็นตัวละครที่ช่วยเน้นย้ำถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวก่อนที่เรื่องราวจะนำไปสู่ความขัดแย้งกับฝ่ายตัวร้ายอย่าง ขนิษฐี (รับบทโดย ชมพูนุท พึ่งผล)
ด้วยความที่รับบทโดย ด.ช. ชนะพล ศรีพรชัย ซึ่งเป็นนักแสดงเด็ก คาแรกเตอร์นี้จะเน้นการแสดงที่เป็นธรรมชาติและสดใส เพื่อให้เข้ากับโทนของละครพื้นบ้านที่มักมีทั้งความสนุกสนานและดราม่าในช่วงต้นเรื่อง การแสดงอาจเน้นท่าทางและน้ำเสียงที่ดูไร้เดียงสา เพื่อสร้างความน่าจดจำให้กับตัวละคร