ละคร วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2568 ถ้ามีวิชาเรียนในมหาลัยที่ชื่อ “วิชาความสุข” แต่พอเปิดเรียนจริง ๆ มันกลับกลายเป็นคลาสรวมคนพัง ๆ ที่ชีวิตแต่ละคนมีดราม่าจัดเต็ม จนชื่อเรื่องต้องเปลี่ยนเป็น “วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน” แบบนี้แหละ คือเสน่ห์ของละครเรื่องนี้ที่ออกอากาศทาง Thai PBS ในปี 2568 เรื่องนี้ไม่ใช่แค่ละครวัยรุ่นธรรมดา แต่เป็นดราม่าที่เจาะลึกเรื่องสุขภาพจิต การยอมรับตัวเอง และความสัมพันธ์แบบ toxic ในสังคมไทยสมัยใหม่
ชื่ออังกฤษว่า How To Suffer 101 ซึ่งแปลตรงตัวว่าวิธีทุกข์เบื้องต้น ฟังดูขำ ๆ แต่จริง ๆ มันสะท้อนชีวิตคนรุ่นใหม่ที่พยายามหาความสุขท่ามกลางความกดดันจากครอบครัว สังคม และตัวเองได้ตรงเป๊ะ ละครเรื่องนี้ชวนให้คิดว่าความสุขมันมีจริงมั้ย หรือแค่ illusion ที่เราหลงเชื่อกันไปเอง?
จากคลาสเรียนเล็ก ๆ สู่ดราม่าทุกข์ใจใหญ่โต
เรื่องราวเปิดด้วย “ฝ้าย” สาววัย 30 รับบทโดยชัญญา แม็คคลอรี่ย์ อดีตนักจิตบำบัดที่เคยพลาดเคสใหญ่จนบาดแผลในใจยังไม่หายสนิท เธอถอยห่างจากโลกภายนอก เลิกสอนเลิกบำบัด ใช้ชีวิตเงียบ ๆ จนกระทั่ง “ผอ.จอย” (ธิญาดา พรรณบัว) หัวกะทิด้านบริหารการศึกษาวัย 45 ชวนเธอมาสอนวิชาใหม่ “วิชาความสุข” ที่มหาลัยสมมติชื่อสุวรรณธานี มหาวิทยาลัยนี้มีแนวคิดทันสมัย อยากให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้ตัวเองแบบอิสระ ไม่ใช่แค่ยัดวิชาแกน ๆ ฝ้ายลังเลแต่สุดท้ายยอมรับเพราะอยากลองเริ่มใหม่ แต่พอเปิดคลาสวันแรก เธอก็ช็อก เพราะนักศึกษาที่สมัครมาราว 5-6 คน แต่ละคนมีปัญหาหนักหน่วง เหมือนโชคชะตาเล่นตลก รวมกลุ่ม “เด็กพัง” ไว้ในห้องเดียวกัน
เริ่มจาก “กล้า” (ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์) นักศึกษาปี 4 คณะครุศาสตร์ดนตรี วัย 22 โตมากับพี่ชาย “เก่ง” (พิชญ์พงษ์ นาคะยืนยงสุข) ที่ชีวิตปากกัดตีนถีบ ทำอาชีพเทา ๆ เพื่อเลี้ยงน้องหลังแม่ตายพ่อทิ้ง กล้าไม่เคยรู้จักความอบอุ่น ไม่เชื่อในความรักหรือความสุข เคยชินกับการทำร้ายตัวเองเพื่อระบายความเจ็บในใจ แต่ดนตรีคือที่พักใจเดียวที่ทำให้เขายิ้มได้ พอเข้าคลาส เขายืนกรานเลยว่า “ความสุขไม่มีอยู่จริง” จนฝ้ายต้องคอยช่วยเหลือแบบงง ๆ เพราะกล้าไม่เคยอยากได้ความช่วยเหลือจากใคร
ต่อด้วย “มิว” (ณฐมน จันทราวิภาต) นักศึกษาแพทย์ปี 2 ที่ชีวิตถูกกดทับด้วยแม่ “พญ.เวทินี” (แวร์ โซว) อาจารย์หมอชื่อดังเข้มงวดสุด ๆ มิวโตมาแบบต้องเก่งที่สุด ดีที่สุดตลอด ไม่เคยทำอะไรตามใจตัวเอง ชินกับการทำให้ทุกคนพอใจจนกลายเป็นคนเย็นชา เก็บกดหนักจนซึมเศร้า แฟนหนุ่ม “วิน” (ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์) นักศึกษาเศรษฐปี 3 ดูเพอร์เฟกต์ หล่อบ้านรวย แต่จริง ๆ เขาโตมาจากครอบครัวที่เปรียบเทียบตลอด บางวันดีบางวันดุ ทำให้วินขาดความมั่นคง หาความรักแบบยึดติด ไม่สนใจจิตใจคนอื่น โดยเฉพาะมิวที่โดนบงการหนัก
แล้วก็ “กู๊ด” (อรวรรยา โตสมบัติ) เฟรชชี่ปี 1 นิเทศสดใส มองโลกดี ชอบถ่ายรูปบันทึกทุกโมเมนต์ แต่ลึก ๆ เธอขาดความมั่นใจ รู้สึกตัวเองไม่ดีพอ อยากได้การยอมรับจากทุกคน “ฉาย” (ปฏิภาณ ขุนเงิน) นักศึกษาวิศวะไฟฟ้าปี 4 หนุ่มหน้าใสที่ใคร ๆ ชอบ แต่ซ่อนอัตลักษณ์ทางเพศไว้ลึก ๆ เขาหลงใหลการแต่งตัวและแสดงออกแบบผู้หญิง แต่ต้องแสร้งแมนเพื่อครอบครัวและสังคม กลัวถูกตีตราจนเครียดสะสม
ฝ้ายพยายามสอนให้เด็ก ๆ ทำกิจกรรมรู้จักตัวเอง เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง หรือแชร์เรื่องส่วนตัว แต่คลาสนี้กลับกลายเป็นสนามรบทางใจ กล้าถึงขั้นทะเลาะกับฝ้ายบ่อย ๆ มิวกะวินก็มีดราม่า toxicity วินชอบควบคุมมิวแบบไม่รู้ตัว กู๊ดพยายามเข้ากลุ่มแต่โดนมองข้าม ฉายก็ค่อย ๆ เปิดใจเรื่องอัตลักษณ์เพศทีละนิด ท่ามกลางปัญหาเหล่านี้ ฝ้ายได้เจอ “อิฐ” (ธฤษณุ สรนันท์) เพื่อนมัธยมเก่าที่ตอนนี้สอนดนตรี อดีตบอยแบนด์วัย 30 ที่เคยดังเพลงฮิตเพลงเดียวแต่ชีวิตพังเพราะระบบอคติ อิฐหมดไฟกับการเป็นครูในระบบไทย กลายเป็นคนขวางโลก ไม่เชื่อมั่นตัวเอง แต่ทั้งคู่มีกำแพงจากอดีตเก่า ๆ ที่เคยทะเลาะกันหนัก สุดท้ายต้องร่วมมือช่วยเด็ก ๆ โดยเฉพาะกล้าที่ค่อย ๆ พบ “พื้นที่ปลอดภัย” จากคลาสนี้และเพื่อน ๆ กล้าเริ่มเปิดใจผ่านดนตรี อิฐชวนกล้าตีกลองเปิดหมวกหาเงิน ฝ้ายกับเด็ก ๆ ช่วยกันจนกลายเป็นกลุ่มเพื่อนแท้
แต่ดราม่าไม่หยุดแค่นั้น เมื่อคลาสนี้โดนโจมตีในโซเชียล แฮชแท็ก #วิชาความสุขปลอม กระจายไวรัล คนด่าว่าวิชานี้ไร้สาระ สอนเพ้อเจ้อ ฝ้ายถูกขุดอดีตเคสเก่าที่เธอพลาด จนคณะกรรมการสอบสวนเธอและผอ.จอย วิชาเสี่ยงถูกยุบ ฝ้ายต้องเผชิญบาดแผลตัวเอง ร่วมกับอิฐที่ค่อย ๆ กลับมามั่นใจผ่านการช่วยเด็ก ๆ พวกเขาจัดแคมเปญ sit-in คลาส ใช้ดนตรีและเรื่องราวจริงของเด็ก ๆ โชว์ให้เห็นว่าวิชานี้ช่วยชีวิตคนได้จริง สุดท้ายคลาสรอด แต่ไม่ใช่แค่รอด มันเปลี่ยนทุกคนให้เติบโต กล้าพบความรักตัวเอง มิวยอมเผชิญแม่ วินเรียนรู้ปล่อยวาง กู๊ดมั่นใจขึ้น ฉายกล้าเป็นตัวเอง ฝ้ายกับอิฐก็คืนดีจากกำแพงเก่า
ละครเรื่องนี้จบลงด้วยข้อความว่า ทุกข์มันพื้นฐานของชีวิต แต่การเรียนรู้ที่จะจัดการมันต่างหากที่ทำให้เรา “สุข” ได้จริง ต่อไปนี้คือเนื้อเรื่องสำคัญของละคร
ในมหาวิทยาลัยสุวรรณธานีที่รายล้อมด้วยต้นไม้ใหญ่และเสียงหัวเราะของนักศึกษาวัยรุ่น วันหนึ่งห้องเรียนเล็ก ๆ ห้องหมายเลข 101 กลายเป็นเวทีแห่งการต่อสู้ภายในจิตใจ ฝ้ายยืนอยู่หน้าชั้น มือสั่นเล็กน้อยขณะมองนักศึกษาที่นั่งกระจัดกระจาย แต่ละคนเหมือนเงาของตัวเองที่แตกสลาย “วิชาความสุข” ควรจะเป็นแสงสว่าง แต่สำหรับพวกเขา มันคือพายุที่พัดพาความทุกข์เก่าออกมาให้เผชิญหน้า นี่คือเรื่องราวของคลาสเรียนที่สอนให้รู้ว่าทุกข์คือครูที่ดีที่สุด และความสุขคือของขวัญที่ต้องแลกด้วยน้ำตา
การเดินทางจากความมืดสู่แสงสว่าง ผ่านน้ำตาและเสียงเพลง
ฝ้ายก้าวเข้าห้องด้วยรอยยิ้มฝืน ๆ เธอเคยเป็นนักจิตบำบัดที่ช่วยคนนับไม่ถ้วน แต่บาดแผลจากเคสที่พลาดไปยังคงกัดกินใจ วันนี้เธอสัญญากับตัวเองว่าจะเริ่มใหม่ ด้วยวิชาที่ผอ.จอยมอบหมาย “สอนพวกเขาให้รู้จักตัวเองนะ” คำพูดนั้นดังก้องในหัว แต่พอเห็นหน้าของกล้า เด็กหนุ่มผมยุ่งเหยิงที่จ้องเธอด้วยสายตาเย็นชา “ความสุข? มันไม่มีจริงหรอกครับ” คำพูดนั้นเหมือนมีดกรีดใจฝ้ายตั้งแต่คาบแรก กล้าโตมากับความว่างเปล่า พี่ชายเก่งคือเสาหลักที่ล้มลุกคลุกคลาน ทำทุกอย่างแม้ผิดกฎหมายเพื่อส่งน้องเรียน แต่กล้ากลับรู้สึกเป็นภาระ เขาระบายด้วยการกรีดแขนตัวเองในห้องน้ำ แต่ดนตรีคือเพื่อนเดียวที่ไม่เคยทรยศ เสียงกลองที่เขาตีในคลาสคือเสียงร้องไห้ที่ไม่มีใครได้ยิน
มิวนั่งเงียบ ๆ ข้าง ๆ วิน แฟนหนุ่มที่มือกุมมือเธอแน่นเกินไป มิวคือลูกสาวของหมอเวทินี ผู้หญิงที่โลกหมุนรอบความสมบูรณ์แบบ “เก่งที่สุดเท่านั้นถึงจะรัก” คำนั้นฝังรากลึกจนมิวกลายเป็นหุ่นเชิด เธอเรียนแพทย์เพราะแม่ ไม่ใช่เพราะใจ ซึมเศร้าคืบคลานทุกคืนที่เธอแสร้งยิ้ม วินดูเหมือนฮีโร่ หล่อ รวย สมบูรณ์ แต่เบื้องหลังคือเด็กชายที่ถูกพ่อแม่เปรียบเทียบจนแตกสลาย เขาบงการมิวเพราะกลัวเสียเธอไป เหมือนกลัวเสียตุ๊กตาที่ทำให้เขารู้สึกมีค่า
กู๊ดยิ้มกว้าง นั่งถ่ายรูปคลาสด้วยกล้องโทรศัพท์ เธอคือแสงแดดของห้อง แต่ยิ้มนั้นซ่อนความเหงา เฟรชชี่นิเทศที่อยากเป็นทุกอย่างเพื่อให้คนรัก “ทำไมไม่มีใครชวนกู๊ดไปปาร์ตี้ล่ะ” เธอถามตัวเองในไดอารี่ทุกคืน ฉายนั่งมุมห้อง หนุ่มวิศวะที่ยิ้มให้ทุกคน แต่ในกระจกส่วนตัว เขาแต่งหน้าทา lipstick สีแดง ซ่อนความปรารถนาที่จะเป็น “เธอ” ไว้ใต้เสื้อเชิ้ตแขนยาว ครอบครัวคาดหวังให้เขาแมน เขากลัวว่าถ้าเปิดเผย ทุกอย่างจะพังทลาย
แล้วอิฐก็โผล่เข้ามาเหมือนพายุเก่า เพื่อนมัธยมที่เคยรัก-เกลียดฝ้าย อดีตสตาร์บอยแบนด์ที่ดังระเบิดด้วยเพลงฮิตเพลงเดียว แต่ชีวิตดิ่งเหวเพราะอุตสาหกรรมที่กินคนไม่เลือกหน้า ตอนนี้เขาสอนดนตรีแบบหมดไฟ “ระบบนี้มันเน่าอยู่แล้ว” เขาบ่นกับฝ้ายตอนเจอหน้าเก่า แต่เมื่อกล้าตีกลองในคลาสจนเลือดซึมจากมือที่เจ็บ อิฐหยุดนิ่ง แล้วชวนกล้าตีต่อ “ดนตรีมันไม่โกหก มึงตีออกมาเลย” นั่นคือจุดเริ่มต้นที่อิฐกับฝ้ายต้องร่วมมือ ช่วยกล้าที่พ่ออยากลากกลับบ้านต่างจังหวัด อิฐไกล่เกลี่ยให้พ่อยอม กล้าอยู่บ้านอิฐชั่วคราว แล้วกลุ่มนี้เริ่มรวมตัว ตีกลองเปิดหมวกที่ตลาดนัด ฝ้ายช่วยยกของ มิวกู๊ดฉายช่วยกัน ขนาดยามไล่ยังกลายเป็นโมเมนต์หัวเราะที่อบอุ่น
แต่เงามืดยังมาเยือน โซเชียลระเบิดด้วยดราม่า #วิชาความสุขปลอม วิดีโอคลาสหลุด ฝ้ายถูกขุดเคสเก่าที่เธอปล่อยคนไข้ฆ่าตัวตาย “หมอปลอม!” คอมเมนต์ถาโถม ผอ.จอยถูกสอบสวน วิชาใกล้ถูกตัด กล้าถึงขั้นอยากดร็อป มิวยอมแพ้แม่ที่ด่าคลาสนี้เพ้อ วินทะเลาะกับมิวจนเกือบเลิก กู๊ดร้องไห้คนเดียวเพราะโดนแกล้งว่า “เด็กดีแต่ไม่มีเพื่อน” ฉายเกือบเปิดใจแต่โดนดราม่าทำให้กลัวยิ่งกว่าเดิม ฝ้ายยืนเดี่ยวท่ามกลางพายุ แต่คำพูดของอิฐดังขึ้น “มึงเคยบอกกูว่าอย่าหนี ตอนนี้ถึงตากูบอกมึง อย่าหนี” พวกเขาจัด sit-in คลาส กล้าตีกลองโชว์เรื่องราวชีวิตจริง มิวนำเสนอเคสซึมเศร้าของตัวเอง วินยอมรับความผิด กู๊ดแชร์รูปทุกโมเมนต์ทุกข์ ฉายแต่งตัวเป็นตัวเองครั้งแรกบนเวที เสียงเพลงของอิฐดังก้อง “ขอให้เธอเป็นคนสุดท้ายที่ทำให้กูเจ็บ” แต่ครั้งนี้มันคือเพลงแห่งการเยียวยา คณะกรรมการยอมถอย วิชารอด และทุกคนพบว่าทุกข์คือพื้นฐาน แต่การกล้าเผชิญคือกุญแจสู่ความสุข
ในยุคที่ละครไทยมักวนลูปด้วยโรแมนติกดราม่าแฟนตาซี “วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน” ทาง Thai PBS มาแบบสดใหม่ ด้วยธีมสุขภาพจิตที่ไม่หวานเลี่ยนแต่จริงจัง เรื่องนี้ได้กระแสดีตั้งแต่เทรลเลอร์ ด้วยนักแสดงหน้าใหม่ผสมรุ่นใหญ่ เคมีเข้ากัน และบทที่คมคาย ต่อไปนี้คือจุดเด่นของละคร
การแสดงคือจุดขายใหญ่ ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ ในบทฝ้ายแสดงได้ละเอียดอ่อน สะกดทุกฉากดราม่า โดยเฉพาะตอนเผชิญอดีตที่น้ำตาไหลแต่ยังยิ้มฝืน มันทำให้เห็นว่าทำไมเธอถึงเหมาะกับบท healer ที่บอบช้ำ
ธฤษณุ สรนันท์ เป็นอิฐได้เท่แบบมีรอยแผล ฉากร้องเพลงเก่าที่หมดไฟแต่ค่อย ๆ จุดประกายใหม่ น่าฟินสำหรับแฟน ๆ หน้าใหม่อย่างศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ ในบทกล้า เขาแสดงความเจ็บปวดแบบ raw จริง ๆ ฉากกรีดแขนหรือตีกลองระบายอารมณ์ ทำให้คนดูขนลุก ณฐมน จันทราวิภาต เป็นมิวได้เย็นชาแต่เปราะบาง ฉากทะเลาะกับแม่แวร์ โซว ที่ดูสมจริงจนเหมือนสารคดี
ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ วินเพอร์เฟกต์แต่ toxic แสดงได้น่าหมั่นไส้แต่เห็นใจ อรวรรยา โตสมบัติ กู๊ดสดใสแต่ลึกซึ้ง ปฏิภาณ ขุนเงิน ฉายเรื่องอัตลักษณ์เพศ แสดงได้ sensitive ไม่โอเวอร์ นักแสดงสมทบอย่างธิญาดา พรรณบัว ผอ.จอย สนับสนุนแต่มีน้ำหนัก และพิชญ์พงษ์ เก่งพี่ชายกล้า ที่ดูแข็งแต่ซ่อนความอ่อนแอ ทุกคนเคมีเข้ากันแบบกลุ่มเพื่อนจริง ๆ ไม่ใช่แค่แสดง
บทละครคืออีกจุดแข็ง บทโดยวิภาดา แหวนเพชร กับ ศุภฤกษ์ นิงสานนท์ เขียนได้คม ผสมฮาเบา ๆ กับดราม่าหนัก ธีมสุขภาพจิตไม่ใช่แค่พูด แต่แสดงผ่านกิจกรรมคลาส เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง หรือ sit-in โปรโมตวิชา มัน educate คนดูแบบไม่น่าเบื่อ ฉากโซเชียลโจมตีสะท้อนปัญหาจริงในไทย ที่ดราม่าไวรัลง่าย
การกำกับของวิรดา คูหาวันต์ ใช้มุมกล้อง close-up ใจมาก เน้นสีโทนอบอุ่นแต่มีเงามืด เพลงประกอบ ซึ้งกินใจ กระแสโซเชียลดีมาก ตั้งแต่ตอน 1 ที่กล้าพูด “ความสุขไม่มีจริง” คนดูแชร์กันเพียบ ตอน 5 ที่กลุ่มช่วยกล้าตีกลองเปิดหมวก อบอุ่นจน trending
คะแนนโดยรวม 8.5/10 วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน ไม่ใช่ละครที่ดูจบแล้วลืม แต่เป็นเรื่องที่ชวนให้กลับมาคิดถึงใจตัวเอง ถ้าคุณกำลังทุกข์ ลองเปิดดู มันอาจจะกลายเป็นคลาสเรียนส่วนตัวของคุณเอง
การแสดง (9/10) นี่คือคะแนนสูงสุด เพราะนักแสดงทุกรุ่นทุ่มสุดตัว ชัญญาและธฤษณุเคมีเพื่อนเก่าที่มีไฟเก่า ศดานนท์แสดงกล้าได้ raw จนคนดูอินหนัก ณฐมนกับณัฐพัชร์คู่ toxic ที่สมจริง อรวรรยาและปฏิภาณเพิ่มสีสันสดใสแต่ลึก ลบคะแนนแค่นิดเดียวเพราะบางฉากหน้าใหม่ยัง stiff เล็กน้อย แต่โดยรวมคือ peak
บทและพล็อต (8.5/10) บทคม ธีมสุขภาพจิต อัตลักษณ์เพศ toxicity เข้มข้นแต่ไม่ preach มากเกิน พล็อตค่อย ๆ build จากคลาสเล็กสู่ดราม่าโซเชียลได้น่าติดตาม ลบเพราะบาง arc ช้า เช่น ปัญหาครอบครัวกล้าที่ยืด แต่ตอนจบ empowering มาก คะแนนนี้มาจากรีวิวที่บอกว่ามัน “educate without boring”
กำกับและโปรดักชัน (8/10) กำกับดี ใช้มุมกล้องเน้นอารมณ์ เพลงประกอบซึ้ง ฉากมหา’ลัยอบอุ่น แต่โปรดักชันงบน้อย ฉากบางจุดดู low-budget ลบคะแนนตรงนี้ แต่ compensate ด้วย editing ที่ไหลลื่น
impact และกระแส (9/10) สูงมาก เพราะชวนคนดูพูดเรื่อง mental health ตั้งแต่ EP1 trending #วิชาทุกข์พื้นฐาน บน X มีแชร์เรื่องส่วนตัวเพียบ รีวิวจากเว็บอย่าง mgronline ชมว่ามัน timely สะท้อนสังคมไทย คะแนนนี้จาก engagement สูง
รวมแล้ว 8.5/10 คือคะแนนที่ fair มาก สำหรับละคร public TV ที่เน้นสาระมากกว่าความบันเทิงล้วน ๆ มันไม่ perfect แต่ perfect ในแง่ที่ทำให้คนดูเติบโต
ตอนแรกที่เปิดดู ความรู้สึกคือความอึดอัดผสมสงสาร กล้านั่งพูด “ความสุขไม่มีจริง” มันเหมือนคำพูดที่เคยหลุดจากปากตัวเองในวันที่แย่สุด ๆ ฉากมิวถูกแม่กดดันให้เก่งที่สุด มันบีบหัวใจเพราะสะท้อนแรงกดจากสังคมที่คาดหวัง perfection วินบงการแฟนแบบไม่รู้ตัว มันทำให้รู้สึกโกรธแต่ก็เห็นใจ เพราะ toxicity มันเกิดจากบาดแผลที่ถ่ายทอดข้ามรุ่น กู๊ดยิ้มสดใสแต่เหงาในใจ ฉายซ่อนอัตลักษณ์ มันทำให้รู้สึกว่าทุกคนในคลาสนี้คือตัวแทนของคนที่เคยรู้สึก “ไม่พอ” บางที
ยิ่งดู ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนเป็นความหวังเล็ก ๆ ฉากที่กลุ่มช่วยกล้าตีกลองเปิดหมวกที่ตลาดนัด มันอบอุ่นจนน้ำตาซึม เหมือนได้เห็นว่าแม้ชีวิตจะล้ม แต่การยื่นมือช่วยกันสามารถจุดประกายได้ อิฐกับฝ้ายคืนดีจากกำแพงเก่า มันทำให้รู้สึกโล่งใจ เพราะบางความสัมพันธ์ที่เคยพัง สามารถซ่อมได้ด้วยเวลาและความเข้าใจ ฉาก sit-in คลาสต่อต้านดราม่าโซเชียล มัน exhilarating เหมือนได้เข้าร่วมการประท้วงเพื่อตัวเอง การที่วิชารอดและเด็ก ๆ เติบโต มันปลดปล่อย catharsis ที่สะสมมา ทำให้รู้สึก empowered ว่าทุกข์ไม่ใช่จุดจบ แต่เป็นบทเรียน
ละคร วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2568 ความรู้สึกคือความสงบผสม gratitude มันไม่ใช่ happy ending แบบ fairy tale แต่เป็น realistic ที่ทำให้เชื่อว่าความสุขคือการกล้ายอมรับทุกข์ก่อน ละครนี้ชวนให้หยุด scroll โซเชียล แล้วหันมามองใจตัวเองจริง ๆ วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน ทิ้งไว้ด้วยความรู้สึกที่เบาสบายกว่าเดิม เหมือนได้ออกจากคลาสที่หนัก แต่กลับบ้านด้วยกระเป๋าเต็มไปด้วยเครื่องมือเยียวยาตัวเอง
ละคร วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2568
ละคร วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2568 EP.1-16 ตอนจบTHAIPBS
ซีน ละคร วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2568
ละคร วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2568
ในคลาสเรียนที่ชื่อว่าทุกข์แต่สุดท้ายมันฮีลใจแบบสุด ๆ ละคร “วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน” ทาง Thai PBS ปี 2568 เป็นเรื่องที่พูดถึง mental health การยอมรับตัวเอง และดราม่าครอบครัวที่เราคุ้นเคยจนน้ำตาซึม
“ฝ้าย” สาววัย 30 รับบทโดยนิ้ง ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ อดีตนักจิตบำบัดที่ชีวิตเคยพังหนักเพราะพลาดเคสใหญ่ไปคนนึง จนบาดแผลในใจยังไม่หาย เธอเลยถอยห่างจากทุกอย่าง รวมถึงงานสอนที่เธอรักมาก ใช้ชีวิตเงียบ ๆ แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไป จนกระทั่ง “ผอ.จอย” วัย 45 รับบทโดยธิญาดา พรรณบัว หัวสมัยใหม่จบดอกเตอร์บริหารการศึกษา ชวนเธอมาสอนวิชาใหม่ชื่อ “วิชาความสุข” ที่มหา’ลัยสุวรรณธานี วิชานี้ไม่ใช่ยัดสูตรสำเร็จ แต่เน้นให้นักศึกษาได้ค้นหาตัวเอง เข้าใจอารมณ์ตัวเองแบบอิสระ ๆ ฝ้ายลังเลหนัก แต่สุดท้ายยอมเพราะอยากเริ่มใหม่ หวังว่ามันจะช่วยเยียวยาเธอด้วย
แต่ พอเปิดคลาสวันแรก มันไม่ใช่คลาสปกติเลยนะ นักศึกษาที่สมัครมามีแค่ 5-6 คน แต่ละคนปัญหาโคตรหนัก เหมือนโชคชะตาโยน “เด็กพัง” มาทุ่มรวมกันในห้องเดียว
เริ่มจาก “กล้า” รับบทโดยศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ นักศึกษาปี 4 คณะครุศาสตร์ดนตรี วัย 22 โตมากับพี่ชาย “เก่ง” รับบทโดยพิชญ์พงษ์ นาคะยืนยงสุข ที่ชีวิตปากกัดตีนถีบ ทำอาชีพเทา ๆ ผิดกฎหมายเพื่อเลี้ยงน้องหลังแม่ตายพ่อทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ กล้าเลยไม่เคยรู้จักความอบอุ่น ไม่เชื่อความรัก ไม่เชื่อความสุขอะไรทั้งนั้น เคยชินกับการกรีดแขนตัวเองเพื่อระบายความเจ็บในใจ แต่ดนตรีคือที่พักเดียวที่ทำให้เขายิ้มได้ พอเข้าคลาส เขายืนกรานเลย “ความสุขไม่มีจริงหรอกครับ” ฝ้ายเลยต้องคอยช่วยเหลือแบบงง ๆ เพราะกล้าไม่เคยอยากได้ความช่วยเหลือจากใคร แต่ยิ่งช่วย ยิ่งเห็นว่าเขาอยากมี “พื้นที่ปลอดภัย” จริง ๆ
ต่อด้วย “มิว” รับบทโดยณฐมน จันทราวิภาต นักศึกษาแพทย์ปี 2 ที่ชีวิตถูกกดทับด้วยแม่ “พญ.เวทินี” รับบทโดยแวร์ โซว อาจารย์หมอชื่อดังเข้มงวดสุดขีด มิวโตมาแบบต้องเก่งที่สุด ดีที่สุดตลอด ไม่เคยทำอะไรตามใจตัวเอง ชินกับการทำให้ทุกคนพอใจจนกลายเป็นคนเย็นชา เก็บกดหนักจนซึมเศร้าคืบคลาน แฟนหนุ่ม “วิน” รับบทโดยณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ นักศึกษาเศรษฐปี 3 ดูเพอร์เฟกต์ หล่อบ้านรวย แต่จริง ๆ เขาโตมาจากครอบครัวที่เปรียบเทียบตลอด บางวันดีบางวันดุ ทำให้วินขาดความมั่นคง หาความรักแบบยึดติด บงการมิวแบบไม่รู้ตัว ไม่สนใจจิตใจเธอเลย ดราม่าคู่นี้ toxic สุด ๆ ทุกคน
แล้วก็ “กู๊ด” รับบทโดยอรวรรยา โตสมบัติ เฟรชชี่ปี 1 นิเทศสดใส มองโลกดี ชอบถ่ายรูปบันทึกทุกโมเมนต์ แต่ลึก ๆ เธอขาดความมั่นใจ รู้สึกตัวเองไม่ดีพอ อยากได้การยอมรับจากทุกคนจนเหงาใจ “ฉาย” รับบทโดยปฏิภาณ ขุนเงิน นักศึกษาวิศวะไฟฟ้าปี 4 หนุ่มหน้าใสที่ใคร ๆ ชอบ แต่ซ่อนอัตลักษณ์ทางเพศไว้ลึก ๆ เขาหลงใหลการแต่งตัวและแสดงออกแบบผู้หญิง แต่ต้องแสร้งแมนเพื่อครอบครัวและสังคม กลัวถูกตีตราเครียดสะสมหนัก
ฝ้ายพยายามสอนด้วยกิจกรรมเจ๋ง ๆ เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง แชร์เรื่องส่วนตัว หรือทำโปรเจ็กต์กลุ่ม แต่คลาสนี้กลายเป็นสนามรบทางใจเลยนะ กล้าถึงขั้นทะเลาะกับฝ้ายบ่อย มิวกะวินดราม่า toxicity วินควบคุมมิวหนัก กู๊ดพยายามเข้ากลุ่มแต่โดนมองข้าม ฉายค่อย ๆ เปิดใจเรื่องอัตลักษณ์ทีละนิด ท่ามกลางความวุ่นวายนี้ ฝ้ายได้เจอ “อิฐ” รับบทโดยธฤษณุ สรนันท์ เพื่อนมัธยมเก่าที่สุดป๊อบ อดีตบอยแบนด์วัย 30 ที่เคยดังระเบิดเพลงฮิตเพลงเดียวแต่ชีวิตดิ่งเพราะระบบอคติ ตอนนี้สอนดนตรีแบบหมดไฟ ขวางโลก ไม่เชื่อมั่นตัวเองเพราะระบบการศึกษาไทยที่เน่าเฟะ แต่ทั้งคู่มีกำแพงจากอดีตเก่า ๆ ที่เคยทะเลาะหนัก สุดท้ายต้องร่วมมือกันช่วยเด็ก ๆ โดยเฉพาะกล้าที่อิฐชวนไปตีกลองเปิดหมวกหาเงิน ฝ้ายกับเด็ก ๆ ช่วยยกของ หัวเราะกับยามไล่ จนกล้าค้นพบความรักตัวเองและพื้นที่ปลอดภัยจากคลาสนี้ เพื่อน ๆ เริ่มกลายเป็นครอบครัว
แต่ดราม่าใหญ่กำลังมา คลาสนี้โดนโจมตีในโซเชียล #วิชาความสุขปลอม ไวรัลง่ายมาก วิดีโอคลาสหลุด คนด่าว่าเพ้อเจ้อ สอนไร้สาระ ฝ้ายถูกขุดอดีตเคสเก่าที่เธอปล่อยคนไข้ฆ่าตัวตาย “หมอปลอม!” คอมเมนต์ถาโถม ผอ.จอยถูกสอบสวน วิชาเสี่ยงถูกยุบ กล้าถึงขั้นอยากดร็อป มิวยอมแพ้แม่ที่ด่าคลาส วินทะเลาะกับมิวจนเกือบเลิก กู๊ดร้องไห้โดนแกล้ง ฉายกลัวเปิดใจ ฝ้ายยืนเดี่ยวท่ามกลางพายุ
แต่คำพูดอิฐดังขึ้น “มึงเคยบอกกูว่าอย่าหนี ตอนนี้กูบอกมึง อย่าหนี!” พวกเขาจัด sit-in คลาส กล้าตีกลองโชว์ชีวิตจริง มิวนำเสนอเคสซึมเศร้า วินยอมรับผิด กู๊ดแชร์รูปทุกข์ ฉายแต่งตัวเป็นตัวเองบนเวที เพลง “ขอให้เธอเป็นคนสุดท้าย” ของโรส ศิรินทิพย์ ดังก้อง คณะกรรมการยอมถอย วิชารอด! ทุกคนเติบโต กล้าพบรัก มิวยืนหยัด วินปล่อยวาง กู๊ดมั่นใจ ฉายเป็นตัวเอง ฝ้ายกับอิฐคืนดีจากกำแพงเก่า
เบื้องหลังละคร “วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน” ที่ไม่ใช่แค่ถ่ายทำธรรมดา แต่เต็มไปด้วย passion จากทีมงานค่าย Juve9 ร่วมกับ Thai PBS ปี 2568 ชื่อนี้มันสะท้อนเลยว่าทุกข์พื้นฐาน แต่เบื้องหลังคือการสร้างสรรค์ที่ฮีลใจ
จากไอเดียสู่วิชาที่เปลี่ยนวงการละครไทย
ละครเรื่องนี้เกิดจากไอเดียของทีมค่าย จูเวไนล์ จำกัด (Juve9) ที่ขึ้นชื่อเรื่องเนื้อหาลึกซึ้ง สะท้อนสังคมไทยสมัยใหม่ โดยเฉพาะ mental health ที่ใกล้ตัวมาก พวกเขาร่วมมือกับ Thai PBS ช่องสาธารณะที่เน้นสาระ+บันเทิง เพื่อสร้างซีรีส์ที่ไม่ใช่แค่ดูสนุก แต่ educate คนดูด้วย

บทประพันธ์และบทโทรทัศน์มาจากสุดยอดทีม “วิภาดา แหวนเพชร” กับ “ศุภฤกษ์ นิงสานนท์” สองคนนี้คือ mastermind ที่เขียนบทได้คมกริบ ผสมดราม่าหนัก ๆ กับโมเมนต์อบอุ่นแบบไม่ preach เกินไป วิภาดาเคยดังจากบทละครฮิตหลายเรื่อง ส่วนศุภฤกษ์คือมือใหม่ไฟแรงที่เน้น psychology ลึก ๆ

พวกเขารื้อโครงเรื่องจาก concept “วิชาความสุขในมหา’ลัย” ให้กลายเป็น “วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน” ที่สะท้อนปัญหาวัยรุ่นไทยจริง ๆ เช่น ซึมเศร้า toxicity อัตลักษณ์เพศ และดราม่าโซเชียล บทเขียนใช้เวลา 6 เดือน รวบรวม research จากนักจิตวิทยาจริง ๆ เพื่อให้ accurate ไม่ใช่แค่ fiction
กำกับการแสดงโดย “วิรดา คูหาวันต์” ผู้กำกับสาวที่เคยทำละครแนว coming of age มาแล้วหลายเรื่อง เธอเน้นการถ่ายทำแบบ intimate ใช้มุมกล้อง close up เพื่อจับอารมณ์ตัวละครให้คนดูอินหนัก วิรดาบอกในสัมภาษณ์ว่า “เราอยากให้คลาสเรียนนี้รู้สึกจริง เหมือนนั่งเรียนด้วยกัน”

การถ่ายทำเริ่มหลังบวงสรวง 17 กรกฎาคม 2568 ที่ศาลพระพรหม Thai PBS คึกคักมาก มีดร.วิลาสินี พิพิธกุล ผู้อำนวยการ ส.ส.ท. และรติวัลคุ์ ธนาธรรมโรจน์ CEO Juve9 มาร่วม นักแสดงหลักทั้งชัญญา ธฤษณุ ศดานนท์ ณฐมน อรวรรยา ปฏิภาณ ณัฐพัชร์ ธิญาดา แวร์ และพิชญ์พงษ์ ตบเท้ามาเกือบ 40 คน บรรยากาศอบอุ่นแต่จริงจัง เพราะธีมหนัก ไลฟ์สดผ่าน Facebook/YouTube Thai PBS ด้วย มีแฟน ๆ ชมว่า “นักแสดงเคมีดีตั้งแต่ยังไม่ถ่าย”
เบื้องหลังการผลิต Juve9 ทุ่มงบเพื่อ realism สูง ถ่ายทำที่มหาลัยจริงในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เพื่อให้ฉากคลาสเรียนดู authentic ทีมงานมี workshop กับนักจิตวิทยา เพื่อช่วยนักแสดงหน้าใหม่อย่างศดานนท์และปฏิภาณ ถ่ายทอดบาดแผลทางใจได้ raw ไม่โอเวอร์ โดยเฉพาะฉากกรีดแขนของกล้า หรือฉากอัตลักษณ์เพศของฉาย ที่ sensitive มาก
วิรดาใช้เทคนิค improv บางฉาก เพื่อให้บทสนทนาธรรมชาติ เพลงประกอบ ถูกแต่งพิเศษเพื่อ match ธีมเยียวยา การโปรโมตก็เจ๋ง บวงสรวงรวมกับละครอื่น ๆ อย่าง “แซนดี้ ครูแสนดี” และ “อาชญาโกง 2” เพื่อสร้าง buzz ทีมงานบอกว่าการถ่ายทำใช้เวลา 3 เดือน ท่ามกลางโควิด aftermath แต่ทุกคน passion สูง เพราะอยากให้ละครนี้เป็นกระจกสะท้อนสังคมไทย กระแสเบื้องหลังบนโซเชียลดีมาก ตั้งแต่ teaser นักแสดงแชร์ BTS อย่างธฤษณุที่ลองตีกลองจริง หรือชัญญาที่ workshop จิตบำบัด ทำให้แฟน ๆ ติดตามก่อนออกอากาศ
จากบทลึก ๆ ของวิภาดา-ศุภฤกษ์ กำกับละเมียดของวิรดา ไปจนทีม Juve9 ที่ทุ่มสุดใจ มันทำให้ละครเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ show แต่เป็น movemen
นักแสดง
→ ชัญญา แม็คคลอรี่ย์ รับบท ฝ้าย

ฝ้ายคืออดีตนักจิตบำบัดที่เคยช่วยคนนับไม่ถ้วน แต่เคสหนึ่งที่เธอตัดสินใจผิดพลาดจนคนไข้เสียชีวิต ทำให้ความรู้สึกผิดเกาะกินใจเธอทุกวัน เธอถอยห่างจากทุกอย่าง เลิกสอนเลิกบำบัด ใช้ชีวิตเงียบ ๆ แบบหลบ ๆ ซ่อน ๆ ไป จนกระทั่งผอ.จอยชวนมาสอนวิชาความสุข วิชาใหม่ที่เน้นให้นักศึกษาได้ค้นหาตัวเอง เข้าใจอารมณ์ตัวเองแบบอิสระ ๆ ฝ้ายลังเลหนัก แต่สุดท้ายยอมเพราะอยากเริ่มใหม่ หวังว่ามันจะช่วยเยียวยาเธอด้วย หน้าที่อาจารย์ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับบาดแผลเก่า ๆ อีกครั้ง โดยเฉพาะเมื่อคลาสนี้เต็มไปด้วยเด็กมีปัญหา กล้า มิว วิน กู๊ด ฉาย แต่ละคนมีปมหนัก เธอคอยช่วยเหลือแบบไม่ยอมแพ้ แม้บางครั้งเด็ก ๆ จะปฏิเสธ
ฝ้ายใช้ประสบการณ์จิตบำบัดมาออกแบบกิจกรรม เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง แชร์เรื่องส่วนตัว หรือทำโปรเจ็กต์กลุ่ม เพื่อเปิดใจเด็ก ๆ แต่ยิ่งสอน ยิ่งเจอดราม่าโซเชียลโจมตีวิชานี้ ฝ้ายถูกขุดอดีตเคสเก่า จนคณะกรรมการสอบสวนเธอ วิชาเสี่ยงถูกยุบ ฝ้ายต้องยืนเดี่ยวท่ามกลางพายุ แต่สุดท้ายเธอพิสูจน์ว่าวิชานี้ช่วยชีวิตคนได้จริง ผ่านการ sit-in คลาสที่เด็ก ๆ โชว์เรื่องราวชีวิตตัวเอง ฝ้ายเติบโตไปพร้อมเด็ก ๆ เธอเรียนรู้ที่จะให้อภัยตัวเอง และกลายเป็น healer ที่แท้จริง ไม่ใช่แค่สำหรับเด็ก ๆ แต่สำหรับตัวเธอเองด้วย
ฉายา “Healer ที่แตกสลาย”
ฝ้ายถูกเรียกแบบนี้เพราะเธอคือ healer ที่เคยช่วยคนอื่นมานับไม่ถ้วน แต่ตัวเธอเองแตกสลายจากบาดแผลเคสเก่า ความรู้สึกผิดทำให้เธอถอยหนีโลก แต่การกลับมาสอนวิชาความสุขคือจุดเปลี่ยน เธอใช้ความเจ็บปวดของตัวเองเป็นเครื่องมือเยียวยาเด็ก ๆ คลาสนี้กลายเป็นกระจกสะท้อนตัวเธอเอง ทุกครั้งที่ช่วยกล้าที่ทำร้ายตัวเอง มิวที่ซึมเศร้า หรือฉายที่ซ่อนอัตลักษณ์ เธอก็กำลังเยียวยาตัวเองไปด้วย ฉายานี้สะท้อน duality ของเธอ healer ที่แข็งแกร่งแต่เปราะบาง ผู้ที่เข้าใจความทุกข์เพราะเคยจมอยู่กับมัน สุดท้ายเธอพิสูจน์ว่า healer ที่แตกสลายสามารถลุกขึ้นมาเป็นแสงสว่างให้คนอื่นได้ ถ้าเธอกล้าที่จะเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดของตัวเองก่อน
ข้อคิด “การเยียวยาคนอื่น เริ่มจากการให้อภัยตัวเอง”
ฝ้ายสอนเราว่าการเป็น healer ไม่ใช่แค่ช่วยคนอื่น แต่ต้องเริ่มจากตัวเองก่อน เธอเคยหนีบาดแผล แต่การกลับมาสอนวิชาความสุขทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาดเก่า ๆ การช่วยเด็ก ๆ ที่มีปมหนัก ๆ คือการช่วยตัวเธอเองไปด้วย ทุกกิจกรรมที่เธอออกแบบ เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง หรือแชร์เรื่องส่วนตัว มันไม่ใช่แค่สำหรับเด็ก ๆ แต่สำหรับเธอด้วย การ sit-in คลาสที่วิชาเสี่ยงถูกยุบ เธอพิสูจน์ว่าการให้อภัยตัวเองคือกุญแจสู่การเยียวยา ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังโทษตัวเอง เราจะช่วยใครได้จริง ๆ หรือ ข้อคิดจากฝ้ายคือ healer ที่ดีที่สุดคือคนที่เคยแตกสลาย แต่เลือกที่จะลุกขึ้นมาใหม่
→ ธฤษณุ สรนันท์ รับบท อิฐ

อิฐคืออดีตบอยแบนด์วัย 30 ที่เคยดังระเบิดด้วยเพลงฮิตเพลงเดียวเมื่อสิบปีก่อน ยุคนั้นเขาคือซุปตาร์ตัวจริง แต่ระบบอุตสาหกรรมบันเทิงที่กินคนไม่เลือกหน้า ทำให้ความฝันศิลปินของเขาพังทลาย เขาต้องหันหลังให้เวที หันมาเป็นครูสอนดนตรีในระบบการศึกษาไทยที่เขามองว่าเน่าเฟะ การต้องสอนในกรอบที่ไม่เคยเหมาะกับเขา ทำให้อิฐกลายเป็นคนหมดไฟ ขวางโลก ไม่เชื่อมั่นอะไรอีก แม้แต่ตัวเอง เขาใช้ชีวิตแบบวันต่อวัน ไม่สนใจเด็ก ๆ ในคลาส จนกระทั่งได้เจอฝ้าย เพื่อนมัธยมเก่าที่เคยมีกำแพงกันหนัก ทั้งคู่เคยทะเลาะกันจากเรื่องในอดีต แต่การร่วมสอนวิชาความสุขทำให้ต้องทำงานด้วยกัน
อิฐเริ่มเห็นเด็ก ๆ ในคลาส โดยเฉพาะกล้าที่ระบายความเจ็บด้วยการตีกลอง เขาชวนกล้าไปตีกลองเปิดหมวกที่ตลาดนัด ช่วยยกของ หัวเราะกับยามไล่ จนกลายเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่ม อิฐค่อย ๆ กลับมามั่นใจผ่านการช่วยเด็ก ๆ เขาใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือเยียวยา ไม่ใช่แค่เด็ก ๆ แต่ตัวเขาเองด้วย เมื่อวิชาโดนโซเชียลโจมตี อิฐคือคนที่ยืนเคียงข้างฝ้าย จัด sit-in คลาส โชว์เพลงเก่าที่เคยดังแต่ครั้งนี้มันคือเพลงแห่งการเยียวยา สุดท้ายอิฐคืนดีกับฝ้าย และพบว่าความฝันศิลปินของเขายังไม่ตาย แค่เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการสอนดนตรีที่มาจากใจจริง
ฉายา “ซุปตาร์ที่มอดไหม้”
อิฐถูกเรียกแบบนี้เพราะเขาเคยเป็นซุปตาร์ที่สว่างไสวบนเวที แต่ระบบที่กินคนทำให้เขามอดไหม้จนเหลือแต่ขี้เถ้า ความฝันศิลปินถูกเผาทิ้ง เขากลายเป็นครูสอนดนตรีที่หมดไฟ ขวางโลก แต่การเจอเด็ก ๆ ในคลาส โดยเฉพาะกล้าที่ใช้ดนตรีระบายความเจ็บ ทำให้ไฟในใจเขาค่อย ๆ คุกรุ่นขึ้นอีกครั้ง การชวนกล้าตีกลองเปิดหมวกคือจุดที่ไฟเก่ากลับมาจุดใหม่ ฉายานี้สะท้อนการเดินทางของเขา จากซุปตาร์ที่เคยสว่างแต่ถูกดับ กลายเป็นคนที่จุดไฟให้คนอื่นผ่านดนตรี สุดท้ายเขาไม่ใช่ซุปตาร์บนเวที แต่เป็นซุปตาร์ในใจเด็ก ๆ ที่ทำให้พวกเขาเชื่อว่าดนตรีสามารถเยียวยาได้
ข้อคิด “ไฟที่มอดไหม้ สามารถจุดใหม่ได้ ถ้ากล้าที่จะแบ่งปัน”
อิฐสอนเราว่าความฝันที่เคยพัง มันไม่ใช่จุดจบ เขาเคยเป็นซุปตาร์ที่หมดไฟ แต่การช่วยกล้าตีกลองเปิดหมวก การใช้ดนตรีเยียวยาเด็ก ๆ ทำให้เขาเห็นว่าความสามารถของเขายังมีค่า การ sit-in คลาสที่วิชาเสี่ยงถูกยุบ เขาโชว์เพลงเก่าที่เคยดัง แต่ครั้งนี้มันคือเพลงแห่งการเยียวยา ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังมีไฟในใจ แม้จะมอดไหม้ไปแล้ว การแบ่งปันมันให้คนอื่นคือวิธีจุดไฟใหม่ อิฐพิสูจน์ว่าไฟที่เคยสว่างบนเวที สามารถสว่างในใจคนอื่นได้ ถ้าเรากล้าที่จะลุกขึ้นมาใหม่
→ ศดานนท์ ดุรงคเวโรจน์ รับบท กล้า

กล้าคือตัวละครหลักที่เป็นศูนย์กลางดราม่าของคลาสวิชาความสุข นักศึกษาปี 4 คณะครุศาสตร์ดนตรี วัย 22 ปี โตมากับพี่ชายเก่งที่ทำอาชีพเทา ๆ ผิดกฎหมายเพื่อเลี้ยงน้อง หลังแม่ตายและพ่อทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ ชีวิตกล้าลุ่ม ๆ ดอน ๆ ตั้งแต่เด็ก ไม่เคยสัมผัสความอบอุ่นหรือความปลอดภัยในครอบครัว เขาไม่เชื่อในความรัก ไม่เคยรู้จักความสุขอะไรทั้งนั้น จนบางครั้งการทำร้ายร่างกายตัวเอง เช่น กรีดแขน กลายเป็นทางระบายความเจ็บปวดภายในโดยไม่รู้ตัว แต่ดนตรีคือสิ่งเดียวที่ทำให้เขาพอจะยิ้มได้ โดยเฉพาะการตีกลองที่ระบายอารมณ์ได้ลึกซึ้ง
พอเข้าคลาสวิชาความสุขของฝ้าย เขายืนกรานทันทีว่าความสุขไม่มีอยู่จริง ท้าทายฝ้ายและเพื่อน ๆ ในคลาสอย่างมิว วิน กู๊ด ฉาย ฝ้ายคอยช่วยเหลือบ่อย ๆ แม้กล้าจะปฏิเสธเพราะไม่เคยไว้ใจใคร อิฐอาจารย์ดนตรีชวนเขาตีกลองเปิดหมวกที่ตลาดนัด ช่วยยกของ หัวเราะกับยามไล่ จนกล้าค้นพบพื้นที่ปลอดภัยและเพื่อนแท้จากคลาสนี้ เมื่อพ่ออยากลากกลับต่างจังหวัดเพราะปัญหาเงิน อิฐไกล่เกลี่ยให้พ่อยอม กล้าอยู่บ้านอิฐชั่วคราว และกลุ่มช่วยกันจนกล้าพบความรักตัวเองผ่านดนตรีและมิตรภาพ แต่ดราม่าโซเชียลโจมตีวิชา กล้าถึงขั้นอยากดร็อปเรียน แต่สุดท้ายเขาตีกลองใน sit-in คลาส โชว์เรื่องราวชีวิตจริง กลายเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยให้วิชารอดและทุกคนเติบโต
ฉายา “นักตีกลองที่ไร้รอยยิ้ม”
กล้าถูกเรียกแบบนี้เพราะเขาใช้การตีกลองระบายความเจ็บปวด แต่ใบหน้าแทบไม่มีรอยยิ้มจากชีวิตที่ขาดความอบอุ่น กรีดแขนตัวเองเพื่อทุเลาความทุกข์ภายใน ดนตรีคือที่พักใจเดียว แต่การเข้าคลาสวิชาความสุขทำให้เปลี่ยน ฝ้ายและอิฐช่วยให้เขาค้นพบมิตรภาพ การตีกลองเปิดหมวกกลายเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ยิ้มได้จริง ฉายานี้สะท้อนการเดินทางจากเด็กที่ไร้ความสุข สู่คนที่ใช้ดนตรีเชื่อมโยงกับคนอื่น สุดท้ายใน sit-in คลาส เสียงกลองของเขาคือสัญลักษณ์แห่งการเยียวยา ที่พิสูจน์ว่าดนตรีสามารถนำรอยยิ้มกลับมาได้
ข้อคิด “ดนตรีคือพื้นที่ปลอดภัยที่นำทางสู่ความสุข”
กล้าสอนเราว่าความสุขไม่ใช่สิ่งที่หาได้ง่าย แต่ดนตรีสามารถเป็นสะพานเชื่อมสู่มันได้ เขาไม่เชื่อความสุขเพราะชีวิตขาดอบอุ่น แต่การตีกลองในคลาสและกับเพื่อน ๆ ทำให้พบพื้นที่ปลอดภัย การช่วยเหลือจากฝ้ายอิฐ และกลุ่มมิวคนอื่น ๆ ทำให้เขาเปิดใจ ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเราเคยเจ็บปวด การหาสิ่งที่รักอย่างดนตรี แล้วแบ่งปันมัน สามารถนำไปสู่การเยียวยาและมิตรภาพที่แท้จริง สุดท้ายกล้าพิสูจน์ว่าดนตรีไม่ใช่แค่ระบาย แต่เป็นกุญแจสู่การยอมรับตัวเองและความสุขที่แท้
→ ณฐมน จันทราวิภาต รับบท มิว

มิวคือนักศึกษาแพทย์ปี 2 ที่ชีวิตถูกกำหนดด้วยมาตรฐานสูงสุดจากแม่ พญ.เวทินี อาจารย์หมอชื่อดังที่เข้มงวดสุดขีด เธอเติบโตมาในกรอบที่ต้องเก่งที่สุด ดีที่สุดตลอดเวลา ไม่เคยมีโอกาสทำอะไรตามความต้องการตัวเองเลยแม้แต่ครั้งเดียว ชินกับการทำให้ทุกคนพอใจจนกลายเป็นคนเย็นชาในสายตาคนอื่น ภายในเต็มไปด้วยความเครียดจากการแข่งขันเรียนแพทย์และแรงกดดันจากแม่ จนซึมเศร้าคืบคลานเข้ามาทุกวัน แต่เธอไม่เคยแสดงออก แฟนหนุ่มวินที่ดูเพอร์เฟกต์กลับยิ่งเพิ่ม toxicity เพราะเขาบงการเธอแบบไม่รู้ตัว
มิวเข้าคลาสวิชาความสุขเพราะหวังหาทางออก แต่กลับเจอเด็กมีปัญหาอย่างกล้า กู๊ด ฉาย และวินที่ทะเลาะกันบ่อย ๆ ฝ้ายพยายามช่วยเธอผ่านกิจกรรมเปิดใจ เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง หรือแชร์เรื่องส่วนตัว แต่มิวปิดกั้นตัวเองหนัก จนกระทั่งดราม่าโซเชียลโจมตีวิชา แม่ด่าว่าคลาสนี้เพ้อเจ้อ มิวถึงขั้นยอมแพ้และเกือบถอนตัว แต่การเห็นกล้าตีกลองระบายความเจ็บ ทำให้เธอเริ่มเปิดปากเล่าเรื่องซึมเศร้าของตัวเองครั้งแรก ใน sit-in คลาส มิวนำเสนอเคสซึมเศร้าจากมุมมองนักศึกษาแพทย์ เผชิญหน้ากับแม่ตรง ๆ เป็นครั้งแรก สุดท้ายเธอเลือกเดินตามทางตัวเอง ไม่ใช่ตามแม่ และเรียนรู้ที่จะปล่อยวางจากความสมบูรณ์แบบที่ครอบงำชีวิต
ฉายา “หุ่นเชิดที่สมบูรณ์แบบ”
มิวถูกเรียกแบบนี้เพราะเธอคือหุ่นเชิดที่ถูกแม่และสังคมดึงเชือกให้สมบูรณ์แบบตลอดเวลา เก่ง ดี เย็นชา แต่ภายในแตกสลายจากซึมเศร้า การเข้าคลาสวิชาความสุขคือจุดที่เชือกเริ่มคลาย ฝ้ายและเพื่อน ๆ ช่วยให้เธอเห็นว่าความสมบูรณ์แบบไม่ใช่ทุกอย่าง ฉายานี้สะท้อน duality ของเธอ หุ่นที่ดูแข็งแกร่งแต่เปราะบาง การเผชิญหน้ากับแม่ใน sit-in คือการตัดเชือกครั้งแรก สุดท้ายเธอไม่ใช่หุ่นเชิดอีกต่อไป แต่เป็นคนที่เลือกทางเดินด้วยตัวเอง
ข้อคิด “ความสมบูรณ์แบบคือกรงที่ใหญ่ที่สุด”
มิวสอนเราว่าการพยายามสมบูรณ์แบบเพื่อคนอื่นคือการขังตัวเองในกรงที่มองไม่เห็น เธอเก่งแต่ไม่เคยมีความสุข เพราะทุกอย่างถูกกำหนดจากแม่และสังคม การเปิดใจในคลาสและเผชิญหน้ากับแม่ทำให้เธอเห็นว่ากรงนี้สามารถเปิดได้ ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังไล่ตามความสมบูรณ์แบบ เราจะไม่มีวันเป็นตัวเอง สุดท้ายมิวพิสูจน์ว่าการยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบคือกุญแจสู่เสรีภาพและความสุขที่แท้จริง
→ อรวรรยา โตสมบัติ รับบท กู๊ด

กู๊ดคือนักศึกษาปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ เฟรชชี่ที่ยิ้มกว้าง ชอบถ่ายรูปบันทึกทุกโมเมนต์ มองโลกในแง่ดีเสมอ อยู่ในช่วงวัยค้นหาตัวเอง แต่ลึก ๆ เธอขาดความมั่นใจ รู้สึกตัวเองไม่ดีพอ ต้องการการยอมรับจากทุกคนจนกลายเป็นคนที่พยายามเข้ากลุ่มตลอดเวลา เธอเข้าคลาสวิชาความสุขเพราะอยากหาเพื่อนและค้นหาตัวเอง แต่กลับเจอเด็กมีปัญหาอย่างกล้า มิว วิน ฉาย ที่แต่ละคนปิดกั้นตัวเองหนัก กู๊ดพยายามเป็นตัวเชื่อมกลุ่ม ช่วยยกของตอนตีกลองเปิดหมวก หัวเราะกับยามไล่ แชร์รูปทุกโมเมนต์เพื่อสร้างความทรงจำ
แต่ยิ่งพยายาม ยิ่งโดนมองข้ามหรือแกล้งว่าเด็กดีแต่ไม่มีเพื่อน เธอร้องไห้คนเดียวบ่อย ๆ แต่ไม่เคยบอกใคร ฝ้ายเห็นและคอยกระตุ้นให้เธอแสดงความรู้สึกจริง ๆ ผ่านกิจกรรมเขียนจดหมายถึงตัวเอง กู๊ดเริ่มเปิดใจว่าการยอมรับตัวเองสำคัญกว่าการยอมรับจากคนอื่น เมื่อดราม่าโซเชียลโจมตีวิชา กู๊ดถูกแกล้งหนักจนเกือบถอนตัว แต่สุดท้ายใน sit-in คลาส เธอแชร์รูปทุกข์และทุกโมเมนต์ที่กลุ่มช่วยกัน กลายเป็นหลักฐานว่าวิชานี้สร้างมิตรภาพแท้ สุดท้ายกู๊ดมั่นใจขึ้น ไม่ต้องพยายามเป็นที่รักของทุกคน แต่รักตัวเองและมีเพื่อนแท้จากคลาสนี้
ฉายา “แสงแดดที่เหงา”
กู๊ดถูกเรียกแบบนี้เพราะเธอคือแสงแดดที่ยิ้มสดใสให้ทุกคน แต่ภายในเหงาและขาดความมั่นใจ การถ่ายรูปบันทึกทุกสิ่งคือวิธีเก็บความทรงจำเพื่อเติมเต็มความว่างเปล่า การเข้าคลาสทำให้แสงแดดนี้เริ่มส่องสว่างจริง ๆ เมื่อได้เพื่อนและยอมรับตัวเอง ฉายานี้สะท้อน duality ของเธอ แสงที่ดูอบอุ่นแต่ซ่อนความเหงา สุดท้ายใน sit-in เธอแชร์รูปทุกโมเมนต์ กลายเป็นแสงที่ส่องทางให้กลุ่ม
ข้อคิด “การยอมรับตัวเองคือมิตรภาพที่แท้จริง”
กู๊ดสอนเราว่าการพยายามเป็นที่รักของทุกคนคือการสูญเสียตัวเอง เธอสดใสแต่เหงาเพราะขาดความมั่นใจ การเปิดใจในคลาสและแชร์รูปทุกข์ทำให้เห็นว่ามิตรภาพแท้มาจากการเป็นตัวเอง ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังไม่รักตัวเอง เราจะมีเพื่อนแท้ได้จริง ๆ หรือ สุดท้ายกู๊ดพิสูจน์ว่าการยอมรับตัวเองคือจุดเริ่มต้นของความสุขและความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
→ ปฏิภาณ ขุนเงิน รับบท ฉาย

ฉายคือนักศึกษาปี 4 คณะวิศวกรรมไฟฟ้า หนุ่มหน้าใสที่ใคร ๆ ก็ชอบ ยิ้มง่าย เข้ากับทุกคน แต่เบื้องหลังคือความสับสนซับซ้อนที่ซ่อนไว้ลึกสุดใจ เขาหลงใหลการแต่งกายและแสดงออกในแบบผู้หญิง อยากเป็นตัวเอง แต่ต้องแสร้งทำตัวแมน ๆ เพื่อให้ครอบครัวและสังคมยอมรับ กลัวถูกตีตราจนเครียดสะสมหนัก เขาเข้าคลาสวิชาความสุขเพราะหวังหาพื้นที่ปลอดภัย แต่กลับเจอเด็กมีปัญหาอย่างกล้า มิว วิน กู๊ด ที่แต่ละคนปิดกั้นตัวเอง ฉายคอยช่วยเหลือกลุ่มแบบเงียบ ๆ ช่วยยกของตอนตีกลองเปิดหมวก หัวเราะกับยามไล่ แต่ไม่เคยเปิดใจเรื่องอัตลักษณ์เพศ
ฝ้ายเห็นและค่อย ๆ กระตุ้นผ่านกิจกรรมเปิดใจ เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง ฉายเริ่มเปิดปากกับกู๊ดก่อนเป็นคนแรก แต่เมื่อดราม่าโซเชียลโจมตีวิชา ฉายเกือบถอนตัวเพราะกลัวถูกขุดคุ้ยเรื่องส่วนตัว แต่การเห็นกล้าตีกลองระบายความเจ็บ ทำให้เขากล้าขึ้น สุดท้ายใน sit-in คลาส ฉายแต่งตัวเป็นตัวเองครั้งแรกบนเวที แต่งหน้าทา lipstick สีแดง โชว์ความงามที่ซ่อนไว้ กลายเป็นโมเมนต์ที่สร้างแรงบันดาลใจให้กลุ่มและคนดู สุดท้ายฉายยอมรับตัวเอง และกลายเป็นคนที่เป็นตัวอย่างว่าการเป็นตัวเองคือความกล้าที่แท้จริง
ฉายา “หนุ่มแมนที่ซ่อนความสาว”
ฉายถูกเรียกแบบนี้เพราะเขาแสร้งแมนเพื่อสังคม แต่ใจจริงหลงใหลการแต่งตัวแบบผู้หญิง การซ่อนอัตลักษณ์ทำให้เครียดหนัก การเข้าคลาสคือจุดเริ่มต้นที่เขาค่อย ๆ เปิดใจ ฉายานี้สะท้อน duality ของเขา หนุ่มที่ดูแข็งแกร่งแต่เปราะบางภายใน สุดท้ายการแต่งตัวเป็นตัวเองใน sit-in คือการปลดปล่อยความสาวที่ซ่อนไว้ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความกล้า
ข้อคิด “การเป็นตัวเองคือความกล้าที่สุด”
ฉายสอนเราว่าการซ่อนตัวเองเพื่อสังคมคือการขังใจตัวเอง การกล้าแต่งตัวเป็นตัวเองใน sit-in ทำให้เห็นว่าความกล้าสามารถเปลี่ยนทุกอย่าง ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังแสร้ง เราจะมีความสุขได้จริง ๆ หรือ สุดท้ายฉายพิสูจน์ว่าการเป็นตัวเองคือกุญแจสู่การยอมรับและเสรีภาพที่แท้จริง
→ ณัฐพัชร์ นิมจิรวัฒน์ รับบท วิน

วินคือนักศึกษาปี 3 คณะเศรษฐศาสตร์ หนุ่มหล่อบ้านรวยที่ทุกคนมองว่าเพอร์เฟกต์ แต่เบื้องหลังเติบโตมาด้วยการถูกครอบครัวเปรียบเทียบ บางวันดีบางวันดุ ทำให้เขาขาดความมั่นคงทางอารมณ์ ร้องหาความรักที่มั่นคงจากคนรอบข้าง โดยไม่สนวิธีการและไม่คิดถึงจิตใจใคร โดยเฉพาะมิวแฟนสาวที่โดนเขาบงการหนัก วินเข้าคลาสวิชาความสุขเพราะตามมิว แต่กลับทะเลาะกับเธอบ่อย ๆ เพราะชอบควบคุมทุกอย่าง ฝ้ายเห็นและพยายามกระตุ้นให้เขาสะท้อนตัวเองผ่านกิจกรรมกลุ่ม เช่น แชร์เรื่องครอบครัว วินเริ่มเห็นปมตัวเอง แต่ยังปฏิเสธ
จนกระทั่งดราม่าโซเชียลโจมตีวิชา วินทะเลาะกับมิวจนเกือบเลิก เพราะเขากลัวเสียเธอไปเหมือนกลัวเสียสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกมีค่า การเห็นกล้าตีกลองระบายความเจ็บ ทำให้วินเริ่มเปิดใจ ใน sit-in คลาส วินยอมรับความผิดต่อมิวและกลุ่ม ขอโทษที่บงการเพราะปมครอบครัว สุดท้ายเขาเรียนรู้ที่จะปล่อยวาง ไม่ยึดติดกับความรักแบบ toxic และกลายเป็นคนที่เข้าใจจิตใจคนอื่นมากขึ้น
ฉายา “เพอร์เฟกต์ที่ขาดรัก”
วินถูกเรียกแบบนี้เพราะเขาดูเพอร์เฟกต์ทุกอย่าง แต่ขาดความรักที่มั่นคงจากครอบครัว ทำให้บงการมิวเพื่อเติมเต็มช่องว่าง การเข้าคลาสทำให้เห็นว่าความเพอร์เฟกต์ภายนอกไม่ช่วยอะไร ฉายานี้สะท้อน duality ของเขา คนที่ดูสมบูรณ์แต่แตกสลายภายใน สุดท้ายการยอมรับผิดใน sit-in คือการเติมรักให้ตัวเอง
ข้อคิด “ความรักที่แท้มาจากการปล่อยวาง”
วินสอนเราว่าการยึดติดเพื่อเติมเต็มตัวเองคือ toxicity การบงการมิวเพราะปมครอบครัวทำให้ทั้งคู่เจ็บ การเปิดใจและยอมรับผิดในคลาสทำให้เห็นว่าความรักต้องปล่อยวาง ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังยึดติด เราจะรักใครได้จริง ๆ หรือ สุดท้ายวินพิสูจน์ว่าการปล่อยวางคือกุญแจสู่ความรักที่ยั่งยืน
→ ธิญาดา พรรณบัว รับบท ผอ.จอย

ผอ.จอยคือผู้อำนวยการสำนักวิชาศึกษาทั่วไปของมหาวิทยาลัยสุวรรณธานี วัย 45 ปี จบปริญญาเอกด้านบริหารการศึกษา หัวสมัยใหม่ที่เล็งเห็นว่านักศึกษาควรได้เรียนรู้แบบอิสระ ค้นพบตัวเองผ่านประสบการณ์ใหม่ ๆ ไม่ใช่แค่ยัดวิชาแกน ๆ เธอเป็นคนชวนฝ้ายมาสอนวิชาความสุข วิชาเปิดใหม่ที่เน้นจิตใจและการเติบโตส่วนบุคคล ผอ.จอยเชื่อมั่นในศักยภาพเด็กทุกคน แม้คลาสนี้จะรวมเด็กมีปัญหาหนักอย่างกล้า มิว วิน กู๊ด ฉาย เธอสนับสนุนฝ้ายเต็มที่ ให้อิสระในการออกแบบกิจกรรม เช่น เขียนจดหมายถึงตัวเอง แชร์เรื่องส่วนตัว หรือโปรเจ็กต์กลุ่ม
เมื่อวิชาโดนโซเชียลโจมตี #วิชาความสุขปลอม ผอ.จอยถูกสอบสวนวินัยพร้อมฝ้าย เธอยืนหยัดเคียงข้าง พิสูจน์ว่าวิชานี้ช่วยเด็กจริง ผ่านหลักฐานจาก sit-in คลาสที่เด็ก ๆ โชว์การเติบโต ผอ.จอยคือเสาหลักที่คอยปกป้องวิชาและเด็ก ๆ แม้ต้องเผชิญแรงกดดันจากคณะกรรมการและสังคม สุดท้ายเธอทำให้วิชารอด และกลายเป็นแบบอย่างว่าการศึกษาไทยควรเปิดโอกาสให้เด็กได้ค้นหาตัวเองอย่างแท้จริง
ฉายา “ผู้พิทักษ์วิชาความสุข”
ผอ.จอยถูกเรียกแบบนี้เพราะเธอคือคนที่ปกป้องวิชาความสุขจากโซเชียลและคณะกรรมการ เธอเชื่อในเด็กทุกคนและการเรียนรู้แบบใหม่ การยืนหยัดเคียงข้างฝ้ายใน sit-in คือการพิสูจน์ความเชื่อนั้น ฉายานี้สะท้อนบทบาทของเธอ ผู้บริหารที่ไม่ใช่แค่จัดการ แต่เป็นผู้พิทักษ์โอกาสให้เด็กได้เติบโต
ข้อคิด “การศึกษาแท้คือการเปิดโอกาสให้เด็กค้นหาตัวเอง”
ผอ.จอยสอนเราว่าการศึกษาไม่ใช่แค่เกรดหรือวิชาแกน แต่คือการให้เด็กได้ค้นพบตัวเอง การสนับสนุนวิชาความสุขแม้ถูกโจมตี ทำให้เห็นว่าผู้ใหญ่ต้องกล้าเปิดทาง ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าการศึกษาไทยยังปิดกั้น เด็กจะเติบโตได้จริง ๆ หรือ สุดท้ายผอ.จอยพิสูจน์ว่าการเปิดโอกาสคือกุญแจสู่การพัฒนาที่แท้
→ แวร์ โซว รับบท พญ.เวทินี (แม่มิว)

พญ.เวทินีคืออาจารย์แพทย์ชื่อดังที่เนี้ยบ ขรึม น่าเกรงขาม เก่งกาจในแวดวงวิชาการ มีคนนับหน้าถือตาและยอมรับในสังคม แต่เบื้องหลังคือแม่ที่ใช้บุคลิกนิสัยการเป็นแพทย์มาใช้กับลูกสาวมิว ทำให้มิวอึดอัด เก็บกดหนักจนกลายเป็นความสัมพันธ์ครอบครัวที่เปราะบาง ใกล้แตกร้าวเข้าไปทุกที เธอคาดหวังให้มิวต้องเก่งที่สุด ดีที่สุดในทุกเรื่อง โดยเฉพาะการเรียนแพทย์ที่เป็นโลกของเธอเอง เวทินีมองว่าความสมบูรณ์แบบคือหนทางสู่ความสำเร็จ แต่ไม่เคยเห็นว่ามันกำลังทำลายจิตใจลูกสาว เมื่อมิวเข้าคลาสวิชาความสุข เวทินีด่าว่าคลาสนี้เพ้อเจ้อ ไร้สาระ ไม่ช่วยอะไร เธอใช้มาตรฐานหมอมาตรวจสอบทุกอย่างในชีวิตมิว จนมิวซึมเศร้าคืบคลานแต่ไม่กล้าบอก ฝ้ายพยายามเข้าไปช่วย แต่เวทินีคือกำแพงใหญ่ที่ปิดกั้น
เมื่อดราม่าโซเชียลโจมตีวิชา เวทินียิ่งกดดันให้มิวถอนตัว สั่งห้ามเรียนต่อ แต่การทะเลาะหนักใน sit-in คลาส ทำให้เวทินีต้องเผชิญหน้ากับผลจากการกระทำตัวเอง มิวนำเสนอเคสซึมเศร้าของตัวเองต่อหน้าแม่เป็นครั้งแรก เวทินีเริ่มเห็นว่าความเข้มงวดของเธอมาจากปมตัวเองที่เคยถูกกดดันจากครอบครัว สุดท้ายเธอเริ่มปรับตัว เรียนรู้ที่จะปล่อยวาง และกลายเป็นแม่ที่เข้าใจลูกมากขึ้น แม้จะช้าแต่จริงใจ
ฉายา “หมอที่เยียวยาไม่ได้”
เวทินีถูกเรียกแบบนี้เพราะเธอเก่งเยียวยาคนไข้ แต่เยียวยาความสัมพันธ์กับลูกไม่ได้ การใช้มาตรฐานหมอกับมิวทำให้ครอบครัวเปราะบาง การเผชิญหน้ากับ sit-in ทำให้เห็นว่าความเข้มงวดคือยาพิษ ฉายานี้สะท้อน duality ของเธอ หมอที่แข็งแกร่งแต่ล้มเหลวในฐานะแม่ สุดท้ายเธอเริ่มเยียวยาความสัมพันธ์ช้า ๆ
ข้อคิด “ความรักที่กดดันคือการทำร้ายที่มองไม่เห็น”
เวทินีสอนเราว่าการคาดหวังสูงสุดเพื่อลูกคือการกดดันที่ทำร้ายจิตใจ การเข้มงวดทำให้มิวซึมเศร้า แต่การเผชิญหน้ากับ sit-in ทำให้เห็นว่าความรักต้องปล่อยวาง ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังกดดันคนใกล้ตัว เราจะมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนได้จริง ๆ หรือ สุดท้ายเวทินีพิสูจน์ว่าการปรับตัวคือกุญแจสู่การเยียวยาครอบครัว
→ พิชญ์พงษ์ นาคะยืนยงสุข รับบท เก่ง

เก่งคือพี่ชายของกล้าวัย 26 ปี ที่ใช้ชีวิตปากกัดตีนถีบมาตั้งแต่เด็กเพื่อเลี้ยงน้อง หลังแม่ตายและพ่อทิ้งไปมีครอบครัวใหม่ เขาต้องทำทุกงานไม่มีเกี่ยงเพื่อเอาชีวิตรอด โดยไม่สนว่าจะถูกหรือผิดกฎหมายก็ตาม ภายนอกแข็งกร้าว ไม่เอาใคร แต่เบื้องหลังคือความกลัวและความต้องการความรักที่ซ่อนอยู่ลึก ๆ เก่งคือเสาหลักที่กล้าพึ่งพา แต่ก็คือเหตุผลที่กล้าไม่เชื่อความรักเพราะเห็นพี่ทำอาชีพเทา ๆ เขาพยายามลากกล้ากลับต่างจังหวัดเพราะปัญหาเงินและอยากให้น้องเลิกเรียนดนตรีที่มองว่าไร้อนาคต แต่ฝ้ายและอิฐไกล่เกลี่ยให้พ่อยอม เก่งเริ่มเห็นว่าการที่เขาทำทุกอย่างเพื่อน้องกำลังทำร้ายกล้าโดยไม่รู้ตัว
เมื่อกล้าอยู่บ้านอิฐชั่วคราวและกลุ่มช่วยกัน เก่งค่อย ๆ เปิดใจผ่านการเห็นกล้าตีกลองเปิดหมวกและมีความสุขจริง ๆ ใน sit-in คลาส เก่งมาเห็นน้องโชว์เรื่องราวชีวิต และยอมรับว่าความแข็งกร้าวของเขามาจากปมที่เคยถูกทิ้ง สุดท้ายเขาเริ่มปรับตัว ปล่อยวางความกลัว และกลายเป็นพี่ชายที่สนับสนุนน้องอย่างแท้จริง แม้ยังต้องดิ้นรนต่อไป
ฉายา “เสาหลักที่สั่นคลอน”
เก่งถูกเรียกแบบนี้เพราะเขาเป็นเสาหลักให้กล้าแต่ตัวเองสั่นคลอนจากชีวิตปากกัดตีนถีบ การทำอาชีพเทาเพื่อน้องคือความรักที่บิดเบี้ยว การเห็นกล้ามีความสุขในคลาสทำให้เสาหลักนี้เริ่มมั่นคง ฉายานี้สะท้อน duality ของเขา คนที่ดูแข็งแต่เปราะบาง สุดท้ายการเปิดใจคือการเสริมเสาให้แข็งแรง
ข้อคิด “ความรักที่แท้ต้องปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดติด”
เก่งสอนเราว่าการทำทุกอย่างเพื่อคนที่รักด้วยวิธีผิดคือการยึดติด การลากกล้ากลับบ้านเพราะกลัวอนาคต แต่การเห็นน้องเติบโตในคลาสทำให้เห็นว่าความรักต้องปล่อยวาง ข้อคิดนี้ชวนให้คิดว่า ถ้าเรายังยึดติด เราจะช่วยคนที่รักได้จริง ๆ หรือ สุดท้ายเก่งพิสูจน์ว่าการปล่อยวางคือกุญแจสู่ความสัมพันธ์ที่ยั่งยืน
หลังจากวิชาทุก(ข์)พื้นฐานภาคแรกจบด้วยการ sit-in ที่เปลี่ยนชีวิตทุกคน จะพาไปดูภาค 2 กัน ถ้าวิชาความสุขกลายเป็นวิชาแกนของมหาลัย แต่ดราม่าใหม่ ๆ มาเยือน ตัวละครเก่ากลับมาเจอปัญหาใหม่
“วิชาทุก(ข์)พื้นฐาน 2 – Happiness Overload”
หนึ่งปีหลังจาก sit-in วิชาความสุขกลายเป็นวิชาเลือกเสรีที่นักศึกษาทั่วมหาลัยแห่สมัคร ฝ้ายและอิฐกลายเป็นทีมอาจารย์คู่ที่ดังมาก ผอ.จอยขยายคลาสเป็นคอร์สเต็มเทอม มีกิจกรรม outdoor เช่น แคมป์เยียวยาในป่า หรือโปรเจ็กต์ community healing แต่ภาคนี้เปิดด้วยปัญหาใหม่ กล้าจบปี 4 แล้ว แต่ถูกกดดันจากพี่เก่งให้ไปทำงานต่างจังหวัด เขากลับมาสู่คลาสในฐานะ TA (teaching assistant) เพื่อหนีปัญหาเงินและครอบครัว
แต่เจอ freshman กลุ่มใหม่ที่ปมหนักกว่าเดิม เช่น เด็กติดโซเชียลจน burnout เด็กถูก bully จนไม่กล้าเรียน เด็กที่มี eating disorder มิวกับวินเลิกกันแล้ว มิวกลายเป็นพี่เลี้ยงคลาส แต่ต้องเผชิญแม่เวทินีที่อยากให้ลูกกลับมาเรียนแพทย์เต็มตัว วินหายไปเรียนต่อต่างประเทศ แต่ส่งจดหมายกลับมาขอคืนดี กู๊ดกลายเป็น influencer ถ่ายคลิป healing journey แต่โดน cancel culture เพราะโพสต์เก่า ฉายออกมาเป็นตัวเองเต็มตัว กลายเป็น LGBTQ+ mentor แต่เจอ hate speech จากสังคมอนุรักษ์นิยม
ดราม่าหลักคือมหา’ลัยถูกกดดันจากกระทรวงให้ตัดวิชานี้เพราะ “ไม่ academic พอ” ฝ้ายกับอิฐต้องพานักศึกษาไป road trip เก็บหลักฐาน healing จากชุมชนจริง ๆ เช่น ไปช่วยเด็กติดยาในมูลนิธิ ไปเยียวยาผู้สูงอายุในบ้านพักคนชรา ระหว่างทางรถบัสเสียกลางป่า ทุกคนต้องเผชิญ trauma ตัวเองแบบไม่ตั้งตัว กล้าเกือบทำร้ายตัวเองอีกครั้ง มิวเผชิญหน้าแม่ทางวิดีโอคอล กู๊ดลบโซเชียลทั้งหมด ฉายถูก hate จนเกือบถอย แต่กลุ่มช่วยกันจนผ่านไปได้ สุดท้ายพวกเขาจัด “Happiness Festival” กลางลานมหาลัย เชิญชุมชนมาร่วม โชว์ healing project ทุกชิ้น กลายเป็น viral ที่ทำให้กระทรวงยอมรับวิชานี้
ฝ้ายกับอิฐสารภาพรักกันแบบไม่ต้องพูด กล้าเลือกเป็นครูสอนดนตรี มิวเลือกจิตแพทย์ กู๊ดกลับมาโพสต์ด้วยตัวตนจริง ฉายเปิด support group วินกลับมาในฐานะเพื่อน ไม่ใช่แฟน เก่งมาเป็น volunteer สอนเด็กยากจน เวทินีมาเป็น guest speaker ยอมรับว่าความสุขสำคัญกว่าความสมบูรณ์แบบ จบด้วยทุกคนยืนบนเวที ถือป้าย “ทุกข์คือพื้นฐาน แต่เราคือทางออก”

