ห่าก้อม The darkness of the soul 2568 “ท่ามกลางกลิ่นธูปคละคลุ้งในงานศพและสายลมหนาวที่พัดผ่านทุ่งกุลาฯ ความตายที่ควรจะเป็นจุดจบ กลับเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของฝันร้าย…” เมื่อ ‘แบงค์’ เดินทางกลับสู่บ้านเกิดที่ถูกปกคลุมด้วยม่านแห่งความหวาดกลัว เสียงซุบซิบถึง ‘ยายพร’ หญิงชราผู้ถูกตราหน้าว่าเป็นปอบกระหึ่มไปทั่วหมู่บ้าน ทว่าความจริงที่ซ่อนอยู่ใต้เงาดำนั้นสยองยิ่งกว่า เพราะเมื่อกิเลสหนาของมนุษย์หลอมรวมกับอาถรรพ์ จนกำเนิดเป็น ‘ห่าก้อม’ พญาปอบผู้ไร้ความปราณี มวลมนุษย์จะรับมืออย่างไรกับปีศาจที่เกิดจากเงามืดในใจของตนเอง?

ห่าก้อม The darkness of the soul 2568 ในโลกที่ความเชื่อเรื่องผีปอบยังคงฝังรากลึกในวัฒนธรรมอีสาน ซีรีส์เรื่อง “ห่าก้อม The Darkness of the Soul” นำเสนอเรื่องราวที่ผสมผสานความสยองขวัญเข้ากับดราม่าชีวิตจริงได้อย่างลงตัว มันไม่ใช่แค่เรื่องผีหลอก แต่เป็นการสำรวจจิตใจมนุษย์ที่เต็มไปด้วยกิเลสและความอยาก ซึ่งอาจกลายเป็นปีศาจร้ายยิ่งกว่าผีจริงๆ เสียอีก เรื่องเริ่มต้นจาก “แบงค์”  หนุ่มนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบและทำงานในกรุงเทพฯ เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และความเจริญ แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อได้รับข่าวร้ายว่าเพื่อนสนิทสมัยเด็กเสียชีวิตอย่างปริศนาที่บ้านเกิดในภาคอีสาน แบงค์รีบขับรถกลับหมู่บ้านทันที โดยเชื่อสนิทใจว่าการตายนี้ต้องเกี่ยวข้องกับ “ผีปอบ” ตำนานผีร้ายที่ชาวบ้านเล่าขานกันมานาน ผีปอบตัวนี้ไม่ใช่ผีธรรมดา แต่คือ “ห่าก้อม” พญาผีปอบที่สิงร่างมนุษย์ กัดกินของสด และทำให้คนกลายเป็นปีศาจตามมันไป

ผู้ต้องสงสัยหลักคือ “ยายพร”  หญิงชราที่ดูอ่อนแอ อาศัยอยู่ในกระต๊อบโกโรโกโสท้ายหมู่บ้านกับสามี “ตาเทียม” (ยายพรถูกชาวบ้านกล่าวหาว่าเป็นปอบมานานหลายปี เพราะมีเหตุการณ์แปลกๆ เกิดขึ้นรอบตัวเธอ เช่น ชาวบ้านตายอย่างลึกลับ หรือสัตว์เลี้ยงหายไป แต่ยายพรเองก็ดูเหมือนเหยื่อมากกว่า เพราะเธอถูกชาวบ้านรังแก ทำร้าย และโดดเดี่ยว เพียงเพราะข่าวลือไม่มีมูล แบงค์ซึ่งสูญเสียเพื่อนไป จึงเริ่มสืบหาความจริง โดยรวบรวมแก๊งเพื่อนเก่าอย่าง “กาย” “วิเชียร”  และ “เล็ก”  เพื่อตามล่าปอบ

ตลอดเรื่อง แบงค์ต้องเผชิญกับความขัดแย้งระหว่างความเชื่อเก่าและใหม่ ชาวบ้านบางคนยึดติดกับไสยศาสตร์ จนกลายเป็นการล่าแม่มดสมัยใหม่ ที่สะท้อนปัญหาสังคมอย่างการกลั่นแกล้งคนอ่อนแอ ความทุจริต และคอร์รัปชันในชุมชนเล็กๆ ซีรีส์ค่อยๆ เผยชั้นเชิงว่า ผีปอบที่แท้จริงอาจไม่ใช่ยายพร แต่เป็นกิเลสในใจมนุษย์ที่ทำให้คนทำชั่วโดยไม่ละอาย มีฉากสยองขวัญที่เล่นกับจิตวิทยา เช่น เสียงแปลกๆ ในคืนมืด หรือภาพหลอนที่ทำให้คนดูขนลุก แต่ก็แทรกดราม่าครอบครัว เช่น ความห่วงใยจากแม่ของแบงค์ ที่พยายามดึงลูกกลับจากความคลั่งไคล้

สารบัญละคร

“ห่าก้อม The Darkness of the Soul” เป็นภาพยนตร์ที่ทำให้คนดูต้องทบทวนตัวเอง ว่าปีศาจที่แท้จริงอยู่ที่ไหน ระหว่างตำนานผีปอบหรือจิตใจมนุษย์เอง หากใครชอบเรื่องสยองที่ลึกซึ้งกว่าน่ากลัวผิวเผิน เรื่องนี้ตอบโจทย์แน่นอน

 มันเริ่มจากเรื่องผีปอบสิงยายพร แต่ค่อยๆ เผยว่าปีศาจจริงๆ คือกิเลสและคอร์รัปชันในสังคม ชาวบ้านล่าแม่มดแบบสมัยใหม่ สะท้อนปัญหาจริงอย่างการกลั่นแกล้งคนจนหรือทุจริตในชุมชน นักแสดงเล่นดีสุดๆ โดยเฉพาะจิ๋ม-กุณกนิช ที่รับบทยายพรได้น่าสงสารและลึกลับ ยะสะกะ ไชยสร เป็นตาเทียมก็ถ่ายทอดชีวิตชาวบ้านอีสานได้สมจริง ม่อน-วรวิทย์ เป็นแบงค์ก็โอเค แต่บางฉากยังแข็งไปนิด เปิ้ล-ชไมพร เป็นแม่ก็เพิ่มดราม่าครอบครัวได้ดี เหมือนดู “ฟ้ามีตา” เวอร์ชันผี

ด้านโปรดักชัน ภาพสวย มืดหม่น บรรยากาศอีสานแท้ๆ เสียงประกอบขนลุกดี เนื้อเรื่องไหลลื่น ไม่ยืดเยื้อ แต่ตอนท้ายหักมุมแรงไปหน่อย อาจทำให้บางคนงง การวิพากษ์สังคมเจ็บแสบดี จิกกัดคอร์รัปชันได้ถึงพริกถึงขิง แต่ไม่หนักเกินจนน่าเบื่อ

ความตื่นเต้นผสมกลัว เมื่อเรื่องเปิดด้วยการตายปริศนาและตำนานห่าก้อม บรรยากาศมืดหม่นของหมู่บ้านอีสานทำให้รู้สึกเหมือนถูกดึงเข้าไปในโลกนั้น ฉากหลอนเล่นกับจิตวิทยา สร้างความตึงเครียดที่ค่อยๆ สะสม จนบางครั้งรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง แต่เมื่อเรื่องดำเนิน ความรู้สึกเปลี่ยนเป็นความสงสารและโกรธ เมื่อเห็นยายพรถูกกลั่นแกล้ง มันทำให้เกิดคำถามว่าปีศาจจริงๆ คือใคร ระหว่างผีปอบหรือชาวบ้านที่เต็มไปด้วยกิเลส

ช่วงกลางเรื่อง ความรู้สึกกลายเป็นความอยากรู้อยากเห็น เมื่อหักมุมเผยความทุจริตและคอร์รัปชัน มันสร้างความรู้สึกเจ็บปวด เพราะสะท้อนปัญหาสังคมจริงๆ ทำให้รู้สึกไม่สบายใจแต่ก็คิดตามได้ลึกซึ้ง ฉากดราม่าครอบครัวเพิ่มความรู้สึกอบอุ่นผสมเศร้า โดยเฉพาะความห่วงใยจากแม่ที่ทำให้รู้สึกซาบซึ้ง

การผสมผสานระหว่างสยองและสะท้อนใจ ที่ทำให้เรื่องนี้กลายเป็นประสบการณ์ที่น่าจดจำและกระตุ้นความคิด


ห่าก้อม The darkness of the soul 2568

ห่าก้อม The darkness of the soul 2568

ห่าก้อม The darkness of the soul 2568majorcineplex

ซีน ห่าก้อม The darkness of the soul 2568

[ Official Trailer ] ภาพยนตร์ ห่าก้อม (The darkness of the soul) 19 มิถุนายนนี้ ในโรงภาพยนตร์

ห่าก้อม The darkness of the soul 2568

เรื่องราวเกิดขึ้นในหมู่บ้านเล็กๆ ทางภาคอีสาน ที่ยังมีความเชื่อเรื่องผีปอบฝังรากลึก ตัวเอกของเราคือ “แบงค์” (รับบทโดยม่อน-วรวิทย์ จันทะเสน) หนุ่มหล่อจากกรุงเทพฯ ที่เพิ่งเรียนจบมหาลัยดัง แล้วได้งานในบริษัทใหญ่ แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อได้รับข่าวร้ายว่าเพื่อนสนิทชื่อ “เล็ก” (รับบทโดยกะล่อน-รักษ์อิสรภาพ ศรีวรสาร) เสียชีวิตแบบปริศนา หัวใจวายเฉียบพลันในกระท่อมขอบนา แถมภรรยาของเล็กชื่อ “เมย์” ยังหายตัวไปอีก แบงค์เลยรีบขับรถกลับบ้านเกิดทันที เพื่อมาร่วมงานศพ แล้วก็ตั้งใจสืบหาความจริงเพราะเขาเชื่อสนิทใจว่าเพื่อนถูก “ผีปอบ” เล่นงานแน่ๆ และผู้ต้องสงสัยหลักคือ “ยายพร” (รับบทโดยจิ๋ม-กุณกนิช คุ้มครอง) หญิงชราที่ดูอ่อนแอ ป่วยกระเสาะกระแสะ เดินยังแทบไม่ไหว อาศัยในเพิงเหล็กเก่าๆ ข้างถนนกับสามี “ตาเทียม” (รับบทโดยยะสะกะ ไชยสร) ที่รับจ้างก่อสร้างให้ อบต. ชาวบ้านรังเกียจยายพรสุดๆ เพราะข่าวลือว่าเธอเป็นปอบ สิงร่างคน กัดกินของสดแบบเลือดสดๆ แต่ไม่มีหลักฐานอะไรเลยอะ แค่ชาวบ้านชอบทำร้ายเธอ โยนขวดใส่บ้านแค่นั้น

พอแบงค์กลับมา เขาพบแม่ของตัวเอง (รับบทโดยเปิ้ล-ชไมพร สิทธิวรนันท์) นั่งรออยู่ แต่แบงค์ไม่พอใจเพราะแม่มีแฟนใหม่ชื่อ “ลุงวิทยา” ที่ชอบดื่มเหล้า แล้วยังไม่หย่ากับเมียเก่าด้วย แบงค์เลยสงสัยลุงวิทยาตั้งแต่แรก ในงานศพ เพื่อนเก่าอย่าง “วิเชียร” (รับบทโดยล็อตโต้-จิรวัฒน์ พุทธรรมา) และ “กาย” (รับบทโดยก้อง-พันธกานต์ ทาสีแสง) ก็มาร่วม แล้วพวกเขาก็พูดถึงการเมืองท้องถิ่น เพราะวิเชียรเป็นนายก อบต. ที่กำลังลงสมัครเลือกตั้งใหม่ ชาวบ้านตะโกนไล่ยายพรออกจากงานศพเพราะเชื่อว่าเธอกินไส้คนตาย

นักแสดงนำ

→ จิ๋ม-กุณกนิช คุ้มครอง รับบท ปอบยายพร

mbop6lt2i8LDhzD9MdT o
จิ๋ม-กุณกนิช คุ้มครอง

หญิงชราที่ดูอ่อนแอ ถูกสังคมรังแกอย่างไม่เป็นธรรม เธออาศัยอยู่ในกระท่อมผุพังท้ายหมู่บ้านกับสามีตาเทียม ดำเนินชีวิตอย่างแร้นแค้นด้วยการเก็บขยะขาย เดินโซเซไปมาเพราะสุขภาพไม่ดี แต่ชาวบ้านกลับกล่าวหาว่าเธอเป็นผีปอบ สิงร่างคนและกัดกินของสดโดยไม่มีหลักฐานชัดเจน เพียงเพราะข่าวลือและความกลัวที่แพร่กระจายในชุมชน ยายพรจึงกลายเป็นเหยื่อของการล่าแม่มดสมัยใหม่ ที่ชาวบ้านโยนหิน ขว้างขวด และขับไล่เธอจากงานศพหรือเหตุการณ์หมู่บ้าน บทบาทนี้แสดงให้เห็นความโดดเดี่ยวและความทุกข์ทรมานจากสังคมที่เต็มไปด้วยอคติ เธอไม่ใช่ตัวร้ายแบบตรงๆ แต่เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ถูกบีบคั้นจนต้องต่อสู้เพื่อความยุติธรรม

ในช่วงต้นเรื่อง ยายพรดูน่าสงสาร ถูกชาวบ้านรุมรังแกโดยไม่มีใครช่วยเหลือยกเว้นสามี แต่เมื่อเรื่องดำเนินไป เธอเผยด้านแข็งแกร่งและแก้แค้น โดยแปลงร่างเป็นปอบเพื่อลงโทษคนทำชั่ว ซึ่งสะท้อนว่าความอยากและกิเลสในจิตใจมนุษย์สามารถเปลี่ยนคนดีให้กลายเป็นปีศาจได้ จิ๋ม-กุณกนิช ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่ละเอียดอ่อน ใช้สายตาและท่าทางแสดงความเจ็บปวดภายใน ทำให้คนดูรู้สึกเห็นอกเห็นใจแต่ก็หวั่นเกรงในเวลาเดียวกัน บทบาทนี้ยังเชื่อมโยงกับธีมหลักของเรื่อง คือความมืดมิดในจิตใจมนุษย์ที่ซ่อนอยู่ใต้ภาพลักษณ์ศิวิไลซ์ ยายพรจึงไม่ใช่แค่ตัวละครรอง แต่เป็นสัญลักษณ์ของคนชายขอบสังคมที่ถูกกดขี่ และสุดท้ายเธอก็พลิกผันกลายเป็นผู้ล้างแค้นที่ทำให้คนดูต้องคิดตามว่าปีศาจตัวจริงคือใคร

ฉายา เหยื่อแห่งสังคมที่ถูกกล่าวหา
ฉายานี้เหมาะกับยายพรเพราะเธอถูกชาวบ้านตราหน้าว่าเป็นปอบโดยไม่มีมูลเหตุ เพียงเพราะรูปลักษณ์อ่อนแอและชีวิตแร้นแค้น ทำให้เธอต้องเผชิญการกลั่นแกล้งอย่างต่อเนื่อง เช่น ถูกขว้างหินหรือไล่ออกจากงานศพ ฉายานี้สะท้อนปัญหาการล่าแม่มดในสังคมไทย ที่ข่าวลือแพร่กระจายผ่านกลุ่มแชทหรือปากต่อปาก จนทำลายชีวิตคนบริสุทธิ์ ยายพรกลายเป็นตัวแทนของคนชายขอบที่ถูกมองข้าม ไม่มีเสียงในสังคม แต่สุดท้ายเธอใช้ความเจ็บปวดนั้นพลิกผันเป็นพลังแก้แค้น ทำให้ฉายานี้ไม่ใช่แค่เหยื่อ แต่ยังมีด้านต่อต้านระบบที่ไม่เป็นธรรม จิ๋ม-กุณกนิช ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่เต็มไปด้วยอารมณ์สะเทือนใจ

ข้อคิด ปีศาจที่แท้จริงอาจซ่อนอยู่ในจิตใจมนุษย์
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทยายพรที่ถูกกล่าวหาเป็นปอบ แต่เรื่องราวเผยว่าความชั่วร้ายเกิดจากกิเลสและอคติของชาวบ้านเอง เช่น การคอร์รัปชันและการกลั่นแกล้งที่ทำให้สังคมเสื่อมโทรม ข้อคิดนี้เตือนว่าหากปล่อยให้ความอยากครอบงำ จิตใจมนุษย์จะกลายเป็นปีศาจร้ายยิ่งกว่าผีในตำนาน ยายพรเป็นตัวอย่างที่ถูกบีบคั้นจนต้องตอบโต้ ทำให้คนดูตระหนักถึงปัญหาสังคมล่าแม่มดสมัยใหม่ ที่ข่าวลือทำลายชีวิตโดยไม่ต้องมีหลักฐาน ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์สังคมไทย ให้เราตรวจสอบตัวเองก่อนตัดสินคนอื่น

→ เปิ้ล-ชไมพร สิทธิวรนันท์ รับบท แม่ของแบงค์

562000007480702
เปิ้ล-ชไมพร สิทธิวรนันท์

หญิงม่ายที่ดูเหมือนแม่ผู้ห่วงใยลูกชายอย่างสุดหัวใจ เธออาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีสาน ชีวิตเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความลับดำมืด ตั้งแต่ต้นเรื่อง แม่ปรากฏตัวในฐานะผู้ให้กำลังใจแบงค์ที่กลับมาจากกรุงเทพเพื่อร่วมงานศพเพื่อน เธอพยายามดึงลูกให้ห่างจากความเชื่อเรื่องผีปอบ และดูแลเขาด้วยความอ่อนโยน เช่น ทำอาหารให้กินหรือเตือนให้ระวังชาวบ้าน แต่เบื้องหลัง เธอคือพญาปอบตัวจริงที่ซ่อนตัวมานานหลายปี แม่ใช้กลอุบายหลอกชาวบ้านให้กล่าวหายายพรว่าเป็นปอบ เพื่อปกปิดอาชญากรรมของตัวเอง เธอเคยกินไส้พ่อของแบงค์ ลุงวิทยาแฟนใหม่ และคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน เพราะกิเลสตัณหาที่ครอบงำจิตใจ ทำให้เธอกลายเป็นปีศาจสิงร่างกัดกินของสด

บทบาทนี้แสดงให้เห็นความขัดแย้งระหว่างภาพลักษณ์แม่ที่อบอุ่นกับด้านมืดที่โหดร้าย เธอไม่ใช่ตัวร้ายแบบชัดเจน แต่เป็นเหยื่อของสังคมที่ถูกบีบคั้นจากความจนและความอยาก จนต้องทำชั่วเพื่อเอาชีวิตรอด เปิ้ล-ชไมพร ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่ละเอียด ใช้สายตาเศร้าสร้อยในช่วงต้นเพื่อหลอกคนดู แล้วพลิกเป็นดุร้ายในหักมุมท้ายเรื่อง ทำให้คนดูรู้สึกทั้งสงสารและกลัว บทแม่ยังเชื่อมโยงกับธีมหลัก คือกิเลสในจิตใจมนุษย์ที่ทำให้คนธรรมดากลายเป็นปีศาจ เธอเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่บิดเบี้ยว เพราะพยายามปกป้องลูกแต่สุดท้ายทำร้ายทุกคนรอบตัว ในฉากจุดไคลแม็กซ์ แม่สารภาพความจริงกับแบงค์ ท่ามกลางพายุฝน ทำให้เห็นความเจ็บปวดภายในที่สะสมมานาน บทบาทนี้ไม่ใช่แค่แม่ทั่วไป แต่เป็นตัวแทนปัญหาสังคมอย่างคอร์รัปชันและการกลั่นแกล้งที่ซ่อนอยู่ในครอบครัว

ฉายา แม่ผู้ซ่อนปีศาจ
ฉายานี้เหมาะกับแม่แบงค์เพราะเธอดูเหมือนแม่ใจดีที่ห่วงใยลูก แต่จริงๆ แล้วซ่อนด้านมืดเป็นพญาปอบที่ฆ่าคนและกินไส้เพื่อสนองกิเลส ฉายานี้สะท้อนความขัดแย้งในตัวละครที่ใช้ภาพลักษณ์อบอุ่นปกปิดความชั่วร้าย เช่น การหลอกชาวบ้านให้ไล่ล่ายายพร เพื่อเบี่ยงเบนความสงสัยจากตัวเอง เปิ้ล-ชไมพร ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่ค่อยๆ เผยด้านมืด จากแม่ผู้ปกป้องกลายเป็นปีศาจโหดร้ายในหักมุม ทำให้คนดูอึ้งและคิดถึงว่าความรักของแม่บางครั้งอาจซ่อนอันตรายที่คาดไม่ถึง ฉายานี้ยังจิกกัดสังคมที่คนภายนอกดูดีแต่ภายในเต็มไปด้วยกิเลส จนกลายเป็นปีศาจในคราบมนุษย์

ข้อคิด ความรักที่บิดเบี้ยวอาจนำไปสู่ความหายนะ
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทแม่แบงค์ที่ห่วงใยลูกจนเกินเหตุ จนกลายเป็นเหตุผลในการทำชั่ว เช่น การฆ่าและกินไส้คนเพื่อปกป้องความลับและเอาชีวิตรอด ข้อคิดนี้เตือนว่าหากความรักถูกครอบงำด้วยกิเลสหรือความอยาก มันจะพลิกผันเป็นพิษภัยต่อคนรอบข้างและตัวเอง แม่ในเรื่องเป็นตัวอย่างที่ถูกสังคมกดขี่จากความจน จนต้องกลายเป็นปีศาจ แต่สุดท้ายนำความหายนะมาสู่ครอบครัว ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์จิตใจมนุษย์ ให้เราตรวจสอบความรักของตัวเองว่าบริสุทธิ์จริงหรือซ่อนความเห็นแก่ตัว ทำให้คนดูต้องทบทวนความสัมพันธ์ในชีวิตจริง

→ ม่อน-วรวิทย์ จันทะเสน รับบท แบงค์

1052426
ม่อน-วรวิทย์ จันทะเสน

แบงค์คือหนุ่มนักศึกษาที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยดังในกรุงเทพ เขาเป็นคนรุ่นใหม่ที่เชื่อในวิทยาศาสตร์และความเจริญ ทำงานในบริษัทใหญ่ แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อได้รับข่าวร้ายว่าเพื่อนสนิทเสียชีวิตอย่างปริศนาที่บ้านเกิดในภาคอีสาน แบงค์รีบกลับหมู่บ้านเพื่อร่วมงานศพและสืบหาความจริง โดยเชื่อสนิทใจว่าการตายนี้ต้องเกี่ยวข้องกับผีปอบตำนานพื้นบ้าน และผู้ต้องสงสัยคือยายพร หญิงชราที่ชาวบ้านรังเกียจ เขารวบรวมเพื่อนเก่าอย่างกาย วิเชียร และเล็ก เพื่อตามล่าปอบ แต่ตลอดเรื่อง แบงค์ต้องเผชิญความขัดแย้งภายใน ระหว่างความเชื่อสมัยใหม่กับไสยศาสตร์ที่ฝังรากลึกในชุมชน บทบาทนี้แสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงจากหนุ่มเมืองกรุงที่มั่นใจตัวเอง กลายเป็นคนคลั่งไคล้แก้แค้นเพราะสูญเสียเพื่อนและพ่อในอดีต

ม่อน-วรวิทย์ ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่เต็มไปด้วยอารมณ์โกรธและสับสน ใช้สายตาและท่าทางแสดงความมุ่งมั่นในการสืบสวน เช่น ฉากขับรถกลับบ้านตอนกลางคืน หรือเผชิญหน้ากับยายพรในกระท่อมมืด แต่หักมุมใหญ่เมื่อแบงค์ค้นพบว่าปอบตัวจริงคือแม่ของตัวเอง ทำให้เขาต้องเลือกระหว่างแก้แค้นกับยอมรับความจริงที่เจ็บปวด บทแบงค์ยังสะท้อนปัญหาสังคมอย่างคอร์รัปชันในหมู่บ้านและการล่าแม่มดสมัยใหม่ ที่ข่าวลือทำลายชีวิตคนบริสุทธิ์ เขาเป็นสัญลักษณ์ของคนรุ่นใหม่ที่ถูกดึงกลับสู่รากเหง้าทางวัฒนธรรม แต่สุดท้ายต้องเรียนรู้ว่าปีศาจที่แท้จริงอาจไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติ แต่เป็นกิเลสในจิตใจมนุษย์เอง บทบาทนี้ไม่ใช่พระเอกแบบฮีโร่ แต่เป็นมนุษย์ธรรมดาที่ผิดพลาดและเติบโตผ่านความสูญเสีย

ฉายา ผู้สืบหาความจริงที่คลั่งไคล้
ฉายานี้เหมาะกับแบงค์เพราะเขากลับบ้านเกิดด้วยความมุ่งมั่นที่จะสืบหาสาเหตุการตายของเพื่อน โดยเชื่อว่ายายพรคือปอบร้าย ทำให้เขาคลั่งไคล้ไล่ล่าความจริงแบบไม่ลืมหูลืมตา ฉายานี้สะท้อนด้านมืดของตัวละครที่ปล่อยให้ความโกรธและความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานครอบงำ จนเกือบทำลายชีวิตคนบริสุทธิ์ เช่น ฉากที่เขานำชาวบ้านไปเผาบ้านยายพร ม่อน-วรวิทย์ ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่เต็มไปด้วยพลังงานดุเดือด จากหนุ่มสงบกลายเป็นคนคลั่งแก้แค้น ฉายานี้ยังจิกกัดสังคมที่คนรุ่นใหม่บางครั้งถูกดึงเข้าสู่วังวนของข่าวลือและอคติ จนลืมใช้เหตุผล ทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแทนที่จะแก้ไข

ข้อคิด ความเชื่อที่ไม่มีหลักฐานอาจนำไปสู่ความผิดพลาดใหญ่หลวง
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทแบงค์ที่เชื่อสนิทใจว่ายายพรคือปอบ โดยไม่มีหลักฐานชัดเจน จนนำไปสู่การไล่ล่าและทำร้ายคนบริสุทธิ์ ข้อคิดนี้เตือนว่าหากปล่อยให้ความเชื่อส่วนตัวครอบงำโดยไม่ตรวจสอบข้อเท็จจริง มันจะพลิกผันเป็นหายนะต่อสังคมและตัวเอง แบงค์เป็นตัวอย่างที่ถูกข่าวลือในหมู่บ้านหลอก จนเกือบสูญเสียทุกอย่าง แต่สุดท้ายเรียนรู้จากหักมุมว่าแม่คือตัวการจริง ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์การล่าแม่มดสมัยใหม่ผ่านโซเชียลและกลุ่มแชท ให้เราตรวจสอบข้อมูลก่อนตัดสินคนอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงความผิดพลาดที่แก้ไขไม่ได้

→ ก้อง-พันธกานต์ ทาสีแสง รับบท กาย

ก้อง-พันธกานต์ ทาสีแสง

เพื่อนสนิทสมัยเด็กของแบงค์ที่ยังอาศัยอยู่ในหมู่บ้านอีสาน เขาเป็นคนพื้นถิ่นที่รู้จักชาวบ้านดี ทำงานรับจ้างทั่วไปและมีชีวิตเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความซื่อสัตย์ ตั้งแต่ต้นเรื่อง กายปรากฏตัวในงานศพของเล็ก เพื่อนอีกคนที่ตายอย่างปริศนา ทำให้กายเข้าร่วมกับแบงค์ วิเชียร และกลุ่มเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับผีปอบที่ชาวบ้านเชื่อว่าคือยายพร บทบาทนี้แสดงให้เห็นกายเป็นคนใจกว้าง ช่วยเหลือเพื่อนโดยไม่ลังเล เช่น ฉากที่เขาพาแบงค์ไปสอบถามชาวบ้านหรือช่วยรวบรวมข้อมูลข่าวลือ แต่กายยังซ่อนความลับที่เกี่ยวข้องกับคอร์รัปชันในหมู่บ้าน เพราะเขาเคยช่วยวิเชียรปกปิดเรื่องทุจริต เช่น การแบล็กเมล์พนันออนไลน์จากวิดีโอที่เกี่ยวข้องกับเมย์ภรรยาของเล็ก ทำให้กายกลายเป็นเหยื่อในที่สุด

ก้อง-พันธกานต์ ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่อบอุ่นและจริงใจ ใช้สำเนียงอีสานแท้ๆ แสดงความเป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้ แต่ค่อยๆ เผยด้านกลัวและสับสนเมื่อเหตุการณ์ลึกลับเกิดขึ้น เช่น ฉากที่เขาถูกผีหลอกจนตายอย่างน่าสงสัย โดยพบศพแขวนคอที่สะพาน ชาวบ้านเชื่อเป็นฝีมือปอบแต่แบงค์สงสัยเพราะกายแข็งแรงและไม่มีเหตุผลฆ่าตัวตาย บทกายยังสะท้อนปัญหาสังคมอย่างการถูกดึงเข้าวังวนทุจริตเพราะความจนและความภักดีต่อเพื่อน ทำให้เขากลายเป็นจุดหักมุมที่เชื่อมโยงความลับของวิเชียรกับปอบตัวจริง เขาไม่ใช่ตัวเอกแต่เป็นตัวแทนคนธรรมดาที่ถูกสังคมบีบคั้น จนนำไปสู่จุดจบที่น่าเศร้าและชวนคิดตามว่าความซื่อสัตย์บางครั้งอาจนำภัยมาสู่ตัว

ฉายา เพื่อนผู้ซื่อสัตย์ที่ถูกหักหลัง
ฉายานี้เหมาะกับกายเพราะเขาเป็นเพื่อนแท้ที่ยืนเคียงข้างแบงค์ในการสืบหาปอบ แต่สุดท้ายถูกหักหลังจากความลับที่เกี่ยวข้องกับวิเชียรและคอร์รัปชันในหมู่บ้าน ทำให้เขากลายเป็นเหยื่อของปอบตัวจริง ฉายานี้สะท้อนด้านบวกของตัวละครที่ภักดีต่อกลุ่ม แต่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในแผนทุจริต เช่น การช่วยปกปิดวิดีโอแบล็กเมล์ที่นำไปสู่การตายของเขา ก้อง-พันธกานต์ ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ จากเพื่อนขี้เล่นกลายเป็นคนหวาดกลัวก่อนตาย ฉายานี้ยังจิกกัดสังคมที่คนซื่อสัตย์มักถูกเอารัดเอาเปรียบ จนกลายเป็นแพะรับบาปในวังวนของกิเลสและผลประโยชน์

ข้อคิด ความภักดีที่ไม่เลือกอาจนำไปสู่จุดจบ
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทกายที่ภักดีต่อเพื่อนอย่างวิเชียร จนยอมช่วยปกปิดทุจริตแต่สุดท้ายถูกฆ่าเพื่อปิดปาก ข้อคิดนี้เตือนว่าหากความภักดีถูกครอบงำโดยไม่ใช้เหตุผล มันจะพลิกผันเป็นภัยต่อตัวเองและคนรอบข้าง กายเป็นตัวอย่างที่ถูกดึงเข้าวังวนคอร์รัปชันเพราะความจน จนกลายเป็นเหยื่อของปอบและแผนร้าย ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์สังคมไทย ให้เราตรวจสอบความสัมพันธ์และเลือกยืนข้างความถูกต้อง แทนที่จะปล่อยให้กิเลสของคนอื่นทำลายชีวิตตัวเอง

→ ยะสะกะ ไชยสร รับบท ตาเทียม

569537429 10229110592417206 3796543693887936556 n
ยะสะกะ ไชยสร

ชายชราที่อาศัยอย่างแร้นแค้นในกระท่อมผุพังท้ายหมู่บ้านกับภรรยา ยายพร เขาเป็นสามีผู้ซื่อสัตย์ที่คอยปกป้องและดูแลภรรยาที่ถูกชาวบ้านกล่าวหาว่าเป็นผีปอบโดยไม่มีหลักฐาน ตาเทียมรับจ้างทำงานก่อสร้างให้ อบต. เพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ แต่ชีวิตเต็มไปด้วยความลำบากเพราะถูกเอารัดเอาเปรียบ เช่น การไม่ได้รับค่าจ้างเต็มจำนวนจากวิเชียร นายก อบต. ที่ทุจริต ตั้งแต่ต้นเรื่อง ตาเทียมปรากฏตัวในฐานะผู้สนับสนุนยายพร เมื่อชาวบ้านรุมรังแกภรรยา เขาจะยืนขวางและปกป้องแม้ตัวเองอ่อนแอ เช่น ฉากที่ชาวบ้านขว้างหินใส่บ้าน เขารีบช่วยยายพรหนีและปลอบโยน

บทบาทนี้แสดงให้เห็นความรักที่มั่นคงแต่ถูกสังคมกดขี่ เพราะความจนทำให้เขาต้องยอมทนกับการถูกหลอก เช่น การขายเสาไฟฟ้าแพงให้ อบต. แล้วถูกโกงเงิน ยะสะกะ ไชยสร ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่เรียบง่ายแต่ลึกซึ้ง ใช้สำเนียงอีสานและท่าทางเหนื่อยล้าถ่ายทอดชีวิตหาเช้ากินค่ำ แต่หักมุมเมื่อตาเทียมถูกฆ่าด้วยรถชนเพื่อปิดปาก หลังจากพยายามแบล็กเมล์วิเชียรด้วยวิดีโอทุจริต ทำให้เขากลายเป็นเหยื่อของระบบคอร์รัปชัน บทตาเทียมยังสะท้อนปัญหาสังคมอย่างการเอารัดเอาเปรียบคนจนและการเมืองท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ เขาไม่ใช่ตัวเอกแต่เป็นสัญลักษณ์ของคนชายขอบที่ต่อสู้เพื่อความยุติธรรมแต่สุดท้ายต้องจบชีวิตอย่างน่าเศร้า ชวนคิดว่าความซื่อสัตย์ในสังคมที่ไม่เป็นธรรมอาจนำไปสู่จุดจบ

ฉายา สามีผู้ปกป้องที่แร้นแค้น
ฉายานี้เหมาะกับตาเทียมเพราะเขาเป็นสามีที่ยืนเคียงข้างยายพรเสมอ ท่ามกลางความแร้นแค้นและการถูกสังคมรังแก ฉายานี้สะท้อนด้านบวกของตัวละครที่ปกป้องภรรยาจากชาวบ้านที่กล่าวหาเธอเป็นปอบ เช่น ฉากยืนขวางไม่ให้ใครทำร้าย แต่ชีวิตแร้นแค้นทำให้เขาต้องทนกับการถูกเอารัดเอาเปรียบจากวิเชียร ยะสะกะ ไชยสร ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นและเหนื่อยล้า จากชายชราที่ซื่อสัตย์กลายเป็นเหยื่อของคอร์รัปชัน ฉายานี้ยังจิกกัดสังคมที่คนจนอย่างตาเทียมถูกมองข้าม แม้จะพยายามต่อสู้เพื่อครอบครัวแต่สุดท้ายถูกฆ่าปิดปากเพราะรู้ความลับทุจริต

ข้อคิด ความจนอาจทำให้คนดีถูกเอารัดเอาเปรียบ
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทตาเทียมที่ซื่อสัตย์แต่ถูกสังคมกดขี่เพราะความจน จนต้องยอมทนกับการถูกโกงและสุดท้ายถูกฆ่าเพื่อปิดปาก ข้อคิดนี้เตือนว่าหากสังคมไม่แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ คนดีอย่างตาเทียมจะกลายเป็นเหยื่อของระบบคอร์รัปชันและผลประโยชน์ ตาเทียมเป็นตัวอย่างที่พยายามหาเลี้ยงชีพอย่างสุจริตแต่ถูกหลอกใช้ ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์สังคมไทย ให้เราตระหนักถึงการช่วยเหลือคนชายขอบและต่อต้านทุจริต เพื่อไม่ให้คนจนถูกเอารัดเอาเปรียบจนนำไปสู่จุดจบที่น่าเศร้า

→ ล็อตโต้ -จิรวัฒน์ พุทธรรมา รับบท วิเชียร

hq720
จิรวัฒน์ พุทธรรมา

เพื่อนสนิทสมัยเด็กของแบงค์ ลูกชายอดีตผู้ใหญ่บ้านที่ตามรอยพ่อเล่นการเมืองจนได้ดิบได้ดี เขาเป็นนายกอบต. ที่กำลังลงสมัครเลือกตั้งใหม่และเป็นหัวโจกในกลุ่มเพื่อน ตั้งแต่ต้นเรื่อง วิเชียรปรากฏตัวในงานศพของเล็ก โดยดูเหมือนคนมีอำนาจที่ช่วยจัดการเรื่องชาวบ้าน เช่น เรียกตำรวจมาดูศพหรือห้ามไม่ให้เผาบ้านยายพร แต่เบื้องหลังเขาคือตัวแทนคอร์รัปชันในหมู่บ้าน เอารัดเอาเปรียบคนจนอย่างตาเทียมโดยไม่จ่ายค่าจ้างเต็มหรือหลอกซื้อของแพง บทบาทนี้แสดงให้เห็นความหน้าซื่อใจคดที่ใช้ตำแหน่งปกปิดทุจริต เช่น การเกี่ยวข้องกับวิดีโอแบล็กเมล์พนันออนไลน์ที่เชื่อมโยงกับกายและเมย์ ทำให้เขาต้องสั่งฆ่าปิดปากคนที่รู้ความลับ

ล็อตโต้-จิรวัฒน์ ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่ดูน่าเชื่อถือในฐานะผู้นำชุมชน แต่ค่อยๆ เผยด้านโลภและโหดร้าย เช่น ฉากปฏิเสธจ่ายเงินตาเทียมหรือจัดการศพอย่างลับๆ บทวิเชียรยังเชื่อมโยงกับธีมหลัก คือกิเลสตัณหาที่ทำให้คนมีอำนาจกลายเป็นปีศาจในคราบมนุษย์ เขาไม่ใช่ปอบตัวจริงแต่เป็นตัวการที่ใช้ข่าวลือผีปอบเบี่ยงเบนความสนใจจากความชั่วของตัวเอง ในช่วงท้าย วิเชียรเจอจุดจบจากรถชนไฟไหม้เพราะผีแก้แค้น ทำให้เห็นว่าความโลภนำไปสู่หายนะ บทบาทนี้ไม่ใช่ตัวร้ายแบบตรงๆ แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเมืองท้องถิ่นที่เต็มไปด้วยผลประโยชน์ ชวนคิดว่าคนมีอำนาจในสังคมจริงๆ บางครั้งน่ากลัวกว่าผี

ฉายา นายกฯ จอมทุจริต
ฉายานี้เหมาะกับวิเชียรเพราะเขาเป็นนายกอบต. ที่ดูดีภายนอกแต่เต็มไปด้วยการโกงและเอารัดเอาเปรียบ เช่น ไม่จ่ายค่าจ้างตาเทียมเต็มหรือใช้ตำแหน่งปกปิดเรื่องพนันและฆาตกรรม ฉายานี้สะท้อนด้านมืดของตัวละครที่ตามรอยพ่อเล่นการเมืองจนได้ดีแต่สุดท้ายโลภจนเจอจุดจบ ล็อตโต้-จิรวัฒน์ ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่ดูเป็นผู้นำน่าเชื่อแต่แฝงความเจ้าเล่ห์ จากหัวโจกกลุ่มเพื่อนกลายเป็นคนสั่งฆ่าปิดปาก ฉายานี้ยังจิกกัดสังคมไทยที่การเมืองท้องถิ่นมักเต็มไปด้วยคอร์รัปชัน จนคนดูเกลียดบทนี้มากเพราะเข้าถึงความจริง 

ข้อคิด อำนาจที่มาพร้อมกิเลสจะนำไปสู่ความพินาศ
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทวิเชียรที่ใช้อำนาจนายกอบต. ทุจริตและปกปิดความชั่ว จนสุดท้ายเจอจุดจบจากรถชนไฟไหม้ ข้อคิดนี้เตือนว่าหากอำนาจถูกครอบงำด้วยความโลภ มันจะพลิกผันเป็นหายนะต่อตัวเองและสังคม วิเชียรเป็นตัวอย่างที่ได้ดีจากการเมืองแต่สุดท้ายถูกกิเลสกัดกินเหมือนปอบ ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์สังคม ให้เราตระหนักถึงการตรวจสอบคนมีอำนาจ เพื่อไม่ให้ทุจริตกลายเป็นปีศาจที่กัดกินชุมชน

→ กะล่อน รักษ์อิสรภาพ ศรีวรสาร รับบท เล็ก

กะล่อน รักษ์อิสรภาพ ศรีวรสาร

เพื่อนสนิทสมัยเด็กของแบงค์ กาย และวิเชียร ที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านอีสาน เขาเป็นคนพื้นถิ่นธรรมดา มีครอบครัว มีภรรยาชื่อเมย์ ทำงานหาเลี้ยงชีพแบบวันต่อวัน แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อเขาตายอย่างปริศนาในกระท่อมขอบนา หัวใจวายเฉียบพลันพร้อมอาการเหมือนถูกกัดกินไส้ ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมด ตั้งแต่ต้นเรื่อง เล็กปรากฏผ่านความทรงจำของเพื่อนและงานศพที่จัดขึ้น ทำให้แบงค์รีบกลับมาจากกรุงเทพเพื่อสืบหาสาเหตุ เพราะเชื่อว่าการตายนี้เกี่ยวข้องกับผีปอบและยายพร บทบาทนี้แสดงให้เห็นเล็กเป็นคนดี ซื่อๆ ในกลุ่มเพื่อน แต่ซ่อนความเชื่อพื้นบ้านและอาจเกี่ยวข้องกับความลับในหมู่บ้าน เช่น การรู้เห็นทุจริตหรือข่าวลือปอบ

กะล่อน-รักษ์อิสรภาพ ถ่ายทอดบทนี้ด้วยการแสดงที่ดูจริงใจ แม้ปรากฏน้อยแต่สร้างความสงสัย เช่น ฉากย้อนอดีตที่เขาเล่นกับเพื่อนหรือตอนพบศพที่น่าสยอง บทเล็กยังสะท้อนปัญหาสังคมอย่างการตายปริศนาในชุมชนเล็กที่เต็มไปด้วยข่าวลือและคอร์รัปชัน ทำให้ชาวบ้านกล่าวหายายพรทันที เขาไม่ใช่ตัวเอกแต่เป็นตัวกระตุ้นที่ทำให้เรื่องราวเปิดเผยความมืดมิดในจิตใจมนุษย์และกิเลสที่กัดกินสังคม การตายของเล็กเชื่อมโยงกับเมย์ที่หายตัวไปและศพถูกกินไส้ ชวนคิดว่าปอบตัวจริงอาจไม่ใช่สิ่งเหนือธรรมชาติแต่เป็นมนุษย์ที่โลภ บทบาทนี้ชวนเศร้าและหลอน เพราะแม้ตายแล้วแต่ยังหลอกหลอนผ่านความทรงจำและเหตุการณ์ที่ตามมา ทำให้คนดูรู้สึกว่าความตายของคนธรรมดาอาจซ่อนความลับใหญ่หลวง

ฉายา เพื่อนผู้จุดชนวนความหลอน
ฉายานี้เหมาะกับเล็กเพราะการตายปริศนาของเขาเป็นจุดเริ่มต้นที่ดึงแบงค์กลับบ้านเกิดและเปิดโปงความลับทั้งหมู่บ้าน เช่น การกล่าวหายายพรและคอร์รัปชันที่ซ่อนอยู่ ฉายานี้สะท้อนด้านสำคัญของตัวละครที่แม้ปรากฏน้อยแต่สร้างความสงสัยและความกลัวตลอดเรื่อง กะล่อน-รักษ์อิสรภาพ ทำให้ฉายานี้มีชีวิตด้วยการแสดงที่ดูเป็นเพื่อนธรรมดาแต่ตายอย่างน่าสยอง จากคนขี้เล่นในความทรงจำกลายเป็นศพที่ถูกกัดกินไส้ ฉายานี้ยังจิกกัดสังคมที่การตายของคนเล็กคนน้อยมักถูกใช้เป็นเครื่องมือกล่าวหาคนอื่น โดยไม่สืบหาความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังกิเลสมนุษย์

ข้อคิด การตายปริศนาอาจซ่อนความลับของสังคม
ข้อคิดนี้มาจากบทบาทเล็กที่ตายอย่างผิดธรรมชาติ จนนำไปสู่การสืบสวนที่เปิดเผยทุจริตและปอบตัวจริง ข้อคิดนี้เตือนว่าหากสังคมรีบกล่าวหาโดยไม่มีหลักฐาน มันจะปกปิดความชั่วร้ายที่แท้จริง เช่น คอร์รัปชันและกิเลสที่กัดกินคน เล็กเป็นตัวอย่างที่คนธรรมดากลายเป็นเหยื่อของข่าวลือและผลประโยชน์ ข้อคิดนี้เชื่อมโยงกับธีมภาพยนตร์ที่วิพากษ์สังคม ให้เราตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อนตัดสิน เพื่อไม่ให้ความตายของใครถูกใช้เป็นเครื่องมือกลั่นแกล้งคนบริสุทธิ์


หลังจากเหตุการณ์สยองขวัญในภาคแรกที่จบลงด้วยการเปิดเผยว่าปอบตัวจริงคือแม่ของแบงค์ ซึ่งถูกกิเลสตัณหาครอบงำจนกลายเป็นพญาปอบห่าก้อม และยายพรที่ถูกสังคมกลั่นแกล้งจนต้องแก้แค้นอย่างสุดโต่ง หากภาพยนตร์เรื่องนี้มีภาคต่อในชื่อ “ห่าก้อม 2: The Curse of Greed” หรือ “ห่าก้อม 2: คำสาปแห่งกิเลส” มันจะยกระดับความหลอนจากหมู่บ้านอีสานเล็กๆ สู่เมืองใหญ่ และสำรวจว่าคำสาปปอบสามารถแพร่กระจายในสังคมสมัยใหม่

เรื่องราวภาค 2 เริ่มต้นหนึ่งปีหลังเหตุการณ์ภาคแรก แบงค์ (ม่อน-วรวิทย์ จันทะเสน) ที่รอดชีวิตมาได้อย่างหวุดหวิด แต่บอบช้ำทั้งกายและใจ เพราะต้องสูญเสียแม่ที่กลายเป็นปอบและถูกกำจัดไป เขาตัดสินใจหนีจากหมู่บ้านอีสานกลับไปใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ พยายามเริ่มต้นใหม่ด้วยงานบริษัทเก่า แต่ความฝันร้ายและภาพหลอนยังตามหลอกหลอนเขาเสมอ โดยเฉพาะเสียงกระซิบของแม่ที่บอกว่า “กิเลสยังไม่ตาย… มันจะตามเจ้ามา”

ในกรุงเทพฯ แบงค์ได้พบกับ “นานา” (ตัวละครใหม่ นักแสดงสาวหน้าใหม่) หญิงสาวที่ทำงานในบริษัทเดียวกัน เธอเป็นคนร่าเริง มั่นใจ และดูเหมือนจะช่วยให้แบงค์ลืมอดีตได้ แต่เบื้องหลัง นานามีความลับว่าเธอคือหลานสาวของยายพรที่ย้ายมาอยู่เมืองใหญ่หลังเหตุการณ์ในหมู่บ้าน นานาแอบเก็บ “ของขลัง” ชิ้นหนึ่งจากยายพร ซึ่งเป็นเครื่องรางที่ผูกติดกับวิญญาณห่าก้อม ทำให้คำสาปเริ่มแพร่กระจาย

เหตุการณ์เริ่มหลอนเมื่อคนรอบตัวแบงค์ในเมืองใหญ่เริ่มตายอย่างปริศนา เช่น เพื่อนร่วมงานที่โลภมากถูกพบศพในคอนโดหรู ไส้ถูกกิน หรือหัวหน้าที่คอร์รัปชันหายตัวไปอย่างลึกลับ แบงค์เริ่มสงสัยว่าคำสาปปอบตามเขามา และเมื่อเขาค้นพบความเชื่อมโยงกับนานา ทั้งคู่ต้องร่วมมือกันสืบหาความจริง แต่ยิ่งสืบลึก ยิ่งพบว่าห่าก้อมไม่ได้สิงคนใดคนหนึ่ง แต่กลายเป็น “คำสาปแห่งกิเลส” ที่สิงในสังคมเมืองใหญ่ คนที่ปล่อยให้ความโลภ ความอยากเงินทอง หรืออำนาจครอบงำ จะค่อยๆ กลายเป็นปอบโดยไม่รู้ตัว

จุดไคลแมกซ์เกิดในคอนโดหรูกลางกรุงเทพฯ ที่มีการทุจริตโครงการใหญ่ แบงค์และนานาต้องเผชิญหน้ากับห่าก้อมในร่างของผู้มีอิทธิพลที่โลภที่สุด และแบงค์ต้องตัดสินใจว่าจะยอมให้กิเลสในใจตัวเองครอบงำเพื่อแก้แค้น หรือต่อสู้เพื่อหยุดคำสาปนี้ไม่ให้แพร่ไปทั่วประเทศ

ภาค 2 นี้จะเข้มข้นด้วยการย้ายฉากจากชนบทสู่เมืองใหญ่ ทำให้เห็นว่าปอบและกิเลสไม่ได้อยู่แค่ในตำนานพื้นบ้าน แต่ซ่อนอยู่ในสังคมศิวิไลซ์ที่เต็มไปด้วยความโลภ หากมีจริง ภาคนี้จะทำให้คนดูขนลุกยิ่งกว่าภาคแรก เพราะมันใกล้ตัวเรามากขึ้น และจบด้วยการทิ้งปมว่าคำสาปอาจยังไม่สิ้นสุด หากมนุษย์ยังไม่กำจัดกิเลสในใจได้