ละครพื้นบ้าน เดชอสูรขันแก้วนพเก้า 2568 ละครพื้นบ้านที่กำลังฮิตติดลมบนในปี 2568 นี้ “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” ออกอากาศทางช่อง SAMSEARN OFFICIAL และช่อง 7HD เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนิทานวัดเกาะเรื่อง “ขันแก้วนพเก้า” แต่เอามาเล่าใหม่แบบแฟนตาซีอลังการ มีทั้งเวทมนตร์ การต่อสู้ มิตรภาพ และดราม่าครบรส
เรื่องราวเริ่มต้นที่อาณาจักรโบราณชื่อนครไตรตรึง ที่นี่มีพระราชาและพระมเหสีให้กำเนิดฝาแฝดพระโอรสและพระธิดา ท่ามกลางลางบอกเหตุลึกลับจากโหรทิพจักร คำทำนายบอกว่าฝาแฝดคู่นี้จะถือวัตถุวิเศษ คนหนึ่งมี “ขันแก้ว” อีกคนมี “แหวนนพเก้า” ที่มีอัญมณีเก้าเม็ด แต่โชคชะตาเล่นตลก ทำให้ทั้งคู่ถูกพรากจากกันตั้งแต่ยังแบเบาะ
พระโอรสชื่อ “ขันแก้ว” (แสดงโดยภูธนิน สินสมใจ) เติบโตในป่ากับพญาลิงแสนรู้ จนวันหนึ่งเจอขันวิเศษที่ปลุกอสูรชื่อ “วาริน” (มิตร มิตรชัย) ให้ตื่นขึ้น วารินนี่แหละ ขี้บ่น ขี้โม้ แต่เก่งเวทมนตร์และต่อสู้สุด ๆ กลายเป็นคู่หูสุดป่วนของขันแก้ว ฝั่งพระธิดา “นพเก้า” (ปภาดา ประกอบเสียง) ถูกเลี้ยงดูแบบลึกลับ พร้อมแหวนนพเก้าที่แต่ละเม็ดมีพลังพิเศษ เมื่อนางโตขึ้น อัญมณีเริ่มปลุกพลัง ทำให้แปลงร่างเป็น 9 บุคคลิกต่างกัน เช่น เพชรรัตน์ (ปัณชญา สุวรรณกูฏ), มณีแดง (ภัทราภรณ์ เมาลี), มรกต (รัชโลธร ชูตระกูล), บุษราคัม (กฤชสร เปรมปรีดิ์), มุกดา (ประถมาภรณ์ รัตนภักดี), โกเมน (เรด วรนิษฐา), นิลกาล (กุลปรียา ศรนิล), ไพฑูรย์ (ปริญากร ปรุงจิตต์), และเพทาย (ชรินพร เงินเจริญ) แต่ละร่างมีเรื่องราวและพลังเฉพาะตัว บางร่างต้องต่อสู้ บางร่างพลีชีพเพื่อส่งต่ออัญมณี
แต่เรื่องไม่จบง่าย ๆ เพราะมีวายร้ายสองตัวใหญ่ไล่ล่า สุริยะ (ปรเมษฐ์ ศิลปประภา) เทพตกสวรรค์ที่แค้นโลก และโยคีดำ (ปอนด์ โอภาภูมิ) จอมเวทมนตร์มืด ทั้งคู่ต้องการรวบรวมอัญมณีเพื่อครอบครองขันวิเศษ แล้วกลายเป็นเทพอมตะ ขันแก้วเลยต้องออกเดินทางกับเพื่อน ๆ อย่างตุ๊กกะตุ่น (ปิ่นปินัทธ์ นิธิศกุลไพศาล) ทหารทั้งสี่ และศรีวิชัย (คมกริช เอกรัตน์) องครักษ์หนุ่มที่ปกป้องนพเก้ามาตลอด พวกเขาต้องเจออุปสรรคเพียบ เช่น กองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกเมือง, การตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำ, และเล่ห์เหลี่ยมจากศัตรู ระหว่างทาง ขันแก้วค่อย ๆ พบนพเก้าในร่างต่าง ๆ มีทั้งรัก ดราม่า การให้อภัย และเสียสละ บางอัญมณีถูกพรากไป บางร่างตายเพื่อปกป้อง จนนำไปสู่จุดไคลแม็กซ์ที่ทุกฝ่ายรวมพลังหยุดยั้งความมืด
เรื่องราวเต็มไปด้วยฉากแอคชั่นเวทมนตร์ ผสมตำนานไทย ๆ อย่างพญาลิง ปีศาจ และเทพเจ้า ทำให้ดูเพลินไม่เบื่อ “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” คือละครพื้นบ้านที่ผสมผสานตำนานเก่าเข้ากับความสนุกสมัยใหม่ได้ลงตัว ต่อไปนี้คือเนื้อเรื่องสำคัญของละคร
ในอาณาจักรไตรตรึงอันรุ่งเรือง ท่ามกลางฟ้าครึ้มและดวงดาวกระพริบ พระราชาและมเหสีให้กำเนิดฝาแฝดที่คำทำนายจากโหรทิพจักรประกาศว่าจะเปลี่ยนชะตาโลก พระโอรสขันแก้วถือขันวิเศษ พระธิดานพเก้าถือแหวนนพเก้า แต่โชคชะตาโหดร้าย พรากทั้งคู่จากกันตั้งแต่แรกเกิด ขันแก้วเติบโตในป่าดงดิบ เรียนรู้จากพญาลิงผู้ฉลาด จนวันหนึ่ง ขันแก้วสะดุดเข้ากับขันแก้ววิเศษที่ซ่อนอสูรวารินไว้ วารินผุดขึ้นมาด้วยรูปร่างยักษ์ใหญ่ ขี้บ่นแต่มีฤทธิ์เดชมหาศาล “เอ็งคือเจ้าของข้าสินะ? แต่ข้าบอกไว้ก่อน ข้าไม่ชอบคนขี้เกียจ!” วารินกลายเป็นคู่หูที่ทั้งช่วยเหลือและสร้างความปั่นป่วนให้ขันแก้ว
ฝั่งนพเก้า ถูกเลี้ยงดูในที่ลึกลับ แหวนนพเก้าบนนิ้วเธอเริ่มส่องประกาย เมื่ออัญมณีแต่ละเม็ดตื่นขึ้น เธอแปลงร่างเป็นหญิงสาวเก้าคน แต่ละคนมีชะตากรรมต่างกัน เพชรรัตน์ผู้กล้าหาญ มณีแดงผู้ฉลาด มรกตผู้ลึกลับ บุษราคัมผู้เมตตา มุกดาผู้ซื่อสัตย์ โกเมนผู้ดุร้าย นิลกาลผู้เยือกเย็น ไพฑูรย์ผู้ว่องไว และเพทายผู้แข็งแกร่ง แต่ละร่างต้องเผชิญภารกิจชีวิต-ตาย เพื่อปลุกพลังอัญมณีและส่งต่อให้ดวงสุดท้าย
แล้วศัตรูก็ปรากฏ สุริยะ เทพที่ถูกเนรเทศจากสวรรค์ หน้าตาหล่อเหลาแต่ใจอาฆาต “ข้าจะรวบรวมอัญมณีทั้งหมด เพื่อกลับสู่สวรรค์และแก้แค้น!” ร่วมกับโยคีดำ ผู้ใช้เวทดำมืดที่เรียกกองทัพโครงกระดูกได้ “ฮ่า ๆ ขันวิเศษจะเป็นของข้า!” ทั้งคู่ไล่ล่าอัญมณี ทำลายแคว้นต่าง ๆ ขันแก้วต้องออกเดินทางกับตุ๊กกะตุ่นเพื่อนซี้ ทหารทั้งสี่ผู้ภักดี และศรีวิชัยองครักษ์รูปงามที่แอบปกป้องนพเก้ามาตลอด “ข้าจะอยู่เคียงข้างนางเสมอ แม้ต้องแลกด้วยชีวิต”
จุดหักเหสำคัญเกิดขึ้นเมื่อขันแก้วพบร่างต่าง ๆ ของนพเก้า บางร่างตกหลุมรัก บางร่างพลีชีพ เช่น โกเมนสละตัวเพื่อปกป้องอัญมณีจากโยคีดำ ท่ามกลางการต่อสู้ดุเดือด ขันแก้วต้องตอบคำถามปริศนาจากอสูรกลางหนองน้ำเพื่อรับขันวิเศษเต็มพลัง “เจ้าจะเลือกความรักหรืออำนาจ?” ในขณะที่สุริยะใช้เล่ห์พรากอัญมณีไปทีละดวง กองทัพปีศาจบุกเมืองไตรตรึง ทุกฝ่ายต้องรวมใจหยุดยั้ง ก่อนที่นครจะล่มสลาย
การเสียสละนำไปสู่ชัยชนะ ขันแก้วและนพเก้าร่วมกัน ใช้พลังขันและแหวนเอาชนะศัตรู นำสันติสุขกลับคืน ขันแก้วนพเก้ากลายเป็นสัญลักษณ์ของธรรมะและความรัก ต่อไปนี้คือจุดเด่นของละคร
เนื้อเรื่องสนุกมาก เป็นแฟนตาซีไทยแท้ ๆ ที่ผสมตำนานกับดราม่าสมัยใหม่ได้กลมกล่อม เรื่องฝาแฝด ขันวิเศษ แหวนนพเก้า ฟังดูคลาสสิกแต่เล่าแบบไม่น่าเบื่อ มี twist ทุกตอน เช่น การแปลงร่าง 9 ร่างของนพเก้า ที่แต่ละร่างมีบุคลิกชัดเจน ทำให้ดูเพลิน การต่อสู้กับวายร้ายอย่างสุริยะและโยคีดำก็มันส์สะใจ กองทัพโครงกระดูกบุกเมืองนี่ CG ดีเกินคาดสำหรับละครพื้นบ้าน ทีมกำกับอย่างภิพัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์และศิรวิชญ์ สังวริบุตร ทำได้อลังการ โดยเฉพาะฉากเวทมนตร์และการเดินทางตามหาอัญมณี
นักแสดงเด่นสุด ๆ ภูธนิน สินสมใจ เป็นขันแก้วได้น่ารัก กล้าหาญ ปภาดา ประกอบเสียง เล่นนพเก้าได้หลายมิติ มิตร มิตรชัย เป็นวาริน ขโมยซีนทุกฉาก ขี้บ่นฮาแต่เก่งจริง ส่วน 9 ร่างอัญมณี นักแสดงหญิงแต่ละคนเล่นดีมาก เช่น เรด วรนิษฐา เป็นโกเมน ดุร้ายแต่มีเสน่ห์ วายร้ายอย่างปรเมษฐ์ ศิลปประภา และปอนด์ โอภาภูมิ ก็เล่นร้ายได้น่าหมั่นไส้ นอกจากนี้ ตัวรองอย่างศรีวิชัย (คมกริช เอกรัตน์) และตุ๊กกะตุ่น (ปิ่นปินัทธ์ นิธิศกุลไพศาล) เพิ่มสีสันมิตรภาพได้ดี มีโมเมนต์จิ้น BL เล็ก ๆ ที่แฟน ๆ ชอบพูดถึงในโซเชียล ทำให้ละครดูทันสมัยขึ้น
เพลงประกอบ “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” ขับร้องโดยมิตร มิตรชัย และเสภาโดยจันจิรา ละม้ายเมือง เข้ากับบรรยากาศไทย ๆ มาก การผลิตโดยรวมดี โปรดักชั่นไม่แพ้ละครเย็น บทโดยแป้นพิม ดัดแปลงจากบุราณได้น่าติดตาม สำหรับละครพื้นบ้าน ถือว่าดีเยี่ยม เรตติ้งก็พุ่งตั้งแต่ตอนแรก จากรีวิวในโซเซียลผู้ชมชอบที่มันสร้างโลกใหม่ ไม่ซ้ำเรื่องเก่า ๆ
คะแนนโดยรวม 8.9/10 “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” คือละครที่ควรค่าแก่การดู และยกระดับละครพื้นบ้านไทยไปอีกขั้น
เริ่มจากพล็อต ได้ 9/10 เพราะดัดแปลงจากนิทานวัดเกาะได้สร้างสรรค์ มีจุดหักเหเยอะ การเดินเรื่องเร็ว ไม่น่าเบื่อ ผสมแฟนตาซี เวทมนตร์ และดราม่าได้ลงตัว นักแสดง ได้ 9/10 ทีมแคสติ้งดีมาก ภูธนิน สินสมใจ เล่นขันแก้วได้น่าติดตาม ปภาดา ประกอบเสียง จัดการ 9 ร่างได้เป๊ะ มิตร มิตรชัย เป็นวารินฮาสุด ๆ วายร้ายอย่างปรเมษฐ์และปอนด์ก็เล่นร้ายได้น่าเกลียด ตัวรองอย่างคมกริชและปิ่นปินัทธ์ เพิ่มเสน่ห์มิตรภาพ มีโมเมนต์จิ้นที่แฟน ๆ ชอบ
ด้านการผลิต ได้ 8/10 โปรดักชั่นจากสามเศียรและพันธมิตรทำได้อลัง CG การต่อสู้และเวทมนตร์ดีเกินคาดสำหรับงบละครพื้นบ้าน แต่บางฉากยังดูเฟคหน่อย เพลงประกอบได้ 8.5/10 เพลงหลักโดยไพรัช สังวริบุตร ขับร้องโดยมิตร มิตรชัย เข้ากับธีมไทย ๆ เสภาเพิ่มบรรยากาศ ความสนุกโดยรวม ได้ 9/10 ดูเพลินทุกตอน มีแอคชั่น ดราม่า รัก เสียสละ ครบรส เหมาะดูกับครอบครัว เรตติ้งสูงตั้งแต่ตอนแรก จากรีวิวในโซเซียลชอบที่สร้างโลกใหม่ ไม่ซ้ำละครเก่า มีคนพูดถึงโมเมนต์ต่อสู้และตัวละครโกเมนที่เศร้ากันเยอะ
ความตื่นเต้นพุ่งพล่านตั้งแต่ตอนแรก เมื่อโลกแฟนตาซีของนครไตรตรึงเปิดขึ้น ลางบอกเหตุและคำทำนายสร้างความลุ้นระทึก การปรากฏตัวของขันวิเศษและอสูรวารินทำให้รู้สึกสนุกปนฮา วารินขี้บ่นแต่เก่งกาจ สร้างรอยยิ้มทุกครั้งที่ออกฉาก การแปลงร่าง 9 ร่างของนพเก้าทำให้รู้สึกมหัศจรรย์ แต่ละร่างมีบุคลิกชัด สร้างความผูกพัน เช่น โกเมนที่ดุร้ายแต่เปราะบาง ทำให้เศร้าลึกเมื่อต้องพลีชีพ การต่อสู้กับสุริยะและโยคีดำ กองทัพโครงกระดูกบุก สร้างความเร้าใจ อะดรีนาลีนสูบฉีดทุกฉากแอคชั่น
ความซาบซึ้งเกิดจากธีมมิตรภาพและเสียสละ การเดินทางของขันแก้วกับเพื่อน ๆ ทำให้รู้สึกอบอุ่น ศรีวิชัยปกป้องนพเก้าด้วยชีวิต สร้างความประทับใจลึกซึ้ง โมเมนต์รักระหว่างฝาแฝดและองครักษ์ ทำให้รู้สึกโรแมนติกเบา ๆ ผสมดราม่า การให้อภัยและต่อสู้เพื่อธรรมะ ทำให้รู้สึกได้บทเรียนชีวิต การสูญเสียอัญมณีทีละดวง ทำให้รู้สึกเศร้าและลุ้นตาม จนจุดไคลแม็กซ์ที่รวมพลังหยุดยั้งความมืด ทำให้รู้สึกโล่งใจและภาคภูมิ เพลงประกอบและเสภาเพิ่มความขลัง สร้างบรรยากาศไทยแท้ที่ทำให้รู้สึกหวนคิดถึงตำนานเก่า
“เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” คือการผสมผสานระหว่างความสนุกและแรงบันดาลใจ ทำให้อยากตามต่อทุกตอน และเล่าขานตำนานนี้ไปอีกนาน
ละครพื้นบ้าน เดชอสูรขันแก้วนพเก้า 2568
ละครพื้นบ้าน เดชอสูรขันแก้วนพเก้า 2568 EP.1-22SAMSEARN OFFICIAL
ไตเติล เดชอสูรขันแก้วนพเก้าละครพื้นบ้าน เดชอสูรขันแก้วนพเก้า 2568
“เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” มันเริ่มจากโลกบนสวรรค์เลยนะไม่ใช่แค่โลกมนุษย์แบบละครพื้นบ้านทั่วไป มี backstory เทพ ๆ ที่ทำให้เรื่องนี้ลึกซึ้งขึ้นมาก เริ่มจากเทวดาองค์หนึ่งชื่อ “ขันดิน” ที่ถูกพระผู้เป็นเจ้าลงโทษให้กลายเป็นยักษ์เฝ้าขันอยู่เชิงเขาไกรลาศเป็นเวลาหนึ่งโกฏิปี ต้องทนทุกข์ทรมาน ยืนเฝ้าขันทั้งวันทั้งคืน แล้วยังโดนเทพองค์อื่นเยาะเย้ยกลั่นแกล้งอีก โดยเฉพาะ “สุริยะเทพ” ที่ริษยาขันดินแบบสุด ๆ ร่วมกับ “เทพวาริน” ที่ชอบแกล้งด้วย แต่ขันดินก็มีคนเห็นใจนะ นั่นคือ “เทพธิดารัตนชาติ” และเหล่านางฟ้าผู้พิทักษ์ทั้งเก้า ที่เกิดความเวทนาและคอยช่วยเหลือลับ ๆ
ขันดินทนไม่ไหวแล้วครับ เลยไปขอโอกาสจากพระผู้เป็นใหญ่บนสวรรค์ พระองค์เลยประทานพรให้ขันของเขาเปลี่ยนเป็น “ขันแก้ว” อาวุธวิเศษสุดยอด แต่มีเงื่อนไขว่าต้อง “คู่ควร” จริง ๆ ถึงจะครอบครองได้เต็มที่ พอสุริยะพยายามแย่งชิง ก็โดนเพลิงศักดิ์สิทธิ์เผาแล้วตกลงมายังโลกมนุษย์แบบเจ็บปวดสุด ๆ ส่วนเทพวารินที่ยืนตะลึงอยู่ ก็โดนคำสาปให้ต้องติดอยู่กับขันวิเศษตลอดกาล กลายเป็นอสูรที่ต้องคอยช่วยเหลือเจ้าของขัน ขันดินเองก็ได้รับความเดือดร้อนบัญชาให้ลงมายังโลกมนุษย์เพื่อตามหา “ของคู่บุญ” ที่จะทำให้เขาพ้นคำสาป ในขณะเดียวกัน เทพธิดารัตนชาติและนางฟ้าทั้งเก้าก็จุติลงโลกตามบัญชา เพื่อรักษาความสมดุลของโลก ดวงจิตของพวกนางรวมกันเป็นหนึ่งเดียว ชื่อว่า “นพเก้า” ซึ่งมีพลังจากอัญมณีเก้าเม็ด นี่แหละจุดเริ่มต้นของตำนานใหญ่โต ที่ทุกคนต้องเผชิญคำทำนายโชคชะตา และต่อสู้กับปีศาจที่ถูกควบคุมโดย “โยคีดำ” จอมเวทมืดที่รอเวลานี้มานานแสนนาน
ตัดมาที่โลกมนุษย์ เรื่องเกิดในอาณาจักรโบราณชื่อ “นครไตรตรึง” พระราชาและมเหสีให้กำเนิดฝาแฝดพระโอรสและพระธิดา ท่ามกลางลางบอกเหตุแปลก ๆ และคำทำนายจากโหรทิพจักรว่า คนหนึ่งจะถือ “ขันแก้ววิเศษ” ชื่อขันแก้ว อีกคนถือ “แหวนนพเก้า” ที่มีอัญมณีเก้าเม็ด แต่โชคชะตาเล่นตลก ทำให้ทั้งคู่ถูกพรากจากกันตั้งแต่แรกเกิดเลยครับ
พระโอรส “ขันแก้ว” (แสดงโดยภูธนิน สินสมใจ) เติบโตในป่าดงดิบ ได้พญาลิงแสนรู้เลี้ยงดู จนวันหนึ่งเจอขันวิเศษที่ปลุก “อสูรวาริน” (มิตร มิตรชัย) ให้ตื่นขึ้น วารินนี่แหละ ตัวป่วนสุด ๆ ขี้บ่น ขี้โม้ แต่เก่งเวทมนตร์และต่อสู้แบบสุดยอด กลายเป็นคู่หูที่ทั้งฮาและช่วยชีวิตขันแก้วตลอดเรื่อง ฝั่งพระธิดา “นพเก้า” (ปภาดา ประกอบเสียง) ถูกเลี้ยงดูแบบลึกลับ พร้อมแหวนวิเศษที่มีอัญมณีเก้าเม็ด แต่ละเม็ดมีพลังพิเศษซ่อนอยู่ พอเธอโตขึ้น อัญมณีเริ่มปลุกพลัง ทำให้เธอแปลงร่างเป็น 9 บุคคลิกต่างกันเลยครับ เช่น เพชรรัตน์ (ปัญชญา สุวรรณกูฎ) ผู้กล้าหาญ, มณีแดง (ภัทราภรณ์ เมาลี) ผู้ฉลาด, มรกต (รัชโลธร ชูตระกูล) ผู้ลึกลับ, บุษราคัม (กฤชสร เปรมปรีดิ์) ผู้เมตตา, มุกดา (ประถมาภรณ์ รัตนภักดี) ผู้ซื่อสัตย์, โกเมน (เรด วรนิษฐา) ผู้ดุร้าย, นิลกาล (กุลปรียา ศรนิล) ผู้เยือกเย็น, ไพฑูรย์ (ปริญากร ปรุงจิตต์) ผู้ว่องไว, และเพทาย (ชรินพร เงินเจริญ) ผู้แข็งแกร่ง แต่ละร่างมีเรื่องราวชีวิตของตัวเอง บางร่างต้องต่อสู้ บางร่างพลีชีพเพื่อส่งต่อพลังอัญมณี
แต่ศัตรูไม่ยอมแพ้ครับ “สุริยะ” (ปรเมษฐ์ ศิลปประภา) เทพตกสวรรค์ที่อาฆาตแค้นโลก และ “โยคีดำ” (ปอนด์ โอภาภูมิ) ผู้ใช้เวทมนตร์มืด ทั้งคู่ไล่ล่าอัญมณีทั้งเก้า เพื่อรวบรวมแล้วครอบครองขันวิเศษ กลายเป็นเทพอมตะ ขันแก้วเลยต้องออกเดินทางผจญภัยกับเพื่อนคู่ใจอย่าง “ตุ๊กกะตุ่น” (ปิ่นปินัทธ์ นิธิศกุลไพศาล) ทหารทั้งสี่ผู้ภักดี และ “ศรีวิชัย” (คมกริช เอกรัตน์) องครักษ์หนุ่มรูปงามที่ปกป้องนพเก้ามาตลอด (มีโมเมนต์โรแมนติกเบา ๆ นะทุกคน!) การเดินทางเต็มไปด้วยมิตรภาพ ความรัก และการเสียสละ แต่ละอัญมณีถูกปลุกจากภารกิจสุดโหด ชีวิต-ตาย การต่อสู้ และการให้อภัย บางร่างเสียชีวิตแบบเศร้ามาก บางร่างพลีชีพเพื่อส่งต่ออัญมณีไปถึงดวงสุดท้ายอย่างเพทาย
ในขณะเดียวกัน ขันแก้วต้องตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำเพื่อรับพลังขันวิเศษเต็มที่ แต่ศัตรูอย่างโยคีดำและสุริยะก็ใช้เล่ห์เหลี่ยมพรากอัญมณีไปทีละดวง กองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่าง ๆ ทั่วแผ่นดิน ทุกฝ่ายต้องรวมพลังหยุดยั้งความมืดมิดก่อนที่จะสายเกินไป จุดไคลแม็กซ์มันส์มากครับ การต่อสู้ใหญ่โต เวทมนตร์ระเบิดเถิดเทิง
สุดท้าย ตำนานจบลงอย่างงดงาม นครไตรตรึง นครไพบูลย์ และแว่นแคว้นทั้งปวงกลับสู่ความสงบ ขันแก้วและนพเก้ากลายเป็นสัญลักษณ์แห่งธรรมะ ความกล้าหาญ และความรัก ตำนานนี้ถูกเล่าขานไปตลอดกาล
ละครเรื่องนี้สนุกจริง ๆ นะ มันผสมตำนานไทยกับแฟนตาซีได้ลงตัวสุด ๆ ถ้ายังไม่ได้ดู รีบไปตามย้อนหลังบน YouTube SAMSEARN OFFICIAL เลยครับ
เบื้องหลังการถ่ายทำละครพื้นบ้านสุดปัง “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า 2568” ที่กำลังฮิตติดลมบนทางช่อง 7HD และ YouTube SAMSEARN OFFICIAL ละครเรื่องนี้ไม่ได้มาเล่น ๆ นะ มันมีทีมงานระดับตำนาน งบ CG อลังการ และนักแสดงที่เล่นใหญ่ใส่เต็ม ถ้าคุณเป็นแฟนละครพื้นบ้าน ต้องชอบแน่ มาดูกันเลยว่ามันเกิดขึ้นยังไง
เบื้องหลังของ “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” มันเริ่มจากต้นกำเนิดเลยครับ ละครเรื่องนี้ผลิตโดยบริษัทใหญ่ ๆ สามแห่ง คือ บริษัท สามเศียร จำกัด (ที่ดังเรื่องละครพื้นบ้านมานาน), บริษัท ดารา วิดีโอ จำกัด, และ บริษัท ดีด้า วิดีโอ โปรดักชั่น จำกัด พวกเขาจับมือกันเพื่อเอานิทานวัดเกาะเรื่อง “ขันแก้วนพเก้า” มาดัดแปลงใหม่ให้ทันสมัย แต่ยังคงกลิ่นอายไทยแท้ไว้ บทประพันธ์ดัดแปลงโดย “บุราณ” ที่ถ่ายทอดตำนานเก่าให้เข้ากับยุคนี้ แล้วบทโทรทัศน์โดย “แป้นพิม” ที่เขียนบทได้สนุก ดราม่า แอคชั่นครบรส ทำให้ละครยาวหลายตอนแต่ไม่น่าเบื่อ

กำกับการแสดงโดยสองผู้กำกับมือโปร “ภิพัชพนธ์ อภิวรสิทธิ์” และ “ศิรวิชญ์ สังวริบุตร” ที่เคยทำละครพื้นบ้านฮิต ๆ มาเพียบ พวกเขาดูแลทุกฉากให้อลังการ โดยเฉพาะฉากเวทมนตร์และต่อสู้ที่ใช้ CG เยอะมาก งบโปรดักชั่นไม่ใช่เล่นนะครับ ถ่ายทำในโลเคชั่นป่าเขา นครโบราณจำลอง และสตูดิโอใหญ่ เพื่อให้บรรยากาศเหมือนตำนานจริง ๆ อำนวยการสร้างโดย “ไพรัช สังวริบุตร” ที่คุมภาพรวมให้ละครออกมาสมบูรณ์แบบ ส่วนอำนวยการผลิตโดย “สยาม สังวริบุตร” และ “สยม สังวริบุตร” ที่ดูแลเรื่องงบประมาณและทีมงาน

เพลงประกอบละครก็เด็ดมาก ชื่อเพลง “เดชอสูรขันแก้วนพเก้า” คำร้อง-ทำนองโดย “ไพรัช สังวริบุตร” (คนเดียวกับอำนวยการสร้างนั่นแหละ อเนกประสงค์ จริง) เรียบเรียงโดย “ม่อน ด๊ะดาด” ขับร้องโดย “มิตร มิตรชัย” ที่เล่นเป็นวารินในเรื่องด้วย เสียงเข้ากับธีมแฟนตาซีไทยสุด ๆ แล้วยังมีขับเสภาโดย “จันจิรา ละม้ายเมือง” ที่เพิ่มความขลังแบบละครพื้นบ้าน ลิขสิทธิ์ทั้งหมดอยู่กับบริษัทสามเศียร จำกัด นะครับ
เบื้องหลังนักแสดงก็น่าสนใจ ทีมแคสติ้งเลือกนักแสดงที่เหมาะกับบทมาก เช่น ภูธนิน สินสมใจ เป็นขันแก้วหนุ่มกล้าหาญ, ปภาดา ประกอบเสียง เป็นนพเก้าที่ต้องเล่นหลายบุคลิก, มิตร มิตรชัย เป็นวารินตัวฮาที่ขโมยซีนทุกตอน แล้วยังมีนักแสดงสาว 9 คนเล่นร่างอัญมณีแต่ละดวง ที่ต้องฝึกต่อสู้และเวทมนตร์จริง ๆ เพื่อให้ฉากออกมาสมจริง การถ่ายทำใช้เวลาหลายเดือน เริ่มถ่ายตั้งแต่ต้นปี 2568 แล้วออกอากาศครั้งแรก 30 สิงหาคม 2568 ทางช่อง 7HD ทุกเสาร์-อาทิตย์ 8.00 น. และย้อนหลังบน YouTube SAMSEARN OFFICIAL เวลา 9.00 น.เดียวกัน มีไฮไลท์และเบื้องหลังโพสต์บน Facebook, Instagram, TikTok เยอะมาก แฟน ๆ ชอบพูดถึงฉากต่อสู้และดราม่าพลีชีพ
เบื้องหลังยังมีเรื่องสนุก ๆ เช่น นักแสดงต้องใส่ชุดเทพ ยักษ์ ท่ามกลางอากาศร้อน หรือฝึกขี่ม้าต่อสู้จริง ๆ เพื่อให้ฉากออกมาดูดี ทีมงานบอกว่าละครเรื่องนี้ตั้งใจยกระดับละครพื้นบ้านให้ทันสมัย มี CG ดีขึ้นกว่าเดิม เพื่อดึงดูดเด็กรุ่นใหม่ดูกับครอบครัว
รู้สึกว่าละครเรื่องนี้ทำออกมาได้ดีขนาดนี้เพราะทีมงานทุ่มเทจริง ๆ นะ ถ้าชอบ ไปตามดูเบื้องหลังเพิ่มบน YouTube SAMSEARN OFFICIAL เลย มีคลิปพิเศษเพียบ
นักแสดง
→ ชรินพร เงินเจริญ รับบท เพทาย

ร่างสุดท้ายของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของเพทายอัญมณีสีฟ้าที่สื่อถึงความแข็งแกร่งและความอดทน เพทายปรากฏตัวในช่วงจุดไคลแม็กซ์ของเรื่อง เมื่ออัญมณีอื่นๆถูกปลุกและส่งต่อพลังมาถึงเธอ ทำให้เธอต้องรับมือกับศึกหนักสุดๆจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นนักรบหญิงที่เก่งการต่อสู้ ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีฟ้าในการสร้างเกราะป้องกันและโจมตีด้วยพลังงานแสงสีน้ำเงินที่เยือกเย็นแต่ทรงพลัง เพทายมีบุคลิกเย็นชาแต่เด็ดเดี่ยว ไม่ยอมแพ้แม้ต้องเผชิญความตาย เธอเติบโตจากประสบการณ์ของร่างก่อนๆ ทำให้มีความฉลาดและเข้าใจการเสียสละ
เธอเป็นผู้ปกป้องนพเก้าในรูปแบบสุดยอด ร่วมมือกับขันแก้วและศรีวิชัยในการต่อสู้กองทัพปีศาจโครงกระดูก ในฐานะร่างสุดท้าย เธอต้องตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำเพื่อรวมพลังอัญมณีทั้งหมด ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการหยุดยั้งความมืดมิดที่คุกคามนครไตรตรึง เพทายไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของความกล้าหาญ เธอมีฉากดราม่าที่ต้องพลีชีพชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลัง แต่สุดท้ายฟื้นคืนด้วยความรักและมิตรภาพ ชรินพรเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความสดใหม่มาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้เพทายดูมีมิติทั้งด้านแอคชั่นและอารมณ์ เธอต้องฝึกต่อสู้และใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ เพทายยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความแข็งแกร่งมาจากการรวมใจไม่ใช่พลังเดี่ยวๆ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆรักและเอาใจช่วยตลอด
ฉายาที่เหมาะกับเพทายคือเพทายผู้พิทักษ์สุดท้าย
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีดวงสุดท้ายที่ต้องรวบรวมพลังจากร่างก่อนหน้า ทำให้เธอกลายเป็นผู้พิทักษ์หลักในการต่อกรกับศัตรูใหญ่ เพทายผู้พิทักษ์สุดท้ายสะท้อนถึงความอดทนและความรับผิดชอบที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังปกป้องเพื่อนฝูงและอาณาจักรจากกองทัพปีศาจ ด้วยพลังสีฟ้าที่สร้างเกราะและโจมตีได้รุนแรง เธอเหมือนกำแพงสุดท้ายที่ขวางความมืดมิด ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในช่วงที่เรื่องเข้มข้นสุด เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากอัญมณีไป เธอต้องใช้ความฉลาดและการให้อภัยจากประสบการณ์ร่างอื่นๆเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ชรินพรนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่แข็งแกร่งแต่มีเสน่ห์ ทำให้เพทายดูเป็นฮีโร่หญิงที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากเพทายคือความแข็งแกร่งที่แท้จริงมาจากการยอมรับการเสียสละ
ข้อคิดนี้สอนว่าการเป็นผู้พิทักษ์ไม่ได้หมายถึงพลังกายเพียงอย่างเดียว แต่ต้องยอมเสียสละส่วนตัวเพื่อส่วนรวม เพทายในฐานะร่างสุดท้ายต้องรับพลังจากร่างอื่นที่บางร่างพลีชีพ ทำให้เธอเข้าใจว่าความแข็งแกร่งเกิดจากการรวมใจและการให้อภัย เธอสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยอุปสรรคแต่การยอมรับความสูญเสียจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเธอเจอการต่อสู้ที่เกือบตายแต่ฟื้นคืนด้วยมิตรภาพ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวการเสียสละเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ชรินพรเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเย็นชาไปสู่เข้าใจผู้อื่น ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ปัณชญา สุวรรณกูฏ รับบท เพชรรัตน์

ร่างแรกของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของเพชรสีขาวที่สื่อถึงความบริสุทธิ์และความกล้าหาญ เพชรรัตน์ปรากฏตัวตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง เมื่ออัญมณีเพชรถูกปลุกให้ตื่น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูแรกๆจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นนักรบหญิงที่เก่งการต่อสู้ระยะประชิด ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีขาวในการสร้างดาบเพชรและโจมตีด้วยแสงสว่างที่เจิดจ้าและรุนแรง เพชรรัตน์มีบุคลิกตรงไปตรงมา กล้าหาญไม่กลัวอันตราย แต่บางครั้งก็ดื้อรั้นเพราะความมั่นใจสูง เธอเติบโตจากชีวิตในหมู่บ้านเล็กๆ ทำให้มีความซื่อสัตย์และปกป้องคนรอบข้าง
เธอเป็นผู้บุกเบิกในการรวบรวมอัญมณีอื่นๆ ร่วมมือกับขันแก้วและศรีวิชัยในการต่อสู้ปีศาจตัวเล็กๆก่อนเข้าศึกใหญ่ ในฐานะร่างแรก เธอต้องเจอภารกิจทดสอบความกล้าหาญ เช่นต่อสู้กับยักษ์มารตะไลเพื่อพิสูจน์ตัวเอง ทำให้เธอกลายเป็นต้นแบบให้ร่างอื่นๆ เพชรรัตน์ไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของจุดเริ่มต้นแห่งการต่อสู้ เธอมีฉากดราม่าที่ต้องเสียสละชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลังให้ร่างถัดไป แต่สุดท้ายพลังของเธอยังคงช่วยเหลือทีมในจุดไคลแม็กซ์ ปัณชญาเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความสดใสและทักษะบู๊มาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้เพชรรัตน์ดูมีมิติทั้งด้านแอคชั่นและอารมณ์ เธอต้องฝึกดาบและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ เพชรรัตน์ยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าการเริ่มต้นด้วยความกล้าหาญจะนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตั้งแต่เปิดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับเพชรรัตน์คือเพชรรัตน์นักดาบเพชร
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีเพชรสีขาวที่ใช้ดาบเพชรในการต่อสู้ ทำให้เธอกลายเป็นนักดาบหลักในการบุกเบิกศึก เพชรรัตน์นักดาบเพชรสะท้อนถึงความเจิดจ้าและความแข็งแกร่งที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังนำทีมด้วยดาบแสงสว่างที่ตัดผ่านความมืดมิด ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในช่วงต้นที่เรื่องเข้มข้น เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากอัญมณีไป เธอต้องใช้ความกล้าหาญและการต่อสู้ดุเดือดเพื่อปกป้องแหวนวิเศษ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ปัณชญานำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่คล่องแคล่วและมีเสน่ห์ ทำให้เพชรรัตน์ดูเป็นฮีโร่หญิงที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากเพชรรัตน์คือความกล้าหาญในจุดเริ่มต้นนำไปสู่ชัยชนะ
ข้อคิดนี้สอนว่าการเผชิญหน้ากับอุปสรรคตั้งแต่แรกด้วยหัวใจกล้าหาญจะสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งให้กับการเดินทาง เพชรรัตน์ในฐานะร่างแรกต้องบุกเบิกและต่อสู้โดยไม่รู้ชะตากรรม ทำให้เธอเข้าใจว่าความกล้าหาญไม่ใช่การไม่กลัวแต่เป็นการก้าวไปข้างหน้าแม้กลัว เธอสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการทดสอบแต่การเริ่มต้นด้วยความมั่นใจจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเธอเจอการต่อสู้ที่เกือบแพ้แต่ชนะด้วยความซื่อสัตย์ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวจุดเริ่มต้นเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ปัณชญาเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากธรรมดาไปสู่ฮีโร่ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ภูธนิน สินสมใจ รับบท ขันแก้ว

พระเอกหลักที่เป็นพระโอรสฝาแฝดแห่งนครไตรตรึง ถูกพรากจากน้องสาวนพเก้าตั้งแต่เกิดตามคำทำนายโหรทิพจักร เขาเติบโตในป่าดงดิบภายใต้การเลี้ยงดูของพญาลิงแสนรู้ ทำให้มีบุคลิกซื่อตรง กล้าหาญ แต่ขาดประสบการณ์โลกภายนอก ขันแก้วเป็นผู้ครอบครองขันวิเศษที่ปลุกอสูรวารินให้ตื่นขึ้น ซึ่งกลายเป็นคู่หูสุดป่วนที่ทั้งขี้บ่นและเก่งกาจ เขาออกเดินทางผจญภัยเพื่อตามหาอัญมณีเก้าเม็ดและน้องสาว โดยร่วมมือกับตุ๊กกะตุ่นเพื่อนซี้ ทหารทั้งสี่ และศรีวิชัยองครักษ์รูปงาม ขันแก้วต้องเผชิญศัตรูอย่างสุริยะเทพตกสวรรค์ผู้อาฆาตแค้นและโยคีดำจอมเวทมืดที่ต้องการรวบรวมอัญมณีเพื่อครอบครองขันวิเศษและกลายเป็นเทพอมตะ เขาใช้พลังจากขันแก้วในการต่อสู้เวทมนตร์ สร้างเกราะป้องกัน และโจมตีด้วยพลังศักดิ์สิทธิ์
ขันแก้วมีพัฒนาการจากหนุ่มป่าที่ไร้เดียงสาไปสู่ฮีโร่ผู้เสียสละเพื่อส่วนรวม เขาต้องตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำเพื่อรับพลังขันเต็มที่ ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ทำให้เขาเรียนรู้มิตรภาพ ความรัก และการให้อภัย ขันแก้วไม่ใช่แค่พระเอกหล่อแต่เป็นสัญลักษณ์ของธรรมะและความกล้าหาญ เขามีฉากดราม่าที่ต้องสูญเสียเพื่อนและพลีชีพชั่วคราว แต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งความดี ภูธนินเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความสดใสและทักษะแอคชั่นมาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้ขันแก้วดูมีมิติทั้งด้านฮา ดราม่า และต่อสู้ เขาต้องฝึกต่อสู้และใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ขันแก้วยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความซื่อสัตย์และมิตรภาพจะเอาชนะความมืดมิด ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับขันแก้วคือขันแก้วเจ้าชายป่า
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เติบโตในป่ากับพญาลิงแสนรู้ ทำให้กลายเป็นเจ้าชายที่ผสมผสานความป่าเถื่อนกับราชวงศ์ ขันแก้วเจ้าชายป่าสะท้อนถึงความซื่อตรงและความกล้าหาญที่เขาแบกรับ เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังนำทีมด้วยขันวิเศษที่ปลุกอสูรวาริน ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาเริ่มเรื่องจากป่าแล้วออกผจญภัย เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากขันวิเศษไป เขาต้องใช้ความฉลาดและมิตรภาพจากเพื่อนๆเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ภูธนินนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่สดใสและมีเสน่ห์ ทำให้ขันแก้วดูเป็นฮีโร่ชายที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากขันแก้วคือมิตรภาพคือพลังที่แท้จริง
ข้อคิดนี้สอนว่าการมีเพื่อนแท้และการรวมใจกันจะช่วยเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวง ขันแก้วในฐานะพระเอกต้องพึ่งพาอสูรวาริน ตุ๊กกะตุ่น และศรีวิชัยในการเดินทาง ทำให้เขาเข้าใจว่าพลังเดี่ยวไม่พอแต่ต้องมีมิตรภาพ เธอสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการต่อสู้แต่การมีเพื่อนจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเขาเจอการสูญเสียแต่ฟื้นคืนด้วยความผูกพัน ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าประมาทมิตรภาพเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ภูธนินเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากโดดเดี่ยวไปสู่ทีมเวิร์ค ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ปภาดา ประกอบเสียง รับบท นพเก้า

พระธิดาฝาแฝดแห่งนครไตรตรึง ถูกพรากจากพี่ชายขันแก้วตั้งแต่เกิดตามคำทำนายโหรทิพจักร เธอถูกเลี้ยงดูอย่างลึกลับพร้อมแหวนวิเศษนพเก้าที่มีอัญมณีเก้าเม็ด แต่ละเม็ดมีพลังพิเศษและทำให้เธอแปลงร่างเป็นบุคคลหลากหลาย เช่น เพชรรัตน์ มณีแดง มรกต บุษราคัม มุกดา โกเมน นิลกาล ไพฑูรย์ และเพทาย นพเก้าเป็นตัวแทนของเทพธิดารัตนชาติและนางฟ้าผู้พิทักษ์ทั้งเก้าที่จุติลงโลกเพื่อรักษาความสมดุล ทำให้เธอมีบุคลิกหลากหลายตามร่างแต่หลักๆคือลึกลับ เฉลียวฉลาด และเปราะบางทางอารมณ์ เธอต้องเผชิญศัตรูอย่างสุริยะเทพตกสวรรค์ผู้อาฆาตแค้นและโยคีดำจอมเวทมืดที่ไล่ล่าอัญมณีเพื่อครอบครองขันวิเศษและกลายเป็นเทพอมตะ นพเก้าใช้พลังจากแหวนในการแปลงร่าง สร้างพลังพิเศษตามอัญมณีแต่ละเม็ด เช่น แสงสว่างจากเพชรหรือเกราะเยือกเย็นจากเพทาย
เธอมีพัฒนาการจากสาวลึกลับที่ไม่รู้ตัวตนไปสู่ฮีโร่หญิงผู้เสียสละเพื่อส่วนรวม เธอร่วมมือกับขันแก้ว ศรีวิชัยองครักษ์รูปงาม และตุ๊กกะตุ่นในการเดินทางตามหาอัญมณี ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ทำให้เธอเรียนรู้ความรัก มิตรภาพ และการให้อภัย นพเก้าไม่ใช่แค่นางเอกสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของความสมดุลและการรวมพลัง เธอมีฉากดราม่าที่ร่างต่างๆพลีชีพเพื่อส่งต่อพลัง แต่สุดท้ายรวมกันในจุดไคลแม็กซ์เพื่อหยุดยั้งความมืดมิด ปภาดาเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความอ่อนโยนและทักษะดราม่ามาผสมกับการแสดงหลายบุคลิก ทำให้ นพเก้าดูมีมิติทั้งด้านโรแมนติก แอคชั่น และเวทมนตร์ เธอต้องฝึกเปลี่ยนบุคลิกและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ นพเก้ายังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าพลังแท้จริงมาจากการรวมใจไม่ใช่เดี่ยวๆ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับนพเก้าคือราชินีเก้าร่าง
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นเจ้าของแหวนนพเก้าที่แปลงร่างได้เก้าบุคลิก ทำให้กลายเป็นราชินีที่ปกครองพลังหลากหลาย ราชินีเก้าร่างสะท้อนถึงความลึกลับและความยืดหยุ่นที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังนำทีมด้วยพลังอัญมณีที่ปรับตามสถานการณ์ ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในหลายรูปแบบตลอดเรื่อง เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากอัญมณีไป เธอต้องใช้ความฉลาดและการพลีชีพของร่างต่างๆเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ปภาดานำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่หลากหลายและมีเสน่ห์ ทำให้นพเก้าดูเป็นฮีโร่หญิงที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากนพเก้าคือการรวมพลังนำไปสู่ความสมดุล
ข้อคิดนี้สอนว่าการรวมตัวตนหลากหลายและการยอมรับความแตกต่างจะสร้างความสมดุลในชีวิต นพเก้าในฐานะนางเอกต้องรวมอัญมณีเก้าเม็ดที่แต่ละร่างมีบุคลิกต่างกัน ทำให้เธอเข้าใจว่าพลังเดี่ยวไม่พอแต่ต้องรวมใจ เธอสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยความหลากหลายแต่การรวมกันจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเธอเจอการสูญเสียร่างต่างๆแต่ฟื้นคืนด้วยความผูกพัน ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวความแตกต่างเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ปภาดาเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากลึกลับไปสู่รวมใจ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ มิตร มิตรชัย รับบท อสูรวาริน

อสูรที่ถูกคำสาปให้ติดอยู่กับขันวิเศษตลอดกาล เดิมทีเขาเป็นเทพวารินที่กลั่นแกล้งขันดินแต่ถูกพระผู้เป็นเจ้าลงโทษให้กลายเป็นอสูรผู้ช่วยเหลือเจ้าของขัน อสูรวารินปรากฏตัวเมื่อขันแก้วพบขันวิเศษในป่า ทำให้เขาผุดขึ้นมาด้วยรูปร่างยักษ์ใหญ่ ขนดก และมีพลังเวทมนตร์มหาศาล เขาเป็นคู่หูของขันแก้วที่ทั้งขี้บ่น ขี้โม้ และชอบโอ้อวดแต่จริงๆแล้วเก่งกาจมาก สามารถใช้เวทมนตร์ต่อสู้ สร้างเกราะป้องกัน และเรียกพลังจากธรรมชาติเพื่อช่วยเหลือทีม อสูรวารินมีบุคลิกปากร้ายแต่ใจดี ชอบบ่นขันแก้วว่าโง่เขลาแต่แอบปกป้องตลอดเวลา ทำให้เกิดโมเมนต์ฮาและอบอุ่น เขาร่วมเดินทางกับขันแก้ว ตุ๊กกะตุ่น และศรีวิชัยเพื่อตามหาอัญมณีเก้าเม็ด ท่ามกลางศัตรูอย่างสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืดที่ไล่ล่าขันวิเศษเพื่อกลายเป็นเทพอมตะ
อสูรวารินต้องเผชิญกองทัพปีศาจโครงกระดูกและเล่ห์เหลี่ยมต่างๆ โดยใช้ความสามารถพิเศษอย่างการแปลงร่างหรือเรียกพายุเพื่อต่อกร เขามีพัฒนาการจากอสูรขี้โม้ที่ไม่เต็มใจช่วยเหลือไปสู่เพื่อนแท้ผู้เสียสละเพื่อมิตรภาพ อสูรวารินไม่ใช่แค่ตัวตลกแต่เป็นสัญลักษณ์ของความภักดีที่ซ่อนอยู่ภายใต้คำบ่น เขามีฉากดราม่าที่ต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องขันแก้ว แต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งคำสาปที่กลายเป็นพร มิตรเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความฮาและเสียงแหบแห้งมาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้อสูรวารินดูมีมิติทั้งด้านตลก แอคชั่น และเวทมนตร์ เขาต้องฝึกใช้เอฟเฟกต์พิเศษและเสียงประกอบเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ อสูรวารินยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความสามารถที่แท้จริงมาจากใจไม่ใช่คำพูด ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับอสูรวารินคืออสูรจอมบ่น
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่ชอบบ่นและโม้ตลอดเวลาแต่จริงๆแล้วเป็นอสูรจอมพลังที่ช่วยเหลือขันแก้วในทุกศึก อสูรจอมบ่นสะท้อนถึงความขี้บ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่สร้างสีสันให้เรื่อง เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังบ่นขันแก้วทุกฉากเพื่อสร้างโมเมนต์ฮา ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาปรากฏตัวแล้วบ่นไม่หยุด เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากขันวิเศษไป เขาต้องใช้เวทมนตร์และความโม้เพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น มิตรนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ปากร้ายแต่มีเสน่ห์ ทำให้อสูรวารินดูเป็นอสูรที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากอสูรวารินคือคำบ่นอาจซ่อนความห่วงใยที่แท้จริง
ข้อคิดนี้สอนว่าการแสดงออกที่ดูขี้บ่นหรือโม้อาจเป็นวิธีแสดงความห่วงใยและภักดี อสูรวารินในฐานะคู่หูต้องบ่นขันแก้วแต่จริงๆแล้วปกป้องตลอด ทำให้เขาเข้าใจว่าความภักดีไม่จำเป็นต้องพูดตรงๆแต่แสดงผ่านการกระทำ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยคำพูดที่ซ่อนความหมายแต่การกระทำจะเผยความจริง ในเรื่องเขาบ่นแต่เสี่ยงชีวิตเพื่อทีม ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าตัดสินจากคำพูดเพราะมันนำไปสู่มิตรภาพที่ยั่งยืน มิตรเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากโม้ไปสู่เสียสละ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ปรเมษฐ์ ศิลปประภา รับบท สุริยะ

วายร้ายหลักที่เป็นเทพตกสวรรค์ผู้อาฆาตแค้น เดิมทีเขาเป็นสุริยะเทพบนสวรรค์ที่ริษยาขันดินยักษ์เฝ้าขันเชิงเขาไกรลาศ จึงร่วมกับเทพวารินกลั่นแกล้งอย่างหนัก แต่เมื่อขันดินได้รับพรให้ขันกลายเป็นขันแก้ววิเศษ สุริยะพยายามแย่งชิงจึงถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์เผาและตกลงมายังโลกมนุษย์ ทำให้เขาแค้นสวรรค์และโลกยิ่งขึ้น สุริยะเป็นตัวแทนของความริษยาและอำนาจที่บิดเบี้ยว มีบุคลิกหล่อเหลา หน้าตาคมเข้มแต่ใจอาฆาต ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมและเวทมนตร์มืดในการไล่ล่าอัญมณีเก้าเม็ดจากแหวนนพเก้า เพื่อรวบรวมแล้วครอบครองขันวิเศษและกลายเป็นเทพอมตะ เขาร่วมมือกับโยคีดำจอมเวทมืดในการเรียกกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วแผ่นดิน
สุริยะต้องเผชิญกับขันแก้ว นพเก้า และทีมพระเอก โดยใช้พลังเทพที่เหลือในการสร้างภาพลวงตา โจมตีด้วยเพลิงสุริยะ และพรางตัวเพื่อพรากอัญมณีไปทีละดวง เขามีพัฒนาการจากเทพริษยาที่เย่อหยิ่งไปสู่ผู้แพ้พ่ายเพราะความแค้นที่กลืนกินตัวเอง สุริยะไม่ใช่แค่วายร้ายหล่อแต่เป็นสัญลักษณ์ของความมืดที่เกิดจากริษยา เขามีฉากดราม่าที่เผย backstory การถูกเนรเทศจากสวรรค์ แต่สุดท้ายถูกพลังธรรมะเอาชนะในจุดไคลแม็กซ์ ปรเมษฐ์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความหล่อและเสียงทุ้มมาผสมกับการแสดงที่ร้ายลึก ทำให้สุริยะดูมีมิติทั้งด้านเวทมนตร์ แอคชั่น และดราม่าแค้น เขาต้องฝึกใช้เอฟเฟกต์พิเศษและท่าทางเทพเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ สุริยะยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความริษยาจะนำไปสู่ความพินาศ ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งเกลียดและสงสารตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับสุริยะคือเทพตกสวรรค์ผู้แค้น
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นเทพที่ถูกเพลิงศักดิ์สิทธิ์เผาและตกจากสวรรค์เพราะริษยา ทำให้กลายเป็นผู้แค้นโลกและสวรรค์ เทพตกสวรรค์ผู้แค้นสะท้อนถึงความอาฆาตและเล่ห์เหลี่ยมที่เขาแบกรับ เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังวางแผนพรากอัญมณีเพื่อกลับสู่ความอมตะ ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาเริ่มเรื่องจากสวรรค์แล้วตกโลก เจอศึกหนักกับขันแก้วและนพเก้าที่พยายามหยุดแผนเขา เขาต้องใช้เวทมนตร์มืดและกองทัพปีศาจเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ปรเมษฐ์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่เย่อหยิ่งและมีเสน่ห์ ทำให้สุริยะดูเป็นวายร้ายที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากสุริยะคือริษยานำไปสู่ความพินาศ
ข้อคิดนี้สอนว่าความริษยาและอาฆาตจะกลืนกินตัวเองนำไปสู่จุดจบที่เลวร้าย สุริยะในฐานะวายร้ายต้องแค้นเพราะริษยาขันดิน ทำให้เขาเข้าใจว่าความริษยาไม่นำไปสู่ชัยชนะแต่กลับทำลายตัวเอง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการเปรียบเทียบแต่การริษยาจะทำให้สูญเสียทุกอย่าง ในเรื่องเขาแค้นแต่สุดท้ายพ่ายแพ้เพราะพลังธรรมะ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าปล่อยให้ริษยาครอบงำเพราะมันนำไปสู่ความพินาศที่ยั่งยืน ปรเมษฐ์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเย่อหยิ่งไปสู่พ่ายแพ้ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ปิ่นปินัทธ์ นิธิศกุลไพศาล รับบท ตุ๊กตุ่น

เพื่อนคู่ใจของขันแก้วที่เป็นตัวแทนของมิตรภาพแท้จริงและความฮาในเรื่อง เธอเป็นตัวละครมนุษย์ธรรมดาที่เติบโตในหมู่บ้านใกล้ป่า มีบุคลิกขี้เล่น ขี้แกล้ง และชอบกิน แต่ซื่อสัตย์และกล้าหาญเมื่อถึงคราวจำเป็น ตุ๊กตุ่นเข้าร่วมการเดินทางกับขันแก้วตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง เมื่อขันแก้วออกจากป่าเพื่อตามหานพเก้าและอัญมณีเก้าเม็ด เธอกลายเป็นเพื่อนซี้ที่คอยสร้างโมเมนต์สนุกสนาน ท่ามกลางการผจญภัยที่เต็มไปด้วยเวทมนตร์และศัตรู ตุ๊กตุ่นใช้ความคล่องแคล่วและไหวพริบในการช่วยเหลือทีม เช่น แกล้งศัตรูเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจหรือหาอาหารในป่าเพื่อเลี้ยงทีม เธอร่วมต่อสู้กับกองทัพปีศาจโครงกระดูกจากโยคีดำและสุริยะเทพตกสวรรค์ โดยใช้ไม้เท้าหรือของ improvised เพื่อต่อกร
แม้ไม่มีพลังวิเศษแต่เธอคอยสนับสนุนขันแก้ว อสูรวาริน และศรีวิชัยองครักษ์รูปงาม ตุ๊กตุ่นมีพัฒนาการจากตัวละครสายฮาที่ดูไร้สาระไปสู่ผู้เสียสละเพื่อเพื่อน เช่น เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องอัญมณีหรือช่วยขันแก้วตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำ เธอไม่ใช่แค่ตัวตลกแต่เป็นสัญลักษณ์ของมิตรภาพที่ทำให้การเดินทางไม่เหงา ตุ๊กตุ่นมีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญความกลัวแต่เอาชนะด้วยความผูกพัน แต่สุดท้ายช่วยทีมหยุดยั้งความมืดมิดในจุดไคลแม็กซ์ ปิ่นปินัทธ์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความสดใสและทักษะตลกมาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้ตุ๊กตุ่นดูมีมิติทั้งด้านฮา แอคชั่น และมิตรภาพ เธอต้องฝึกต่อสู้เบาๆและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ตุ๊กตุ่นยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่ามิตรภาพธรรมดาสามารถเปลี่ยนแปลงชะตากรรม ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับตุ๊กตุ่นคือตุ๊กตุ่นตัวป่วนมิตรภาพ
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นเพื่อนคู่ใจขันแก้วที่ชอบป่วนและสร้างฮาแต่จริงๆแล้วเป็นมิตรภาพแท้ที่ช่วยเหลือตลอดการเดินทาง ตุ๊กตุ่นตัวป่วนมิตรภาพสะท้อนถึงความขี้เล่นและความภักดีที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังป่วนศัตรูด้วยไหวพริบเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวแล้วสร้างโมเมนต์สนุก เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากอัญมณีไป เธอต้องใช้ความคล่องแคล่วและการแกล้งเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ปิ่นปินัทธ์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ขี้เล่นแต่มีเสน่ห์ ทำให้ตุ๊กตุ่นดูเป็นตัวละครที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากตุ๊กตุ่นคือมิตรภาพแท้จริงไม่ต้องการพลังวิเศษ
ข้อคิดนี้สอนว่าการมีเพื่อนที่ซื่อสัตย์และขี้เล่นสามารถช่วยเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวงโดยไม่ต้องพึ่งพลังเหนือธรรมชาติ ตุ๊กตุ่นในฐานะเพื่อนซี้ต้องช่วยขันแก้วด้วยไหวพริบธรรมดา ทำให้เธอเข้าใจว่ามิตรภาพมาจากใจไม่ใช่พลัง เธอสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการผจญภัยแต่การมีเพื่อนจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเธอป่วนแต่เสี่ยงชีวิตเพื่อทีม ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าประมาทมิตรภาพเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ปิ่นปินัทธ์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากป่วนไปสู่เสียสละ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ คมกริช เอกรัตน์ รับบท ศรีวิชัย

องครักษ์หนุ่มรูปงามที่เป็นทั้งเพื่อนและผู้ปกป้องนพเก้ามาตลอดชีวิต เขาเป็นตัวแทนของความภักดีและความกล้าหาญในราชสำนักนครไตรตรึง มีบุคลิกสุภาพ อ่อนโยนแต่เด็ดเดี่ยว ชอบใช้ดาบและศิลปะการต่อสู้เพื่อปกป้องคนที่รัก ศรีวิชัยปรากฏตัวตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง เมื่อนพเก้าถูกเลี้ยงดูอย่างลึกลับ เขาได้รับมอบหมายให้เฝ้าดูแลเธอตั้งแต่เด็ก ทำให้เกิดความผูกพันลึกซึ้งที่เกินกว่าเพื่อนหรือองครักษ์ ศรีวิชัยร่วมเดินทางกับขันแก้ว ตุ๊กกะตุ่น และอสูรวารินเพื่อตามหาอัญมณีเก้าเม็ด ท่ามกลางศัตรูอย่างสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืดที่ไล่ล่าอัญมณีเพื่อครอบครองขันวิเศษ เขาใช้ทักษะการต่อสู้ระยะประชิดและไหวพริบในการช่วยเหลือทีม เช่น ปกป้องนพเก้าในร่างต่างๆจากกองทัพปีศาจโครงกระดูกหรือเล่ห์เหลี่ยมของศัตรู
ศรีวิชัยมีพัฒนาการจากองครักษ์ที่ซื่อตรงไปสู่ฮีโร่ผู้เสียสละเพื่อความรักและมิตรภาพ เช่น เสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยนพเก้าตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำหรือพลีชีพชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลัง เขาไม่ใช่แค่ตัวประกอบแต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่ไม่หวังผลตอบแทน มีคู่หมั้นชื่อชื่นอารมณ์แต่ใจจริงแอบรักนพเก้า ทำให้เกิดโมเมนต์โรแมนติกและดราม่าที่แฟนๆจิ้นหนัก ศรีวิชัยมีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญความสูญเสียแต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งความภักดี แต่สุดท้ายช่วยทีมหยุดยั้งความมืดมิดในจุดไคลแม็กซ์ คมกริชเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความหล่อและเสียงนุ่มมาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้ศรีวิชัยดูมีมิติทั้งด้านโรแมนติก แอคชั่น และดราม่า เขาต้องฝึกดาบและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ศรีวิชัยยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความภักดีจะนำไปสู่ชัยชนะ ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับศรีวิชัยคือองครักษ์สุดจิ้น
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นองครักษ์รูปงามที่ปกป้องนพเก้ามาตลอด ทำให้กลายเป็นตัวละครที่แฟนๆจิ้นกับนพเก้าหนักเพราะโมเมนต์โรแมนติก องครักษ์สุดจิ้นสะท้อนถึงความสุภาพและความภักดีที่เขาแบกรับ เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังแอบรักนพเก้าอย่างเงียบๆแม้มีคู่หมั้นชื่นอารมณ์ ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาปรากฏตัวแล้วสร้างเคมีกับนพเก้า เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากอัญมณีไป เขาต้องใช้ดาบและความกล้าหาญเพื่อปกป้อง ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น คมกริชนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่อ่อนโยนแต่มีเสน่ห์ ทำให้ศรีวิชัยดูเป็นองครักษ์ที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากศรีวิชัยคือความภักดีนำไปสู่ชัยชนะ
ข้อคิดนี้สอนว่าการภักดีต่อคนที่รักและหน้าที่จะช่วยเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวงแม้ต้องเสียสละ ศรีวิชัยในฐานะองครักษ์ต้องปกป้องนพเก้าด้วยชีวิต ทำให้เขาเข้าใจว่าความภักดีไม่ใช่แค่คำพูดแต่เป็นการกระทำ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการทดสอบแต่ความภักดีจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเขาเสี่ยงชีวิตแต่ฟื้นคืนด้วยพลังมิตรภาพ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าละทิ้งความภักดีเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน คมกริชเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากสุภาพไปสู่กล้าหาญ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ วงสวัสดิ์ สุริยะชัยวัฒนะ รับบท เนตรมานพ
พระราชาแห่งนครไตรตรึง พ่อของฝาแฝดพระโอรสขันแก้วและพระธิดานพเก้า ที่เป็นตัวแทนของผู้นำที่ดุเข้มแต่เต็มเปี่ยมด้วยความรักและเมตตาต่อลูกและราษฎร เขามีบุคลิกสง่างาม หน้าตาคมเข้ม เสียงทุ้มหนักแน่น ชอบปกครองอาณาจักรด้วยกฎเกณฑ์ที่เคร่งครัดเพื่อรักษาความสงบสุข แต่ลึกๆแล้วเป็นพ่อที่ห่วงใยลูกมากจนถึงขั้นเสียสละทุกอย่าง เนตรมานพปรากฏตัวตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ท่ามกลางลางบอกเหตุและคำทำนายจากโหรทิพจักรที่ประกาศว่าฝาแฝดจะถือขันวิเศษและแหวนนพเก้า ทำให้เขาต้องตัดสินใจพรากลูกเพื่อปกป้องจากภัยร้ายตามคำทำนาย เขาเป็นผู้ปกครองที่ฉลาด รอบรู้ในตำนานและเวทมนตร์โบราณ จึงคอยให้คำปรึกษาแก่ราชสำนักและองครักษ์อย่างศรีวิชัยในการรับมือศัตรู เนตรมานพต้องเผชิญวิกฤตเมื่อสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำไล่ล่าอัญมณี ทำให้กองทัพปีศาจบุกทำลายแคว้นต่างๆ
เขาใช้สติปัญญาและอำนาจราชบัลลังก์ในการรวมกำลังทหารและราษฎรเพื่อต่อต้านความมืดมิด โดยไม่มีพลังวิเศษแต่พึ่งพาความเป็นผู้นำและความยุติธรรม เนตรมานพมีพัฒนาการจากพระราชาที่เข้มงวดไปสู่ผู้เข้าใจการเสียสละ เช่น ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องลูกและอาณาจักรจากเล่ห์เหลี่ยมของศัตรู เขาไม่ใช่แค่ตัวประกอบแต่เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นพ่อและผู้นำที่ทำให้เรื่องมีน้ำหนักทางดราม่า มีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญความสูญเสียลูกแต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งธรรมะและมิตรภาพ แต่สุดท้ายนำอาณาจักรกลับสู่ความสงบในจุดไคลแม็กซ์ วงสวัสดิ์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำประสบการณ์และเสียงทุ้มมาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้เนตรมานพดูมีมิติทั้งด้านเข้มแข็ง ดราม่า และเมตตา เขาต้องฝึกท่าทางราชาและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ เนตรมานพยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าการปกครองด้วยธรรมะจะเอาชนะความชั่ว ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งเคารพและสงสารตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับเนตรมานพคือเนตรมานพสายเข้ม
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นพระราชาที่ดุเข้มแต่ใจดี ทำให้กลายเป็นผู้นำที่แฟนๆเคารพเพราะความเข้มแข็งในการปกครอง เนตรมานพสายเข้มสะท้อนถึงความเคร่งครัดและสติปัญญาที่เขาแบกรับ เขาไม่ใช่แค่ปกครองแต่ยังให้คำปรึกษาแก่ราชสำนักในการรับมือภัยร้าย ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาปรากฏตัวแล้วแสดงความเข้มงวด เจอวิกฤตจากสุริยะและโยคีดำที่บุกอาณาจักร เขาต้องใช้อำนาจราชบัลลังก์และความยุติธรรมเพื่อรวมกำลัง ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น วงสวัสดิ์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่สง่างามแต่มีเสน่ห์ ทำให้เนตรมานพดูเป็นพระราชาที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากเนตรมานพคือการปกครองด้วยธรรมะนำไปสู่ความสงบ
ข้อคิดนี้สอนว่าการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งแต่มีเมตตาและยุติธรรมจะช่วยรักษาอาณาจักรจากภัยร้าย เนตรมานพในฐานะพระราชาต้องดุแต่รักลูก ทำให้เขาเข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่แค่คำพูดแต่เป็นการกระทำ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยคำทำนายและศัตรูแต่การปกครองด้วยธรรมะจะทำให้เติบโต ในเรื่องเขาตัดสินใจพรากลูกแต่สุดท้ายรวมใจหยุดยั้งความมืด ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าละทิ้งธรรมะเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน วงสวัสดิ์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเข้มงวดไปสู่เมตตา ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ นาตาลี สตีลลัท รับบท ระงับเนตร์
พระมเหสีแห่งนครไตรตรึง ภรรยาของพระราชาเนตรมานพและแม่ของฝาแฝดพระโอรสขันแก้วกับพระธิดานพเก้า ที่เป็นตัวแทนของความรักแม่และการเสียสละในราชสำนัก เธอมีบุคลิกอ่อนโยน สง่างาม หน้าตาสวยหวานแต่เต็มเปี่ยมด้วยความเศร้าและห่วงใย ชอบปกป้องลูกด้วยหัวใจแม้ต้องเผชิญคำทำนายโหรทิพจักรที่บังคับให้พรากลูกตั้งแต่เกิด ระงับเนตร์ปรากฏตัวตั้งแต่ช่วงต้นเรื่อง ท่ามกลางลางบอกเหตุการกำเนิดฝาแฝด ทำให้เธอต้องตัดสินใจส่งลูกไปตามชะตาเพื่อปกป้องจากภัยร้ายอย่างสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นผู้หญิงที่ฉลาด รอบรู้ในตำนานราชวงศ์ จึงคอยให้คำปรึกษาสามีในการรับมือวิกฤตอาณาจักร ระงับเนตร์ต้องเผชิญดราม่าหนักเมื่อกองทัพปีศาจบุกทำลายแคว้นต่างๆ ทำให้เธอใช้สติปัญญาและความเมตตาในการรวมใจราษฎรและราชสำนัก โดยไม่มีพลังวิเศษแต่พึ่งพาความเป็นแม่และภรรยาที่เข้มแข็ง
ระงับเนตร์มีพัฒนาการจากพระมเหสีที่เศร้าสร้อยไปสู่ผู้กล้าหาญที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อรวมครอบครัว เช่น แอบช่วยเหลือลูกๆลับๆหรือเผชิญเล่ห์เหลี่ยมของศัตรูเพื่อปกป้องแหวนนพเก้า เธอไม่ใช่แค่ตัวประกอบแต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักแม่ที่ทำให้เรื่องมีน้ำหนักทางอารมณ์ มีฉากดราม่าที่ต้องสูญเสียลูกชั่วคราวแต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งความผูกพัน แต่สุดท้ายนำอาณาจักรกลับสู่ความสงบในจุดไคลแม็ก นาตาลีเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความอ่อนโยนและน้ำตามาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้ระงับเนตร์ดูมีมิติทั้งด้านเศร้า ดราม่า และเมตตา เธอต้องฝึกท่าทางราชินีและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ระงับเนตร์ยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความรักแม่จะเอาชนะชะตากรรม ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งสงสารและชื่นชมตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับระงับเนตร์คือพระมเหสีน้ำตาแตก
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นพระมเหสีที่เศร้าสร้อยเพราะต้องพรากจากลูกฝาแฝด ทำให้กลายเป็นตัวละครที่แฟนๆสงสารเพราะน้ำตาไหลทั้งเรื่อง พระมเหสีน้ำตาแตกสะท้อนถึงความอ่อนโยนและการเสียสละที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ปกครองแต่ยังห่วงใยลูกๆลับๆแม้คำทำนายบังคับ ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวแล้วแสดงความเศร้า เจอวิกฤตจากสุริยะและโยคีดำที่บุกอาณาจักร เธอต้องใช้ความเมตตาและน้ำตาเพื่อรวมใจครอบครัว ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น นาตาลีนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่อ่อนไหวแต่มีเสน่ห์ ทำให้ระงับเนตร์ดูเป็นพระมเหสีที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากระงับเนตร์คือความรักของแม่ไม่มีวันสิ้นสุด
ข้อคิดนี้สอนว่าความรักแม่ที่เสียสละและห่วงใยจะช่วยเอาชนะชะตากรรมและภัยร้ายแม้ต้องพรากจากกัน ระงับเนตร์ในฐานะแม่ต้องพรากลูกแต่ยังปกป้องลับๆ ทำให้เธอเข้าใจว่าความรักแม่ไม่ใช่แค่คำพูดแต่เป็นการกระทำ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยคำทำนายและการสูญเสียแต่ความรักแม่จะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเธอเศร้าแต่สุดท้ายรวมครอบครัวด้วยน้ำตาและเมตตา ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าละทิ้งความรักแม่เพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน นาตาลีเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเศร้าไปสู่กล้าหาญ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ กฤชสร เปรมปรีดิ์ รับบท บุษราคัม

คือร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เขาเป็นตัวแทนของบุษราคัมอัญมณีสีเหลืองที่สื่อถึงความเมตตา ความหวัง และความใจดี บุษราคัมปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีบุษราคัมถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เขาต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เขาเก่งการช่วยเหลือผู้อื่น ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีเหลืองในการสร้างแสงแห่งความหวัง รักษาบาดแผล และกระตุ้นกำลังใจให้ทีม บุษราคัมมีบุคลิกอ่อนโยน ยิ้มแย้ม แต่แข็งแกร่งภายใน ชอบให้อภัยและเมตตาแม้ศัตรูบางคน เขาเติบโตจากชีวิตในหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก ทำให้มีความเข้าใจผู้อื่นและปกป้องคนอ่อนแอ บุษราคัมเป็นผู้เชื่อมโยงร่างอื่นๆ โดยใช้ความเมตตาเป็นอาวุธหลัก ไม่เน้นต่อสู้แต่ช่วยเหลือทีมอย่างขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี
ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ในฐานะร่างเมตตา เขาต้องเจอภารกิจทดสอบจิตใจ เช่น รักษาราษฎรที่บาดเจ็บหรือให้อภัยศัตรูเพื่อส่งต่อพลัง ทำให้เขากลายเป็นกุญแจสำคัญในการรวมใจทีม บุษราคัมเป็นสัญลักษณ์ของความหวังในยามมืดมิด เขามีฉากดราม่าที่ต้องพลีชีพชั่วคราวเพื่อรักษาเพื่อน แต่สุดท้ายฟื้นคืนด้วยพลังแห่งความเมตตา กฤชสรเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความสดใสและทักษะดราม่ามาผสมกับการแสดงที่อ่อนโยน ทำให้บุษราคัมดูมีมิติทั้งด้านเมตตา ดราม่า และการช่วยเหลือ เขาต้องฝึกต่อสู้เบาๆและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ บุษราคัมยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความเมตตาจะเอาชนะความมืดมิด ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับบุษราคัมคือบุษราคัมแห่งความหวัง
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นร่างอัญมณีสีเหลืองที่ใช้ความเมตตาเป็นอาวุธในการสร้างหวังให้ทีม ทำให้กลายเป็นผู้จุดประกายในยามสิ้นหวัง บุษราคัมแห่งความหวังสะท้อนถึงความอ่อนโยนและการรักษาที่เขาแบกรับ เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังกระตุ้นกำลังใจให้เพื่อนด้วยแสงสีเหลืองที่สว่างไสว ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาปรากฏตัวในช่วงที่เรื่องมืดมน เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่พยายามพรากอัญมณีไป เขาต้องใช้ความใจดีและการให้อภัยเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น กฤชสรนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ยิ้มแย้มแต่มีเสน่ห์ ทำให้บุษราคัมดูเป็นฮีโร่หญิงที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากบุษราคัมคือความเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นนำไปสู่ชัยชนะ
ข้อคิดนี้สอนว่าการมีเมตตาและให้อภัยจะช่วยเอาชนะอุปสรรคใหญ่หลวงแม้ในยามมืดมิด บุษราคัมในฐานะร่างเมตตาต้องรักษาและกระตุ้นทีมด้วยใจดี ทำให้เขาเข้าใจว่าความเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอแต่เป็นพลัง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์แต่การช่วยเหลือจะทำให้เราเติบโต ในเรื่องเขาให้อภัยแต่พลีชีพเพื่อทีม ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าละทิ้งความเมตตาเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน กฤชสรเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากอ่อนโยนไปสู่กล้าหาญ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ปอนด์ โอภาภูมิ รับบท โยคีดำ

วายร้ายรองที่เป็นจอมเวทมนตร์มืดผู้รอเวลารวบรวมอัญมณีเก้าเม็ดเพื่อครอบครองขันวิเศษและกลายเป็นเทพอมตะ เขาเป็นตัวแทนของความโลภและเวทดำที่บิดเบี้ยว มีบุคลิกเย็นชา หน้าตาคมเข้มแต่ดุดัน ชอบใช้คำพูดเหยียดหยามและเล่ห์เหลี่ยมเพื่อบรรลุเป้าหมาย โยคีดำปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่อร่วมมือกับสุริยะเทพตกสวรรค์ในการไล่ล่าอัญมณีจากแหวนนพเก้า ทำให้เกิดความโกลาหลทั่วแผ่นดิน เขาใช้เวทมนตร์มืดในการเรียกกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ สร้างภาพลวงตา และโจมตีด้วยพลังมืดที่ดูดกลืนแสงสว่าง โยคีดำมี backstory ที่เป็นโยคีผู้ศึกษาวิชามืดเพื่อแก้แค้นโลกที่เคยทำร้ายเขา ทำให้กลายเป็นศัตรูที่ฉลาดและไม่ยอมแพ้ เขาต้องเผชิญกับขันแก้ว นพเก้า และทีมพระเอก โดยใช้กลอุบายพรากอัญมณีไปทีละดวง เช่น ส่งปีศาจปลอมตัวหรือใช้คำสาปเพื่อทำให้ร่างอัญมณีอ่อนแอ
โยคีดำมีพัฒนาการจากจอมเวทที่มั่นใจเกินไปไปสู่ผู้แพ้พ่ายเพราะความโลภที่กลืนกินตัวเอง เขาไม่ใช่แค่วายร้ายแต่เป็นสัญลักษณ์ของความมืดที่เกิดจากความแค้นและโลภ มีฉากดราม่าที่เผยปมอดีตการถูกทรยศแต่สุดท้ายถูกพลังธรรมะเอาชนะในจุดไคลแม็กซ์ ปอนด์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความเย็นชาและเสียงต่ำมาผสมกับการแสดงที่ร้ายลึก ทำให้โยคีดำดูมีมิติทั้งด้านเวทมนตร์ แอคชั่น และดราม่าแค้น เขาต้องฝึกใช้เอฟเฟกต์พิเศษและท่าทางโยคีเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ โยคีดำยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความโลภจะนำไปสู่จุดจบ ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งเกลียดและอยากรู้ปมตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับโยคีดำคือโยคีดำราชาแห่งความมืด
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นจอมเวทมืดที่เรียกกองทัพปีศาจและปกครองความมืดเพื่อบรรลุความอมตะ ทำให้กลายเป็นราชาที่แฟนๆเกลียดเพราะความร้ายกาจ โยคีดำราชาแห่งความมืดสะท้อนถึงความโลภและเล่ห์เหลี่ยมที่เขาแบกรับ เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังวางแผนพรากอัญมณีเพื่อครอบครองขันวิเศษ ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาปรากฏตัวแล้วสร้างความมืดมิด เจอศึกหนักกับขันแก้วและนพเก้าที่พยายามหยุดแผนเขา เขาต้องใช้เวทดำและปีศาจเพื่อเอาชนะ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ปอนด์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ดุดันแต่มีเสน่ห์ ทำให้โยคีดำดูเป็นวายร้ายที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากโยคีดำคือความโลภนำไปสู่จุดจบ
ข้อคิดนี้สอนว่าความโลภและเวทมืดจะกลืนกินตัวเองนำไปสู่ความพินาศที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โยคีดำในฐานะวายร้ายต้องโลภอัญมณีเพื่ออมตะ ทำให้เขาเข้าใจว่าความโลภไม่นำไปสู่ชัยชนะแต่กลับทำลายตัวเอง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการล่อลวงแต่ความโลภจะทำให้สูญเสียทุกอย่าง ในเรื่องเขาโลภแต่สุดท้ายพ่ายแพ้เพราะพลังธรรมะ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าปล่อยให้โลภครอบงำเพราะมันนำไปสู่จุดจบที่ยั่งยืน ปอนด์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากมั่นใจไปสู่พ่ายแพ้ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ รมิตา รัตนภักดี รับบท ลักกะเพศ

ลูกน้องสาวของโยคีดำจอมเวทมืดที่เป็นตัวแทนของความร้ายกาจผสมความโง่เขลาและความโลภ เธอเป็นปีศาจสาวชอบแต่งตัวหรูหรา ชอบใช้เล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆเพื่อช่วยเจ้านายพรากอัญมณีเก้าเม็ดจากแหวนนพเก้า ลักกะเพศปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่อโยคีดำส่งเธอไปแทรกซึมในหมู่บ้านใกล้นครไตรตรึงเพื่อสอดแนมขันแก้วและทีม ทำให้เกิดความวุ่นวายด้วยแผนโง่ๆอย่างปลอมตัวเป็นสาวบ้านนอกแต่โดนจับได้เพราะปากแซ่บเกิน เธอใช้เวทมนตร์มืดเบื้องต้นในการสร้างภาพลวงตาเล็กๆหรือเรียกปีศาจตัวจ้อยเพื่อรบกวนทีมพระเอก ลักกะเพศมีบุคลิกปากร้าย ชอบด่าทอและโม้เก่ง แต่จริงๆแล้วขี้ขลาดและโลภเงินทอง ชอบแอบขโมยของจากศัตรูเพื่อตัวเอง
เธอร่วมมือกับสุริยะเทพตกสวรรค์ในการบุกทำลายแคว้นต่างๆ โดยใช้ความซุกซนในการหลอกล่อร่างอัญมณีต่างๆของนพเก้า ลักกะเพศมีพัฒนาการจากลูกน้องโง่ที่ถูกเจ้านายดุไปสู่ผู้ที่แอบสำนึกผิดชั่วขณะเพราะเห็นความเมตตาจากบุษราคัม แต่สุดท้ายกลับร้ายเพราะความโลภ เธอไม่ใช่แค่วายร้ายรองแต่เป็นสัญลักษณ์ของความร้ายที่มาจากความโง่และโลภ มีฉากฮาที่ต้องหนีตายจากอสูรวารินหรือโดนตุ๊กกะตุ่นแกล้ง แต่มีดราม่าที่เผยปมถูกโยคีดำหลอกใช้ตั้งแต่เด็ก ทำให้คนดูทั้งหัวเราะและสงสาร รมิตาเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความฮาและท่าทางโอเวอร์มาผสมกับการแสดงที่ร้ายแบบน่ารัก ทำให้ลักกะเพศดูมีมิติทั้งด้านตลก ดราม่า และเล่ห์เหลี่ยม เธอต้องฝึกใช้เอฟเฟกต์พิเศษและท่าทางปีศาจเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ลักกะเพศยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความโลภเล็กๆจะนำไปสู่ความพินาศ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งเกลียดและขำตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับลักกะเพศคือลักกะเพศปากแซ่บ
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นปีศาจสาวปากร้ายชอบด่าทอและโม้เก่งแต่แผนโง่เสมอ ทำให้กลายเป็นตัวร้ายที่แฟนๆขำเพราะความซุกซน ลักกะเพศปากแซ่บสะท้อนถึงความร้ายกาจผสมฮาที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ช่วยเจ้านายแต่ยังสร้างวุ่นวายด้วยคำพูดแซ่บที่หลอกล่อศัตรู ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวแล้วปากดีไม่หยุด เจอศึกหนักกับขันแก้วและนพเก้าที่จับได้แผนเธอ เธอต้องใช้เล่ห์เหลี่ยมและปากแซ่บเพื่อหนีรอด ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น รมิตานำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่โอเวอร์แต่มีเสน่ห์ ทำให้ลักกะเพศดูเป็นปีศาจที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากลักกะเพศคือความโลภเล็กๆนำไปสู่ความพินาศ
ข้อคิดนี้สอนว่าความโลภและเล่ห์เหลี่ยมเล็กๆน้อยๆจะสะสมจนกลายเป็นหายนะที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ลักกะเพศในฐานะลูกน้องต้องโลภเงินทองจากเจ้านาย ทำให้เธอเข้าใจว่าความโลภไม่นำไปสู่ความสุขแต่กลับทำลายตัวเอง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการล่อลวงแต่ความโลภจะทำให้สูญเสียมิตรภาพ ในเรื่องเธอโม้แต่สุดท้ายโดนทิ้งเพราะแผนโง่ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าปล่อยให้โลภครอบงำเพราะมันนำไปสู่จุดจบที่ยั่งยืน รมิตาเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากซุกซนไปสู่สำนึกผิดชั่วขณะ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ อิสซาเบล โคปิเต่ รับบท ชื่นอารมณ์

สาวสวยลูกสาวขุนนางในนครไตรตรึงที่เป็นคู่หมั้นของศรีวิชัยองครักษ์รูปงาม แต่แอบหลงรักขันแก้วพระโอรสฝาแฝด ทำให้เกิดดราม่ารักสามเส้าที่ซับซ้อน เธอเป็นตัวแทนของความรักวัยรุ่นที่บริสุทธิ์แต่เต็มไปด้วยความสับสนและเคมีแรง ชื่นอารมณ์มีบุคลิกอ่อนหวาน ยิ้มเก่ง หน้าตาสวยหวานแบบลูกครึ่ง แต่ลึกๆแล้วกล้าหาญและซื่อตรง ชอบแสดงออกด้วยการช่วยเหลือคนอื่นเพื่อใกล้ชิดขันแก้ว ชื่นอารมณ์ปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่อศรีวิชัยนำทีมเดินทาง เธอตามไปด้วยฐานะคู่หมั้นแต่แอบแสดงความห่วงใยขันแก้ว เช่น ช่วยรักษาบาดแผลหรือให้กำลังใจในยามต่อสู้ปีศาจ เธอต้องเผชิญศัตรูอย่างสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืดที่บุกแคว้น ทำให้เธอใช้ไหวพริบและความฉลาดในการช่วยทีม เช่น สอดแนมเล่ห์เหลี่ยมของลักกะเพศหรือปกป้องนพเก้าในร่างต่างๆ
ชื่นอารมณ์มีพัฒนาการจากสาวน้อยที่งุ่มง่ามในความรักไปสู่ผู้กล้าที่เลือกทางเดินของตัวเอง โดยต้องเลือกระหว่างหน้าที่คู่หมั้นกับหัวใจที่มุ่งสูขันแก้ว เธอไม่ใช่แค่ตัวประกอบรักแต่เป็นสัญลักษณ์ของความสับสนวัยรุ่นที่ทำให้เรื่องมีเสน่ห์โรแมนติก มีฉากดราม่าที่ต้องสารภาพรักแต่ถูกปฏิเสธชั่วคราวเพราะชะตาฝาแฝด แต่สุดท้ายพบทางออกด้วยการให้อภัยและมิตรภาพ อิสซาเบลเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความหวานและเคมีลูกครึ่งมาผสมกับการแสดงที่จริงจัง ทำให้ชื่นอารมณ์ดูมีมิติทั้งด้านโรแมนติก ดราม่า และช่วยเหลือ เธอต้องฝึกท่าทางสาวขุนนางและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ชื่นอารมณ์ยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความรักต้องผ่านการทดสอบชะตา ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งจิ้นและสงสารตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับชื่นอารมณ์คือชื่นอารมณ์สายจีบ
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นสาวสวยคู่หมั้นศรีวิชัยแต่แอบจีบขันแก้วด้วยเคมีแรงและการช่วยเหลือ ทำให้กลายเป็นสาวน้อยที่แฟนๆจิ้นหนักเพราะโมเมนต์หวาน ชื่นอารมณ์สายจีบสะท้อนถึงความอ่อนหวานและความกล้าหาญในรักที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่รอคอยแต่ยังแสดงออกด้วยการใกล้ชิดขันแก้วในยามผจญภัย ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวแล้วสร้างเคมีรักสามเส้า เจอดราม่าจากสุริยะและโยคีดำที่รบกวน เธอต้องใช้ไหวพริบจีบเพื่อช่วยทีม ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น อิสซาเบลนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ยิ้มหวานแต่มีเสน่ห์ ทำให้ชื่นอารมณ์ดูเป็นสาวน้อยที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากชื่นอารมณ์คือความรักต้องผ่านการทดสอบชะตา
ข้อคิดนี้สอนว่าความรักที่แท้จริงจะผ่านอุปสรรคและสับสนเพื่อพบทางที่ถูกต้อง ชื่นอารมณ์ในฐานะสาวน้อยต้องเลือกระหว่างหน้าที่กับหัวใจ ทำให้เธอเข้าใจว่าความรักไม่ใช่แค่หวานแต่ต้องกล้าหาญ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยรักสามเส้าแต่การทดสอบจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอสารภาพแต่พบทางออกด้วยมิตรภาพ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวสับสนในรักเพราะมันนำไปสู่ความสุขที่ยั่งยืน อิสซาเบลเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากงุ่มง่ามไปสู่แน่วแน่ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ชนุชตรา สุขสันต์ รับบท ยักษ์มารตะไล

ยักษ์ตัวใหญ่สมุนของโยคีดำจอมเวทมืดที่เป็นตัวแทนของความโง่เขลาผสมความใจดีและความฮาในฝั่งวายร้าย เธอเป็นยักษ์สาวรูปร่างกำยำ หน้าตาน่าเกลียดแต่แววตาใสซื่อ ชอบทำตามคำสั่งเจ้านายแบบงงๆแต่สุดท้ายแอบช่วยฝ่ายดีเพราะใจอ่อน ยักษ์มารตะไลปรากฏตัวในช่วงต้นเรื่อง เมื่อโยคีดำส่งเธอไปบุกหมู่บ้านใกล้นครไตรตรึงเพื่อล่าอัญมณีเก้าเม็ดจากแหวนนพเก้า ทำให้เกิดความวุ่นวายด้วยพลังยักษ์ที่ทำลายล้างแต่พลาดเพราะความโง่ เช่น หลงทางหรือกลัวปีศาจตัวเล็ก เธอใช้พลังยักษ์ในการยกภูเขาหรือทุบพื้นเพื่อต่อสู้ แต่จริงๆแล้วขี้กลัวและชอบกินจนอ้วนกลม ยักษ์มารตะไลมีบุคลิกขี้โกงแต่ใจดี ชอบบ่นโยคีดำแต่แอบสงสารขันแก้วและทีม ทำให้เกิดโมเมนต์ฮาที่แฟนๆหัวเราะกลิ้ง เธอร่วมมือกับลักกะเพศในการบุกทำลายแคว้นต่างๆ ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกจากสุริยะเทพตกสวรรค์
แต่สุดท้ายหันมาช่วยฝ่ายดีเพราะเห็นความเมตตาจากบุษราคัม ยักษ์มารตะไลมีพัฒนาการจากสมุนโง่ที่ถูกเจ้านายดุไปสู่ยักษ์ใจดีที่เลือกทางธรรมะ เช่น เสี่ยงชีวิตเพื่อปกป้องตุ๊กกะตุ่นหรือช่วยตอบคำถามลึกลับจากอสูรกลางหนองน้ำ เธอไม่ใช่แค่วายร้ายรองแต่เป็นสัญลักษณ์ของความดีที่ซ่อนในความโง่ มีฉากฮาที่ต้องเต้นรำยักษ์หรือกินอาหารจนอ้วนแตก แต่มีดราม่าที่เผยปมถูกโยคีดำหลอกใช้ตั้งแต่เด็ก ทำให้คนดูทั้งขำและเอ็นดู ชนุชตราเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความกำยำและเสียงทุ้มมาผสมกับการแสดงที่ฮาแบบน่ารัก ทำให้ยักษ์มารตะไลดูมีมิติทั้งด้านตลก แอคชั่น และใจดี เธอต้องฝึกชุดยักษ์และใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ยักษ์มารตะไลยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความใจดีจะเอาชนะความมืด ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งขำและรักตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับยักษ์มารตะไลคือมารตะไลตัวขำ
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นยักษ์สมุนโยคีดำแต่โง่เขลาและฮาจนขโมยซีน ทำให้กลายเป็นยักษ์ที่แฟนๆขำกลิ้งเพราะโมเมนต์งุ่มง่าม มารตะไลตัวขำสะท้อนถึงความใจดีผสมฮาที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่บุกทำลายแต่ยังสร้างวุ่นวายด้วยความโง่ที่ทำให้เจ้านายโมโห ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวแล้วฮาไม่หยุด เจอศึกหนักกับขันแก้วและนพเก้าที่หลอกใช้ความโง่ของเธอ เธอต้องใช้พลังยักษ์แต่พลาดเพราะขี้กลัว ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ชนุชตรานำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่กำยำแต่มีเสน่ห์ ทำให้ยักษ์มารตะไลดูเป็นยักษ์ที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากยักษ์มารตะไลคือความใจดีซ่อนในความโง่จะนำไปสู่ทางธรรมะ
ข้อคิดนี้สอนว่าความดีที่ซ่อนอยู่แม้ในตัวโง่เขลาจะช่วยเอาชนะความมืดและหันสู่ทางถูกต้อง ยักษ์มารตะไลในฐานะสมุนต้องทำตามคำสั่งมืดแต่สุดท้ายหันมาช่วยเพราะใจอ่อน ทำให้เธอเข้าใจว่าความใจดีไม่ใช่ความอ่อนแอแต่เป็นพลัง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการถูกหลอกใช้แต่ความดีจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอโง่แต่เลือกทางธรรมะ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าตัดสินจากภายนอกเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ชนุชตราเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากโง่ไปสู่ใจดี ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ประถมาภรณ์ รัตนภักดี รับบท มุกดา

ร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของมุกดาอัญมณีสีขาวนวลที่สื่อถึงความซื่อสัตย์ ความบริสุทธิ์ และความซื่อตรง มุกดาปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีมุกดาถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นหญิงสาวที่เก่งการปกป้องเพื่อน ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีขาวนวลในการสร้างโล่ป้องกันที่แข็งแกร่งและสะท้อนพลังมืด มุกดามีบุคลิกตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ไม่เคยโกหก แต่บางครั้งดื้อรั้นเพราะยึดมั่นในหลักการ ชอบยืนหยัดเพื่อความยุติธรรมและปกป้องคนที่รัก เธอเติบโตจากชีวิตในวัดเล็กๆที่สอนให้เธอซื่อตรง ทำให้มีความเข้าใจในมิตรภาพแท้จริง
มุกดาเป็นผู้เชื่อมโยงทีม โดยใช้ความซื่อสัตย์เป็นอาวุธหลัก ร่วมกับขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ในฐานะร่างซื่อสัตย์ เธอต้องเจอภารกิจทดสอบจริยธรรม เช่น ปฏิเสธเล่ห์เหลี่ยมของลักกะเพศหรือปกป้องตุ๊กกะตุ่นจากคำสาป ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรวมใจทีม มุกดาไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ในยามหลอกลวง เธอมีฉากดราม่าที่ต้องพลีชีพชั่วคราวเพื่อพิสูจน์ความซื่อสัตย์ แต่สุดท้ายฟื้นคืนด้วยพลังแห่งมิตรภาพ ประถมาภรณ์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความสดใสและทักษะดราม่ามาผสมกับการแสดงที่ตรงไปตรงมา ทำให้มุกดาดูมีมิติทั้งด้านซื่อสัตย์ ดราม่า และการปกป้อง เธอต้องฝึกต่อสู้และใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ มุกดายังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความซื่อสัตย์จะเอาชนะเล่ห์เหลี่ยม ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับมุกดาคือมุกดาเพื่อนสนิท
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีสีขาวนวลที่ยึดมั่นในมิตรภาพและปกป้องเพื่อนด้วยความซื่อสัตย์ ทำให้กลายเป็นเพื่อนแท้ที่แฟนๆชื่นชอบเพราะโมเมนต์อบอุ่น มุกดาเพื่อนสนิทสะท้อนถึงความตรงไปตรงมาและการยืนหยัดที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังปกป้องทีมด้วยโล่ที่สะท้อนความจริง ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในช่วงที่ทีมต้องการความไว้วางใจ เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่ใช้เล่ห์ลวง เธอต้องใช้ความซื่อสัตย์เพื่อเผยความจริงและช่วยทีม ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ประถมาภรณ์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ซื่อตรงแต่มีเสน่ห์ ทำให้มุกดาดูเป็นร่างที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากมุกดาคือความซื่อสัตย์นำไปสู่มิตรภาพแท้
ข้อคิดนี้สอนว่าการยึดมั่นในความจริงและตรงไปตรงมาจะช่วยสร้างมิตรภาพที่ยั่งยืนแม้ในยามหลอกลวง มุกดาในฐานะร่างซื่อสัตย์ต้องปกป้องทีมด้วยหลักการ ทำให้เธอเข้าใจว่าความซื่อสัตย์ไม่ใช่จุดอ่อนแต่เป็นพลัง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแต่ความจริงจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอดื้อแต่พลีชีพเพื่อเพื่อน ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าทิ้งความซื่อสัตย์เพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ประถมาภรณ์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากดื้อรั้นไปสู่เข้าใจ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ รัชโลทร ชูตระกูล รับบท มรกต

ร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของมรกตอัญมณีสีเขียวที่สื่อถึงความลึกลับ ความสงบ และพลังที่ซ่อนเร้น มรกตปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีมรกตถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นหญิงสาวที่เก่งการต่อสู้แบบลอบเร้น ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีเขียวในการสร้างเงาลวงตา โจมตีจากในความมืด และปกป้องทีมด้วยเกราะเงาที่ดูดซับพลังศัตรู มรกตามีบุคลิกเงียบขรึม ลึกลับ ไม่ค่อยพูด แต่สายตาคมกริบและการกระทำเด็ดขาด ชอบสังเกตการณ์จากระยะไกลก่อนลงมือ ทำให้เธอดูเหมือนเงาในป่า เธอเติบโตจากชีวิตในถ้ำลึกลับที่สอนให้เธอซ่อนตัวตน ทำให้มีความเข้าใจในความมืดและการหลบหนี มรกตเป็นผู้สำรวจทีม โดยใช้ความลึกลับเป็นอาวุธหลัก ร่วมกับขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ
ในฐานะร่างลึกลับ เธอต้องเจอภารกิจทดสอบความอดทน เช่น ลอบเข้าไปสอดแนมเล่ห์เหลี่ยมของโยคีดำหรือหลบหนีจากคำสาปของสุริยะ ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดเผยความลับศัตรู มรกตไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่ซ่อนในเงา เธอมีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญปมตัวตนลึกลับแต่พลีชีพชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลัง แต่สุดท้ายฟื้นคืนด้วยความสงบภายใน รัชโลทรเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความเงียบและท่าทางลึกลับมาผสมกับการแสดงที่ตึงเครียด ทำให้มรกตดูมีมิติทั้งด้านลึกลับ ดราม่า และแอคชั่น เธอต้องฝึกต่อสู้ในเงามืดและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ มรกตยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความลึกลับจะนำไปสู่การค้นพบพลังแท้ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับมรกตคือเงามรกต
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีสีเขียวที่ใช้เงาและความลึกลับในการต่อสู้ ทำให้กลายเป็นร่างที่แฟนๆเรียกว่าเงาเคลื่อนไหว เงามรกตสะท้อนถึงความเงียบขรึมและพลังซ่อนเร้นที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังลอบสังเกตศัตรูจากในมืดเพื่อวางแผน ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในฉากมืดมน เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่ใช้เล่ห์ลวง เธอต้องใช้เงาเพื่อหลบหนีและโจมตี ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น รัชโลทรนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่เงียบแต่มีเสน่ห์ ทำให้มรกตดูเป็นร่างที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากมรกตคือความลึกลับนำไปสู่การค้นพบพลังแท้
ข้อคิดนี้สอนว่าการซ่อนตัวตนและสังเกตการณ์จะช่วยเปิดเผยพลังที่ซ่อนเร้นและเอาชนะศัตรู มรกตในฐานะร่างลึกลับต้องใช้เงาเพื่อปกป้องทีม ทำให้เธอเข้าใจว่าความเงียบไม่ใช่จุดอ่อนแต่เป็นกลยุทธ์ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมแต่ความลึกลับจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอเงียบแต่พลีชีพเพื่อเผยความจริง ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวความลึกลับเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน รัชโลทรเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเงียบไปสู่เด็ดขาด ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ กุลปรียา ศรนิล รับบท นิลกาล

ร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของนิลกาลอัญมณีสีน้ำเงินเข้มที่สื่อถึงความเยือกเย็น ความอดทน และพลังที่เย็นยะเยือกแต่ซ่อนความอบอุ่น นิลกาลปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีนิลกาลถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นหญิงสาวที่เก่งการต่อสู้แบบเย็นชา ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีน้ำเงินในการสร้างน้ำแข็งปกป้อง โจมตีด้วยพายุหิมะ และแช่แข็งศัตรูชั่วคราว นิลกาลมีบุคลิกเย็นชา เงียบขรึม ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ แต่ลึกๆแล้วมีปมจากอดีตที่ถูกทรยศ ทำให้เธอสร้างกำแพงเย็นเพื่อปกป้องตัวเอง ชอบสังเกตการณ์จากระยะไกลก่อนลงมือ ใช้ความอดทนเป็นอาวุธหลัก เธอเติบโตจากชีวิตในหิมะหนาวเหน็บที่สอนให้เธออดทน ทำให้มีความเข้าใจในความเหงาและการเยียวยา
นิลกาลเป็นผู้รักษาสมดุลทีม โดยใช้ความเย็นชาเป็นเกราะ ร่วมกับขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ในฐานะร่างเยือกเย็น เธอต้องเจอภารกิจทดสอบจิตใจ เช่น ทนต่อคำสาปร้อนของสุริยะหรือเยียวยาร่างอื่นที่บาดเจ็บ ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการรักษาความสงบของทีม นิลกาลไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่เย็นแต่ลึกซึ้ง เธอมีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญปมทรยศแต่พลีชีพชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลัง แต่สุดท้ายละลายกำแพงด้วยความอบอุ่นจากมิตรภาพ กุลปรียาเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความเย็นชาและสายตาคมมาผสมกับการแสดงที่ลึกซึ้ง ทำให้ nilกาลดูมีมิติทั้งด้านเยือกเย็น ดราม่า และการเยียวยา เธอต้องฝึกต่อสู้ในอากาศหนาวและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ นิลกาลยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความเย็นชาจะนำไปสู่ความอบอุ่น ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับนิลกาลคือนิลกาลน้ำแข็ง
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีสีน้ำเงินเข้มที่ใช้พลังเย็นชาในการต่อสู้ ทำให้กลายเป็นร่างที่แฟนๆเรียกว่าน้ำแข็งเคลื่อนไหว นิลกาลน้ำแข็งสะท้อนถึงความอดทนและกำแพงเย็นที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังปกป้องทีมด้วยพายุหิมะที่แช่แข็งศัตรู ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในฉากหนาวเหน็บ เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่ใช้ความร้อนโจมตี เธอต้องใช้ความเย็นเพื่อทนและโจมตี ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น กุลปรียานำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่เย็นชาแต่มีเสน่ห์ ทำให้ นิลกาลดูเป็นร่างที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากนิลกาลคือความเย็นชานำไปสู่ความอบอุ่นที่แท้
ข้อคิดนี้สอนว่าการสร้างกำแพงเย็นเพื่อปกป้องตัวเองจะนำไปสู่การละลายและพบความอบอุ่นจากมิตรภาพ นิลกาลในฐานะร่างเยือกเย็นต้องทนปมทรยศด้วยความเงียบ ทำให้เธอเข้าใจว่าความเย็นไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้นการเยียวยา เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการทรยศแต่ความอดทนจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอเย็นชาแต่พลีชีพเพื่อทีม ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวความเย็นชาเพราะมันนำไปสู่ความอบอุ่นที่ยั่งยืน กุลปรียาเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเย็นชาไปสู่ละลาย ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ปริญากร ปรุงจิตต์ รับบท ไพฑูรย์

ร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของไพฑูรย์อัญมณีสีน้ำเงินที่สื่อถึงความว่องไว ความคล่องแคล่ว และพลังแห่งความเร็ว ไพฑูรย์ปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีไพฑูรย์ถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นหญิงสาวที่เก่งการต่อสู้แบบสายลับ ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีน้ำเงินในการเคลื่อนไหวเร็วราวสายฟ้า สร้างลมพายุหมุนเพื่อโจมตี และหลบหลีกการโจมตีด้วยความคล่องตัวสูง ไพฑูรย์มีบุคลิกฉลาด ว่องไว ไม่ชอบยืนนิ่ง ชอบวางแผนล่วงหน้าและลงมือทันที แต่บางครั้งมั่นใจเกินจนเสี่ยง เธอเติบโตจากชีวิตในป่าที่สอนให้เธอวิ่งหนีและไล่ล่า ทำให้มีความเข้าใจในความเร็วและการปรับตัว
ไพฑูรย์เป็นผู้สำรวจทีม โดยใช้ความคล่องแคล่วเป็นอาวุธหลัก ร่วมกับขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ในฐานะร่างว่องไว เธอต้องเจอภารกิจทดสอบความเร็ว เช่น ไล่ตามปีศาจที่พรากอัญมณีหรือหลบเล่ห์เหลี่ยมของลักกะเพศ ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยทีมหลบหนีและโจมตีฉับพลัน ไพฑูรย์ไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังที่รวดเร็วราวสายฟ้า เธอมีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญความเหนื่อยล้าจากความเร็วแต่พลีชีพชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลัง แต่สุดท้ายฟื้นคืนด้วยความปรับตัว ปริญากรเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความคล่องแคล่วและท่าทางว่องไวมาผสมกับการแสดงที่ฉลาด ทำให้ไพฑูรย์ดูมีมิติทั้งด้านว่องไว ดราม่า และการวางแผน เธอต้องฝึกวิ่งและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ ไพฑูรย์ยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความเร็วจะนำไปสู่ชัยชนะหากควบคุมได้ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับไพฑูรย์คือไพฑูรย์สายฟ้า
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีสีน้ำเงินที่เคลื่อนไหวเร็วราวสายฟ้าในการต่อสู้ ทำให้กลายเป็นร่างที่แฟนๆเรียกว่าสายฟ้าเคลื่อนไหว ไพฑูรย์สายฟ้าสะท้อนถึงความว่องไวและการปรับตัวที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังไล่ตามศัตรูด้วยลมพายุหมุนที่รวดเร็ว ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในฉากไล่ล่า เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่ช้าแต่ร้ายกาจ เธอต้องใช้ความเร็วเพื่อหลบและโจมตี ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ปริญากรนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่คล่องแคล่วแต่มีเสน่ห์ ทำให้ไพฑูรย์ดูเป็นร่างที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากไพฑูรย์คือความเร็วต้องมาพร้อมการควบคุม
ข้อคิดนี้สอนว่าความว่องไวและคล่องแคล่วจะนำไปสู่ชัยชนะหากควบคุมได้ไม่ให้มั่นใจเกินไป ไพฑูรย์ในฐานะร่างว่องไวต้องใช้ความเร็วไล่ตามอัญมณีแต่เสี่ยงพลาดเพราะดื้อ ทำให้เธอเข้าใจว่าความเร็วไม่ใช่ทุกอย่างแต่ต้องวางแผน เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการไล่ล่าแต่การควบคุมจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอเร็วแต่พลีชีพเพื่อทีม ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าปล่อยให้ความเร็วครอบงำเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ปริญากรเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากมั่นใจไปสู่ปรับตัว ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ภัทราภรณ์ เมาลี รับบท มณีแดง

ร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของมณีแดงอัญมณีสีแดงเพลิงที่สื่อถึงความฉลาด ความเฉลียวฉลาด และพลังแห่งการวางแผน มณีแดงปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีมณีแดงถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นหญิงสาวที่เก่งการต่อสู้แบบสมองเพชร ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีแดงในการสร้างภาพลวงตาที่ซับซ้อน วางแผนโจมตีล่วงหน้า และแก้ปริศนาเวทมนตร์ มณีแดงมีบุคลิกฉลาดหลักแหลม พูดจาเปรี้ยวปากแต่คำพูดคมคาย ชอบวิเคราะห์สถานการณ์ก่อนลงมือ แต่บางครั้งมั่นใจเกินจนเสี่ยงพลาด เธอเติบโตจากชีวิตในหอสมุดโบราณที่สอนให้เธออ่านหนังสือเวท ทำให้มีความเข้าใจในเล่ห์เหลี่ยมและการหลอกลวง มณีแดงเป็นผู้วางแผนทีม โดยใช้ความเฉลียวฉลาดเป็นอาวุธหลัก ร่วมกับขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี
ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ในฐานะร่างฉลาด เธอต้องเจอภารกิจทดสอบสมอง เช่น แก้ปริศนาจากอสูรกลางหนองน้ำหรือหลอกล่อลักกะเพศให้พลาดแผน ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการพลิกเกม มณีแดงไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังสมองที่เผาไหม้ศัตรู เธอมีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญความผิดพลาดจากแผนที่ซับซ้อนเกินแต่พลีชีพชั่วคราวเพื่อส่งต่อพลัง แต่สุดท้ายฟื้นคืนด้วยความฉลาดที่ปรับปรุง ภัทราภรณ์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความเฉลียวฉลาดและท่าทางมั่นใจมาผสมกับการแสดงที่เปรี้ยวปาก ทำให้มณีแดงดูมีมิติทั้งด้านฉลาด ดราม่า และการวางแผน เธอต้องฝึกแก้ปริศนาและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ มณีแดงยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความฉลาดจะเอาชนะพลังดิบ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับมณีแดงคือมณีแดงสมองเพชร
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีสีแดงที่ใช้สมองวางแผนและแก้ปริศนา ทำให้กลายเป็นร่างที่แฟนๆเรียกว่าสมองของทีม มณีแดงสมองเพชรสะท้อนถึงความเฉลียวฉลาดและการวิเคราะห์ที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังพลิกเกมด้วยภาพลวงตาที่ซับซ้อน ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในฉากแก้ปัญหา เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่ใช้เล่ห์ลวง เธอต้องใช้สมองเพื่อหลอกและโจมตี ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ภัทราภรณ์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่มั่นใจแต่มีเสน่ห์ ทำให้มณีแดงดูเป็นร่างที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากมณีแดงคือความฉลาดนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน
ข้อคิดนี้สอนว่าการใช้สมองวางแผนและวิเคราะห์จะช่วยเอาชนะศัตรูที่แข็งแกร่งกว่าด้วยเล่ห์เหลี่ยม มณีแดงในฐานะร่างฉลาดต้องแก้ปริศนาเวทเพื่อปกป้องทีม ทำให้เธอเข้าใจว่าความฉลาดไม่ใช่แค่รู้แต่ต้องปรับใช้ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยปริศนาแต่สมองจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอมั่นใจแต่พลีชีพเพื่อแผนใหญ่ ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าปล่อยให้ความฉลาดหยุดนิ่งเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ภัทราภรณ์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากมั่นใจไปสู่ปรับปรุง ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ เรด วรนิษฐา รับบท โกเมน

ร่างหนึ่งของอัญมณีเก้าเม็ดที่รวมอยู่ในแหวนวิเศษของนพเก้า เธอเป็นตัวแทนของโกเมนอัญมณีสีทับทิมแดงเพลิงที่สื่อถึงความดุร้าย ความกล้าหาญ และพลังแห่งการต่อสู้ที่รุนแรง โกเมนปรากฏตัวในช่วงกลางเรื่อง เมื่ออัญมณีโกเมนถูกปลุกให้ตื่นขึ้น ทำให้เธอต้องเผชิญกับศัตรูจากสุริยะเทพตกสวรรค์และโยคีดำจอมเวทมืด เธอเป็นหญิงสาวที่เก่งการต่อสู้แบบดุเดือด ใช้พลังวิเศษจากอัญมณีสีแดงเพลิงในการสร้างลูกไฟรุนแรง โจมตีด้วยกรงเล็บเพลิง และปกป้องทีมด้วยกำแพงไฟที่แผดเผา โกเมนมีบุคลิกดุร้าย เท่ห์ ไม่ยอมแพ้ ชอบเผชิญหน้าโดยตรง แต่ลึกๆแล้วเปราะบางเพราะปมจากอดีตที่ถูกทรยศ ทำให้เธอใช้ความดุร้ายปกป้องตัวเอง ชอบต่อสู้คนเดียวเพื่อไม่ให้ใครเดือดร้อน เธอเติบโตจากชีวิตในถ้ำภูเขาไฟที่สอนให้เธอเผชิญความร้อนรุ่ม ทำให้มีความเข้าใจในความโกรธและการระเบิดอารมณ์ โกเมนเป็นผู้บุกเบิกทีม โดยใช้ความดุร้ายเป็นอาวุธหลัก ร่วมกับขันแก้วและศรีวิชัยในการเดินทางตามหาอัญมณี ท่ามกลางกองทัพปีศาจโครงกระดูกบุกทำลายแคว้นต่างๆ ในฐานะร่างดุร้าย
เธอต้องเจอภารกิจทดสอบความกล้า เช่น ต่อกรกับกองทัพปีศาจคนเดียวหรือเผชิญเล่ห์เหลี่ยมของโยคีดำ ทำให้เธอกลายเป็นกุญแจสำคัญในการปกป้องทีมจากภัยรุนแรง โกเมนไม่ใช่แค่สาวสวยแต่เป็นสัญลักษณ์ของพลังเพลิงที่เผาไหม้ศัตรู เธอมีฉากดราม่าที่ต้องพลีชีพเพื่อปกป้องอัญมณี สร้างน้ำตาแตกให้คนดู แต่สุดท้ายพลังของเธอส่งต่อให้ร่างอื่น เรด วรนิษฐาเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำความดุร้ายและเสน่ห์มาผสมกับการแสดงที่เศร้าลึก ทำให้โกเมนดูมีมิติทั้งด้านต่อสู้ ดราม่า และเปราะบาง เธอต้องฝึกต่อสู้โหดและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากออกมาอลังการ โกเมนยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความดุร้ายจะนำไปสู่การเสียสละ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆเอาใจช่วยและร้องไห้ด้วยตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับโกเมนคือโกเมนไฟเยอร์
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นร่างอัญมณีสีทับทิมแดงเพลิงที่ใช้พลังไฟดุร้ายในการต่อสู้ ทำให้กลายเป็นร่างที่แฟนๆเรียกว่าไฟเผาไหม้ โกเมนไฟเยอร์สะท้อนถึงความกล้าหาญและการระเบิดพลังที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังปกป้องทีมด้วยลูกไฟที่รุนแรงและกรงเล็บเพลิง ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในฉากต่อสู้ดุเดือด เจอศึกหนักจากสุริยะและโยคีดำที่ใช้ความมืดโจมตี เธอต้องใช้ไฟเพื่อเผาไหม้และพลีชีพ ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น เรด วรนิษฐานำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่ดุร้ายแต่มีเสน่ห์ ทำให้โกเมนดูเป็นร่างที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากโกเมนคือความดุร้ายนำไปสู่การเสียสละที่ยิ่งใหญ่
ข้อคิดนี้สอนว่าพลังดุร้ายที่ใช้ปกป้องจะนำไปสู่การพลีชีพที่สร้างชัยชนะให้คนอื่น โกเมนในฐานะร่างดุร้ายต้องต่อสู้คนเดียวเพื่อทีม ทำให้เธอเข้าใจว่าความดุร้ายไม่ใช่จุดจบแต่เป็นจุดเริ่มต้นการเสียสละ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยการทรยศแต่การพลีชีพจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธอดุร้ายแต่พลีชีพเพื่ออัญมณี ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่ากลัวความดุร้ายเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน เรด วรนิษฐาเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากดุร้ายไปสู่เปราะบาง ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ สุธี ศิริเจริญ รับบท กษัตริย์ท้าวตรีเมศ

ราชาแห่งนครไตรตรึงในสมัยโบราณ บรรพบุรุษผู้ก่อตั้งราชวงศ์และผู้ผนึกปีศาจโบราณครั้งแรก เขาเป็นตัวแทนของความยุติธรรม ความกล้าหาญ และมรดกแห่งธรรมะที่สืบทอดมาถึงขันแก้วและนพเก้า กษัตริย์ท้าวตรีเมศปรากฏตัวผ่านฉากย้อนอดีตและคำทำนายจากโหรทิพจักร ทำให้เรื่องราวเชื่อมโยงกับตำนานวัดเกาะ เขาเป็นราชาที่ปกครองด้วยกฎเกณฑ์เคร่งครัดแต่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตา ชอบปรึกษานักปราชญ์และนางฟ้าผู้พิทักษ์ในการตัดสินใจสำคัญ กษัตริย์ท้าวตรีเมศต้องเผชิญภัยร้ายจากสุริยะเทพตกสวรรค์ในสมัยนั้นที่พยายามแย่งขันวิเศษ โดยร่วมมือกับโยคีดำรุ่นแรกในการเรียกกองทัพปีศาจบุกนคร เขาใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์และเวทมนตร์บรรพบุรุษในการต่อสู้ สร้างกำแพงธรรมะเพื่อผนึกปีศาจชั่วคราว
กษัตริย์ท้าวตรีเมศมีบุคลิกสง่างาม หน้าตาคมเข้ม เสียงทุ้มหนักแน่น ชอบสอนโอรสธิดาเรื่องการเสียสละและมิตรภาพ แต่ลึกๆแล้วแบกรับความทุกข์จากคำสาปที่ทำให้ราชวงศ์ต้องพรากฝาแฝดในทุกชั่วอายุคน เขามีพัฒนาการจากราชายุติธรรมที่เข้มงวดไปสู่ผู้เสียสละที่ยอมพลีชีพชั่วคราวเพื่อผนึกมรดกมืดไว้ในขันแก้วและแหวนนพเก้า กษัตริย์ท้าวตรีเมศไม่ใช่แค่ตัวประกอบย้อนอดีตแต่เป็นสัญลักษณ์ของรากฐานธรรมะที่ทำให้เรื่องมีน้ำหนัก มีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญการทรยศจากองครักษ์แต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งความยุติธรรม สุธี ศิริเจริญเล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำประสบการณ์และท่าทางราชาเปี่ยมศักดิ์ศรีมาผสมกับการแสดงที่ลึกซึ้ง ทำให้กษัตริย์ท้าวตรีเมศดูมีมิติทั้งด้านกล้าหาญ ดราม่า และเมตตา เขาต้องฝึกท่าทางราชสำนักและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากย้อนอดีตออกมาอลังการ กษัตริย์ท้าวตรีเมศยังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่ามรดกบรรพบุรุษจะนำทางชะตากรรม ทำให้เขาเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งเคารพและซาบซึ้งตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับกษัตริย์ท้าวตรีเมศคือท้าวตรีเมศราชาแห่งธรรมะ
ฉายานี้มาจากบทบาทของเขาที่เป็นราชาโบราณผู้ปกครองด้วยยุติธรรมและเมตตาในการผนึกปีศาจ ทำให้กลายเป็นราชาที่แฟนๆเคารพเพราะมรดกธรรมะที่สืบทอด ท้าวตรีเมศราชาแห่งธรรมะสะท้อนถึงความกล้าหาญและการเสียสละที่เขาซ่อนไว้ เขาไม่ใช่แค่ต่อสู้แต่ยังสอนโอรสเรื่องมิตรภาพและการให้อภัย ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเขาปรากฏตัวในฉากย้อนอดีตที่เข้มข้น เจอภัยจากสุริยะและโยคีดำรุ่นแรกที่บุกนคร เขาต้องใช้ดาบศักดิ์สิทธิ์และเวทธรรมะเพื่อปกป้อง ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น สุธี ศิริเจริญนำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่สง่างามแต่มีเสน่ห์ ทำให้กษัตริย์ท้าวตรีเมศดูเป็นราชาที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากกษัตริย์ท้าวตรีเมศคือมรดกธรรมะนำทางชะตากรรม
ข้อคิดนี้สอนว่าการปกครองและเสียสละด้วยยุติธรรมจะสร้างมรดกที่นำทางลูกหลานผ่านภัยร้าย กษัตริย์ท้าวตรีเมศในฐานะบรรพบุรุษต้องผนึกปีศาจเพื่อราชวงศ์ ทำให้เขาเข้าใจว่าธรรมะไม่ใช่แค่กฎแต่เป็นการกระทำ เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยคำสาปและทรยศแต่การให้อภัยจะทำให้เติบโต ในเรื่องเขายุติธรรมแต่พลีชีพเพื่อมรดก ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าละทิ้งธรรมะเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน สุธี ศิริเจริญเล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากเข้มงวดไปสู่เมตตา ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
→ ทัศนีย์ สีดาสมุทร์ รับบท พระมเหสีจันทร

พระมเหสีแห่งนครโกไสยในสมัยโบราณ ภรรยาของกษัตริย์ท้าวตรีเมศและบรรพบุรุษผู้ช่วยผนึกปีศาจโบราณครั้งแรก เธอเป็นตัวแทนของความเมตตา ความฉลาด และมรดกแห่งความรักที่สืบทอดมาถึงนพเก้าและขันแก้ว พระมเหสีจันทรปรากฏตัวผ่านฉากย้อนอดีตและคำทำนายจากโหรทิพจักร ทำให้เรื่องราวเชื่อมโยงกับตำนานวัดเกาะที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เธอเป็นราชินีที่ปกครองด้วยหัวใจเมตตา ชอบปรึกษาสามีและนางฟ้าผู้พิทักษ์ในการตัดสินใจสำคัญ โดยใช้เวทมนตร์แสงจันทร์ในการรักษาและปกป้องราษฎร พระมเหสีจันทรต้องเผชิญภัยร้ายจากสุริยะเทพตกสวรรค์ในสมัยนั้นที่พยายามแย่งขันวิเศษ โดยร่วมมือกับโยคีดำรุ่นแรกในการเรียกกองทัพปีศาจบุกนครโกไสย เธอใช้พลังแสงจันทร์ในการสร้างโล่ป้องกันที่อ่อนโยนแต่แข็งแกร่ง สร้างภาพลวงตาจันทราเพื่อหลอกศัตรู และเยียวยาบาดแผลของทหาร
พระมเหสีจันทรมีบุคลิกสง่างาม หน้าตาสวยหวานแบบคลาสสิก เสียงนุ่มนวล ชอบสอนธิดาว่าเมตตาคืออาวุธที่ทรงพลังที่สุด แต่ลึกๆแล้วแบกรับความทุกข์จากคำสาปที่ทำให้ราชวงศ์ต้องเผชิญการพรากฝาแฝดในทุกชั่วอายุคน เธอมีพัฒนาการจากพระมเหสีที่อ่อนโยนไปสู่ผู้กล้าหาญที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อช่วยสามีผนึกมรดกมืดไว้ในขันแก้วและแหวนนพเก้า พระมเหสีจันทรไม่ใช่แค่ตัวประกอบย้อนอดีตแต่เป็นสัญลักษณ์ของความรักที่เมตตาและฉลาดหลักแหลม มีฉากดราม่าที่ต้องเผชิญการทรยศจากนางกำนัลแต่ฟื้นคืนด้วยพลังแห่งความเมตตา ทัศนีย์ สีดาสมุทร์เล่นบทนี้ได้ดีมาก โดยนำประสบการณ์จากบทมเหสียุคเก่าและเสน่ห์คลาสสิกมาผสมกับการแสดงที่ลึกซึ้ง ทำให้พระมเหสีจันทรดูมีมิติทั้งด้านเมตตา ดราม่า และเวทมนตร์ เธอต้องฝึกท่าทางราชินีและใช้เอฟเฟกต์พิเศษเพื่อให้ฉากย้อนอดีตออกมาอลังการ พระมเหสีจันทรายังสื่อถึงธีมเรื่องที่ว่าความเมตตาจะนำทางมรดก ทำให้เธอเป็นตัวละครที่แฟนๆทั้งเคารพและซาบซึ้งตลอดเรื่อง
ฉายาที่เหมาะกับพระมเหสีจันทรคือพระมเหสีแสงจันทร์
ฉายานี้มาจากบทบาทของเธอที่เป็นราชินีโบราณผู้ใช้เวทแสงจันทร์ในการปกป้องและเยียวยา ทำให้กลายเป็นราชินีที่แฟนๆเรียกว่าแสงสว่างในยามมืดมิด พระมเหสีแสงจันทร์สะท้อนถึงความเมตตาและความฉลาดที่เธอแบกรับ เธอไม่ใช่แค่ปกครองแต่ยังสร้างโล่แสงจันทร์เพื่อหลอกศัตรูและรักษาราษฎร ฉายานี้แฟนๆตั้งให้เพราะเธอปรากฏตัวในฉากย้อนอดีตที่เข้มข้น เจอภัยจากสุริยะและโยคีดำรุ่นแรกที่บุกนครโกไสย เธอต้องใช้พลังแสงจันทร์เพื่อช่วยสามีและผนึกมรดกมืด ทำให้ฉายานี้ยิ่งเด่น ทัศนีย์ สีดาสมุทร์นำเสนอฉายานี้ผ่านการแสดงที่อ่อนโยนแต่มีเสน่ห์ ทำให้พระมเหสีจันทรดูเป็นราชินีที่ทรงพลังและน่าจดจำในละครพื้นบ้านเรื่องนี้
ข้อคิดจากพระมเหสีจันทรคือความเมตตานำทางมรดก
ข้อคิดนี้สอนว่าการปกครองและเสียสละด้วยหัวใจเมตตาจะสร้างมรดกที่นำทางลูกหลานผ่านภัยร้าย พระมเหสีจันทรในฐานะราชินีต้องใช้แสงจันทร์เยียวยาเพื่อราชวงศ์ ทำให้เธอเข้าใจว่าเมตตาไม่ใช่ความอ่อนแอแต่เป็นพลัง เขาสอนว่าชีวิตเต็มไปด้วยคำสาปและทรยศแต่ความเมตตาจะทำให้เติบโต ในเรื่องเธออ่อนโยนแต่เสี่ยงชีวิตเพื่อมรดก ทำให้ข้อคิดนี้ชัดเจนว่าอย่าละทิ้งเมตตาเพราะมันนำไปสู่ชัยชนะที่ยั่งยืน ทัศนีย์ สีดาสมุทร์เล่นบทนี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงจากอ่อนโยนไปสู่กล้าหาญ ทำให้ข้อคิดนี้ซึมซับเข้าไปในใจผู้ชม เหมาะกับละครพื้นบ้านที่สอนธรรมะผ่านเรื่องราวแฟนตาซี
หลังจากตำนานฝาแฝดขันแก้วและนพเก้าปิดฉากลงอย่างงดงามในภาคแรก ด้วยชัยชนะเหนือความมืดมิดและการรวมตัวของอัญมณีทั้งเก้าเม็ดที่นำสันติสุขคืนสู่นครไตรตรึง ผู้ชมหลายคนต่างถอนหายใจด้วยความประทับใจ แต่ในใจลึกๆ ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าถ้าตำนานนี้ไม่จบแค่นั้นล่ะ ถ้าความสงบสุขที่เพิ่งฟื้นคืนกลับถูกคุกคามอีกครั้งจากมรดกที่ซ่อนเร้นของอัญมณี ถ้ามีภาค 2 จะเป็นยังไง
หลังจากชัยชนะเหนือสุริยะและโยคีดำ ขันแก้ว (ภูธนิน สินสมใจ) และนพเก้า (ปภาดา ประกอบเสียง) กลับสู่ชีวิตอันสงบสุขในนครไตรตรึง พวกเขาแต่งงานกันอย่างยิ่งใหญ่ ท่ามกลางการเฉลิมฉลองของแว่นแคว้นทั้งปวง อสูรวาริน (มิตร มิตรชัย) ยังคงเป็นคู่หูขี้บ่นแต่ภักดี ขณะที่ศรีวิชัย (คมกริช เอกรัตน์) และตุ๊กกะตุ่น (ปิ่นปินัทธ์ นิธิศกุลไพศาล) กลายเป็นองครักษ์และเพื่อนสนิทในราชสำนัก อย่างไรก็ตาม ความสุขนั้นสั้นนาน เมื่อนพเก้ากำเนิดโอรสธิดาฝาแฝดอีกคู่หนึ่ง ชื่อ “รัตนะ” และ “วิศวะ” ท่ามกลางลางร้ายจากโหรทิพจักรที่ทำนายว่า “มรดกแห่งนพเก้าจะปลุกปีศาจโบราณจากดินแดนต้องห้าม ถ้าอัญมณีเก้าไม่ถูกชำระให้บริสุทธิ์ภายในจันทรคติหกเดือน อาณาจักรจะจมสู่ความมืดนิรันดร์”
คำทำนายนี้จุดชนวนภัยใหม่ อัญมณีเก้าที่เคยรวมพลังเพื่อชัยชนะ กลับเริ่มแตกร้าวจากพลังมืดที่หลงเหลือจากสุริยะ ทำให้แต่ละเม็ดปลุก “เงาแห่งอัญมณี” ปีศาจคล้ายร่างเก่าแต่บิดเบี้ยว เช่น เงาเพชรรัตน์ที่กลายเป็นนักดาบเลือดเย็น หรือเงาโกเมนที่เผาไหม้ทุกสิ่งโดยไม่เลือกหน้า พวกมันรวมตัวภายใต้การนำของ “ราชปีศาจนภพ” ปีศาจโบราณที่เคยถูกผนึกโดยบรรพบุรุษของนครไตรตรึง และต้องการใช้มรดกนพเก้าเพื่อหลุดพ้น ขันแก้วและนพเก้าต้องออกเดินทางสู่ “ดินแดนต้องห้าม” – อาณาจักรลึกลับที่ซ่อนอยู่ในหมอกเมฆ ทางเหนือของนครไพบูลย์ ที่นั่นมีวัดเก่าแก่ที่เก็บตำราเวทชำระอัญมณี แต่การเดินทางเต็มไปด้วยอุปสรรค: สะพานลอยฟ้าที่พังทลายจากพายุเวทมืด ป่าหิมะที่ปกคลุมด้วยเงาแห่งมรกต และทะเลทรายเพลิงที่ปกป้องโดยเงาโกเมน
ระหว่างทาง พวกเขาพบพันธมิตรใหม่ เช่น “ลินดา” (นักแสดงสมมติ) หญิงชราผู้รู้เวทชำระอัญมณีที่เคยเป็นนางฟ้าผู้พิทักษ์ในสมัยบรรพบุรุษ และ “ธันวา” (นักแสดงสมมติ) นักรบหนุ่มจากแคว้นชายแดนที่สูญเสียครอบครัวจากปีศาจเงา ตัวละครเก่ากลับมาร่วมด้วย: อสูรวารินที่ต้องเผชิญปมคำสาปเก่าที่เริ่มรื้อฟื้น ตุ๊กกะตุ่นที่กลายเป็นพ่อค้าขี้โกงแต่ช่วยหาข่าวสาร และศรีวิชัยที่ต้องเลือกระหว่างหน้าที่ปกป้องราชินีกับความรักที่ยังค้างคา ดราม่าครอบครัวเข้มข้นเมื่อรัตนะและวิศวะเริ่มแสดงพลังอัญมณีโดยไม่ตั้งใจ ทำให้พ่อแม่ต้องเผชิญคำถาม: จะพรากลูกอีกครั้งหรือเสี่ยงชะตา? การต่อสู้จุดไคลแม็กซ์เกิดขึ้นที่วัดต้องห้าม ที่ซึ่งราชปีศาจนภพฟื้นคืนโดยใช้เงาอัญมณีทั้งเก้า ขันแก้วต้องใช้ขันวิเศษชำระเงาแต่ละตัว โดยนพเก้าต้องแปลงร่างรวมพลังเพื่อเผชิญตัวเองในร่างมืด สุดท้าย ชัยชนะมาจากการให้อภัยและชำระมรดก ทำให้อัญมณีบริสุทธิ์และลูกๆปลอดภัย แต่ราคาคือการสูญเสียชั่วคราวของพลังขันแก้ว ชวนให้คิดถึงภาคต่อไป

