ละคร ใต้เงาตะวัน 2566 ละครแนวโรแมนติกดราม่า เรื่องราวของ “ปารีณา หรือ รีน่า” หญิงสาวที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบ ด้วยครอบครัวที่อบอุ่นและพ่อที่เปรียบเสมือนดวงตะวันในชีวิตของเธอ “ฉาย” พ่อของรีน่าคือศูนย์กลางของความรักและความภาคภูมิใจของเธอ อย่างไรก็ตาม ชีวิตที่ราบรื่นของรีน่าต้องพังทลายลงเมื่อพ่อของเธอเสียชีวิตอย่างกะทันหัน การตายของฉายมาพร้อมกับเงื่อนงำและปริศนาที่ทำให้รีน่าไม่อาจยอมรับได้ เธอจึงตัดสินใจออกเดินทางเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อ และกอบกู้ศักดิ์ศรีของเขาคืนมา
ในระหว่างการสืบหาความจริง รีน่าได้พบกับ “กรณ์” ชายหนุ่มที่ดูเหมือนเป็นคนเสเพล รักอิสระ และมีนิสัยก้าวร้าว กรณ์เป็น “แกะดำ” ของตระกูลเชิญอิสราชัย ถูก “เกียรติ” พ่อของเขาส่งไปเรียนต่างประเทศเพราะไม่สามารถควบคุมพฤติกรรมของเขาได้ กรณ์มักมีเรื่องขัดแย้งกับรีน่าในตอนแรก แต่เมื่อทั้งคู่ต้องร่วมมือกันเพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของฉาย ความสัมพันธ์ของพวกเขาค่อยๆ พัฒนาเป็นความรักที่ลึกซึ้ง
ในขณะเดียวกัน “กานต์” ลูกชายคนโตของตระกูลเชิญอิสราชัย ผู้ซึ่งเป็นสุภาพบุรุษและดูเหมือนสมบูรณ์แบบในทุกด้าน เปรียบเสมือนพี่ชายของรีน่า เขาคอยให้คำแนะนำและสนับสนุนรีน่าในยามที่เธอเผชิญกับความยากลำบาก อย่างไรก็ตาม การค้นหาความจริงของรีน่าเผยให้เห็นว่าไม่มีใครในโลกนี้สมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แม้แต่พ่อของเธอ กรณ์ หรือแม้แต่กานต์เอง ต่างก็มีด้านมืดและความผิดพลาดที่ทำให้รีน่าได้เรียนรู้ถึงการยอมรับความเป็นมนุษย์
“ใต้เงาตะวัน” นำเสนอแนวคิดที่ว่า “ความมืดไม่อาจขับไล่ความมืด มีเพียงแสงสว่างเท่านั้นที่ทำได้” ละครเรื่องนี้เน้นย้ำถึงพลังของความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยในการเยียวยาความเจ็บปวดและความผิดพลาดในชีวิต ผ่านการเดินทางของรีน่าและกรณ์ ผู้ที่ต้องเผชิญกับความจริงที่เจ็บปวดและเรียนรู้ที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์แบบของมนุษย์ ละครยังสะท้อนถึงความซับซ้อนของความสัมพันธ์ในครอบครัวและการต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีและความยุติธรรม ต่อไปนี้คือเนื้อหาสำคัญของละคร
จุดเริ่มต้นของปริศนา
เรื่องราวเริ่มต้นด้วย ปารีณา หรือ รีน่า (รับบทโดย โบว์-เมลดา สุศรี) หญิงสาวที่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในครอบครัวที่อบอุ่น โดยมี ฉาย (รับบทโดย ศานติ สันติเวชชกุล) พ่อของเธอเป็นศูนย์กลางของชีวิต ฉายเป็นนักธุรกิจที่ได้รับการเคารพและเป็นที่รักของรีน่า อย่างไรก็ตาม ความสุขนี้พังทลายลงเมื่อฉายเสียชีวิตอย่างกะทันหันในอุบัติเหตุที่เต็มไปด้วยเงื่อนงำ รีน่าสงสัยว่าการตายของพ่อไม่ใช่อุบัติเหตุธรรมดา เธอจึงเริ่มสืบหาความจริง โดยมีเป้าหมายเพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของพ่อที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตในธุรกิจ
ในขณะเดียวกัน กรณ์ (รับบทโดย หมาก-ปริญ สุภารัตน์) ลูกชายคนเล็กของตระกูลเชิญอิสราชัย กลับมาจากต่างประเทศและถูกมองว่าเป็น “แกะดำ” ของครอบครัว เขามีนิสัยก้าวร้าวและดูเหมือนไม่สนใจอะไร แต่แท้จริงแล้วกรณ์มีความลับและเหตุผลของตัวเองในการกลับมาเมืองไทย การปรากฏตัวของเขานำไปสู่ความขัดแย้งกับรีน่าในตอนแรก แต่เมื่อทั้งคู่ต้องร่วมมือกันเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของฉาย ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มพัฒนาจากความไม่ลงรอยกลายเป็นความผูกพัน
การค้นหาความจริง
รีน่าและกรณ์เดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อตามรอยเบาะแสเกี่ยวกับการตายของฉาย พวกเขาค้นพบว่า เกียรติ (รับบทโดย ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พ่อของกรณ์และประธานตระกูลเชิญอิสราชัย มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ เกียรติเป็นนักธุรกิจที่ทรงอิทธิพลและมีด้านมืดที่ซ่อนอยู่ การสืบสวนนำรีน่าไปสู่ความจริงที่น่าตกใจ: ฉาย พ่อของเธอ อาจไม่ได้บริสุทธิ์อย่างที่เธอเชื่อ เขามีส่วนเกี่ยวข้องกับการทุจริตในธุรกิจที่เชื่อมโยงกับเกียรติ และการตายของเขาอาจเป็นผลมาจากการทรยศในวงการธุรกิจ
ในระหว่างนี้ กานต์ (รับบทโดย ภพธร สุนทรญาณกิจ) พี่ชายของกรณ์และลูกชายคนโตของตระกูลเชิญอิสราชัย ดูเหมือนเป็นคนที่สมบูรณ์แบบและคอยสนับสนุนรีน่าตลอดมา แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป กลับพบว่ากานต์เองก็มีความลับ เขามีส่วนรู้เห็นในแผนการของพ่อและอาจมีส่วนในเหตุการณ์ที่นำไปสู่การตายของฉาย ความสมบูรณ์แบบของกานต์เป็นเพียงหน้ากากที่ซ่อนความรู้สึกผิดและความกดดันจากครอบครัว
ความสัมพันธ์และการพัฒนาตัวละคร
ความสัมพันธ์ระหว่างรีน่าและกรณ์ค่อยๆ เติบโตท่ามกลางความยากลำบาก กรณ์ที่ดูเหมือนเป็นคนไม่เอาไหน กลับแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความภักดีเมื่อต้องปกป้องรีน่า เขาเผยว่าเหตุผลที่เขาเป็น “แกะดำ” มาจากการที่เขาพยายามต่อต้านพ่อของตัวเองที่บังคับให้เขาทำในสิ่งที่ขัดต่อศีลธรรม รีน่าเองก็เปลี่ยนจากหญิงสาวที่เปราะบางกลายเป็นคนที่เข้มแข็งและยอมรับความจริงเกี่ยวกับพ่อของเธอ แม้ว่ามันจะเจ็บปวด
จุดพลิกผันสำคัญเกิดขึ้นเมื่อรีน่าค้นพบว่าเกียรติเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการตายของฉาย โดยมีกานต์รู้เห็นด้วย รีน่าต้องเผชิญหน้ากับความจริงที่ว่าพ่อของเธอไม่ใช่คนดีสมบูรณ์แบบ และกานต์ที่เธอเคยเชื่อใจก็ไม่ใช่คนที่เธอคิด การเผชิญหน้าระหว่างรีน่าและกานต์เต็มไปด้วยความตึงเครียด เมื่อกานต์พยายามขอโทษและอธิบายว่าเขาทำทุกอย่างเพื่อปกป้องครอบครัว แต่รีน่าไม่สามารถให้อภัยได้ง่ายๆ
ในตอนท้าย เกียรติถูกนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมจากการเปิดโปงของรีน่าและกรณ์ ความจริงเกี่ยวกับการตายของฉายถูกเปิดเผยอย่างสมบูรณ์ และชื่อเสียงของเขาก็ได้รับการกอบกู้ในระดับหนึ่ง รีน่าเรียนรู้ที่จะยอมรับความไม่สมบูรณ์ของพ่อและก้าวข้ามความเจ็บปวดในอดีต ส่วนกรณ์กลายเป็นคนที่มีความรับผิดชอบมากขึ้นและตัดสินใจสร้างอนาคตใหม่ร่วมกับรีน่า
ความสัมพันธ์ของรีน่าและกรณ์จบลงด้วยการที่ทั้งคู่เลือกที่จะเริ่มต้นใหม่ด้วยกัน โดยมีรักแท้และความเข้าใจเป็นรากฐาน ละครปิดฉากด้วยข้อความที่ว่า “แสงสว่างของความรักและการให้อภัยสามารถขจัดความมืดในใจได้” โดยเน้นย้ำถึงการยอมรับความผิดพลาดของมนุษย์และการให้โอกาสในการแก้ไข
“ใต้เงาตะวัน” นำเสนอประเด็นเกี่ยวกับการค้นหาความจริงและการยอมรับความไม่สมบูรณ์ของมนุษย์ ละครแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครสมบูรณ์แบบ และความรักกับการให้อภัยสามารถช่วยเยียวยาความเจ็บปวดได้ ด้วยการแสดงที่เข้มข้นและบทละครที่เต็มไปด้วยปมปริศนา ต่อไปนี้คือจุดเด่นของละคร
การแสดงที่ยอดเยี่ยม
เคมีระหว่าง หมาก-ปริญ และ โบว์-เมลดา เป็นหนึ่งในจุดแข็งของละคร ทั้งสองแสดงได้อย่างเป็นธรรมชาติและถ่ายทอดอารมณ์ของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะฉากดราม่าที่ต้องเผชิญหน้ากับความจริงอันเจ็บปวด โบว์สามารถถ่ายทอดความเปราะบางและความเข้มแข็งของรีน่าได้อย่างลงตัว ส่วนหมากนำเสนอกรณ์ในมุมของชายหนุ่มที่ดูเหมือนไม่เอาไหนแต่ค่อยๆ เผยด้านที่อบอุ่นและมุ่งมั่น นักแสดงสมทบอย่าง ภพธร สุนทรญาณกิจ (กานต์) และ ฉัตรชัย เปล่งพานิช (เกียรติ) ก็ช่วยเพิ่มมิติให้กับเรื่องราว โดยเฉพาะฉัตรชัยที่แสดงบทตัวร้ายได้น่าเกรงขามและน่าจดจำ
บทละครที่เข้มข้น
บทประพันธ์ของ ปิยะพร ศักดิ์เกษม ถูกนำมาดัดแปลงได้อย่างน่าสนใจ โดยมีการผสมผสานระหว่างปมปริศนาการสืบสวนและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน การดำเนินเรื่องมีการหักมุมที่ชวนให้ติดตาม โดยเฉพาะการเปิดเผยความลับเกี่ยวกับตัวละครหลักอย่างฉายและกานต์ ซึ่งทำให้ผู้ชมต้องทบทวนมุมมองต่อตัวละคร ละครยังทำได้ดีในการถ่ายทอดข้อคิดเกี่ยวกับการยอมรับความผิดพลาดของมนุษย์และการให้อภัย ซึ่งทำให้เรื่องราวมีน้ำหนักทางอารมณ์
การถ่ายทำและโปรดักชัน
งานภาพของ “ใต้เงาตะวัน” ได้รับคำชื่นชมจากฉากที่ถ่ายทำในต่างประเทศและการเลือกสถานที่ที่สวยงาม เช่น ฉากในเมืองและสถานที่ท่องเที่ยวที่ช่วยเสริมอารมณ์ของเรื่อง การใช้แสงและเงาในฉากสำคัญช่วยเน้นย้ำธีมของละครที่เปรียบเทียบความรักและความจริงเป็น “แสงสว่าง” ที่ขจัดความมืด ดนตรีประกอบก็ทำหน้าที่ได้ดีในการสร้างบรรยากาศ โดยเฉพาะในฉากดราม่าและโรแมนติก
คะแนน 8.5/10 (จาก sence9.com)
“ใต้เงาตะวัน” เป็นละครที่ประสบความสำเร็จในการผสมผสานความดราม่า โรแมนติก และปริศนาการสืบสวนได้อย่างลงตัว แม้ว่าจะมีจุดด้อยในเรื่องจังหวะและความสมจริงบ้าง แต่การแสดงที่ยอดเยี่ยมของนักแสดงนำและข้อคิดที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรัก การให้อภัย และการยอมรับความไม่สมบูรณ์ทำให้ละครเรื่องนี้โดดเด่น ละครเหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบเรื่องราวที่มีทั้งความเข้มข้นทางอารมณ์และการหักมุมที่น่าติดตาม
การเดินทางที่เต็มไปด้วยอารมณ์
ตั้งแต่ตอนแรกของ “ใต้เงาตะวัน” ละครสามารถดึงดูดความสนใจได้ทันทีด้วยปมปริศนาการตายของ ฉาย พ่อของรีน่า ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของความโศกเศร้าและความมุ่งมั่นของตัวละครหลัก ความรู้สึกแรกที่เกิดขึ้นคือความเห็นใจต่อรีน่าที่ต้องสูญเสียพ่ออันเป็นที่รัก และความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับสาเหตุที่แท้จริงของการตายนั้น การที่ละครค่อยๆ คลายปมผ่านการสืบสวนของรีน่าและกรณ์ ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังนั่งรถไฟเหาะแห่งอารมณ์ มีทั้งความตื่นเต้นจากปริศนา ความสะเทือนใจจากความจริงที่ถูกเปิดเผย และความอบอุ่นจากความรักที่ค่อยๆ ก่อตัว
เคมีระหว่าง หมาก-ปริญ และ โบว์-เมลดา เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกอินไปกับตัวละครอย่างมาก การปะทะคารมในช่วงแรกของทั้งคู่สร้างความสนุกและความตึงเครียด แต่เมื่อความสัมพันธ์พัฒนาเป็นความรัก ความรู้สึกอบอุ่นและหวังดีต่อทั้งสองก็เพิ่มมากขึ้น ฉากที่ทั้งคู่เผชิญหน้ากับอันตรายหรือเปิดใจต่อกัน เช่น ฉากที่กรณ์ปกป้องรีน่าจากภัยคุกคาม หรือฉากที่รีน่าร้องไห้เมื่อรู้ความจริงเกี่ยวกับพ่อ ทำให้รู้สึกซาบซึ้งและน้ำตาคลอตามไปด้วย
ความสะเทือนใจจากความจริงอันโหดร้าย
หนึ่งในความรู้สึกที่ทรงพลังที่สุดคือความสะเทือนใจเมื่อปมปริศนาคลายออก การค้นพบว่ารีน่าต้องยอมรับความจริงว่า ฉาย พ่อของเธอ ไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เธอเชื่อ และการที่ กานต์ ซึ่งดูเหมือนเป็นพี่ชายที่แสนดี มีส่วนรู้เห็นในความลับของครอบครัว ทำให้รู้สึกเหมือนถูกหักหลังไปพร้อมกับรีน่า ความรู้สึกผิดหวังและเจ็บปวดที่รีน่าต้องเผชิญเมื่อรู้ว่าไม่มีใครในเรื่องนี้สมบูรณ์แบบเลย สะท้อนถึงความเปราะบางของมนุษย์ ซึ่งทำให้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเห็นใจและนึกถึงประสบการณ์ในชีวิตจริงที่บางครั้งเราต้องยอมรับข้อบกพร่องของคนที่เรารัก
ในขณะเดียวกัน การที่ เกียรติ พ่อของกรณ์และกานต์ ถูกเปิดเผยว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ร้ายๆ ทำให้รู้สึกโกรธและอยากเห็นความยุติธรรมเกิดขึ้น การเผชิญหน้าระหว่างตัวละครในช่วงท้ายของเรื่อง โดยเฉพาะฉากที่รีน่าต้องเผชิญหน้ากับกานต์และเกียรติ สร้างความรู้สึกตึงเครียดและสะใจเมื่อความจริงได้รับการเปิดเผย
ความอบอุ่นจากความรักและการให้อภัย
จุดเด่นที่ทำให้ “ใต้เงาตะวัน” น่าจดจำคือข้อความเกี่ยวกับการให้อภัยและความรักที่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดได้ ความสัมพันธ์ของรีน่าและกรณ์ที่พัฒนาจากความไม่ลงรอยกลายเป็นรักแท้ ทำให้รู้สึกอบอุ่นใจและมีความหวัง ฉากที่ทั้งคู่ตัดสินใจก้าวต่อไปด้วยกันในตอนจบ เป็นเหมือนแสงสว่างที่ส่องผ่านความมืดของเรื่องราว ทำให้รู้สึกว่าทุกอย่างลงตัวและคุ้มค่าที่ติดตามมา
นอกจากนี้ การที่ละครเน้นย้ำว่าทุกคนมีข้อบกพร่องและสมควรได้รับโอกาสในการแก้ไข ทำให้รู้สึกได้ข้อคิดที่ลึกซึ้ง การยอมรับความไม่สมบูรณ์ของตัวละครอย่างฉายและกานต์ ทำให้เกิดความรู้สึกเข้าใจและเห็นคุณค่าของการให้อภัยมากขึ้น ข้อคิดนี้เหมือนเป็นการเตือนใจว่าในชีวิตจริง การยอมรับและให้อภัยอาจเป็นหนทางในการก้าวผ่านความเจ็บปวด
ความประทับใจในงานโปรดักชัน
งานภาพและดนตรีประกอบของละครช่วยเพิ่มอารมณ์ให้กับเรื่องราวอย่างมาก ฉากที่ถ่ายทำในต่างประเทศและการใช้แสงเงาในฉากดราม่าสร้างความรู้สึกสมจริงและดึงดูดใจ ดนตรีประกอบที่ไพเราะ โดยเฉพาะในฉากโรแมนติกและฉากสะเทือนใจ ทำให้รู้สึกอินมากขึ้นและยิ่งตอกย้ำอารมณ์ของตัวละคร
ละคร “ใต้เงาตะวัน” ทำให้รู้สึกเหมือนได้เดินทางไปพร้อมกับตัวละคร จากความโศกเศร้าและความสับสนในตอนแรก ไปสู่ความหวังและการยอมรับในตอนจบ ละครเรื่องนี้สอนให้เห็นว่าความจริงอาจเจ็บปวด แต่การเผชิญหน้ากับมันด้วยความกล้าหาญและความรักสามารถนำไปสู่การเยียวยาได้ ความรู้สึกหลังดูจบคือความรู้สึกเต็มอิ่ม อิ่มใจกับการพัฒนาของตัวละคร และได้รับแรงบันดาลใจจากข้อความที่ว่า “แสงสว่างของความรักสามารถขจัดความมืดในใจได้”
ละคร ใต้เงาตะวัน 2566
ละคร ใต้เงาตะวัน 2566 EP.1-18 ตอนจบCH3+
ละคร ใต้เงาตะวัน เวอรชันจีน EP.1-40 ตอนจบWETV
ใต้เงาตะวัน ทั้งหมด 40 ตอน นักแสดง: ไช่เหวินจิ้ง หลิวข่าย เผิงก้วนอิง หวังจิ้นซง หลี่ตงเหิง หม่าหลี เคออิ๋ง หญิงสาวมือฉมังด้านการเงิน หลังจากได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจจากอุบัติเหตุไม่คาดฝัน เธอก็ปรารถนาอยู่ตลอดว่าจะได้มีชีวิตที่สงบสุข ส่วนเสียวอู่ที่ต้องการตามหาพ่อแม่แท้ ๆ ก็เลือกทำอาชีพคนส่งเดลิเวอรีเที่ยวไปตามตรอกซอกซอย แต่โชคชะตาพาให้เขาได้กลายเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของเฟิงเซียวเซิงประธานบริษัทเฟิงซื่อโฮลดิ้ง บริษัทข้ามชาติที่ภายนอกดูดีแต่หลังม่านได้แอบเคลื่อนย้ายทรัพย์สินออกนอกประเทศ เฟิงเซียวเซิงนักธุรกิจที่ผู้คนต่างยกย่องเป็นเพียงหุ่นเชิดในแผนการ แต่เขาได้ตัดสินใจว่าจะเอาทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทมาเป็นของตัวเอง ดังนั้นจึงเพ่งเป้าไปที่เคออิ๋ง เพื่อปกป้องคนในครอบครัว เคออิ๋งตกลงช่วยให้เฟิงเซียวเซิงได้มีอำนาจที่แท้จริงในบริษัท แต่เธอก็ได้รวบรวมหลักฐานการลักลอบเคลื่อนย้ายทรัพย์สินของบริษัทอยู่อย่างลับ ๆ ซึ่งเธอและเสียวอู่บังเอิญมีเป้าหมายอย่างเดียวกัน ถึงแม้ทั้งสองคนจะเคยไม่กินเส้นกันเพราะความเข้าใจผิด สุดท้ายความร่วมมือของพวกเขาก็ทำให้ผ่านพ้นอุปสรรคต่าง ๆ นานาไปได้ และช่วยบ้านเมืองรักษาเสถียรภาพของระบบการเงินและความมั่นคงไว้ได้ เฟิงซื่อโฮลดิ้งถูกอายัดทรัพย์สิน ความยุติธรรมและความถูกต้องจึงถูกพิทักษ์ไว้อีกครั้ง
ฉากเด็ด ใต้เงาตะวัน 2566
ละคร ใต้เงาตะวัน 2566
“ความมืด” ไม่อาจขับไล่ความมืด มีเพียง “แสงสว่าง” เท่านั้นที่ทำได้ ความผิดพลาดในชีวิตจึงต้องอาศัยความรักและความเข้าใจเท่านั้นที่จะเยียวยา ชีวิตของ “ปารีณา” เพียบพร้อม ราบรื่น และงดงามมาโดยตลอด เธอเป็นลูกสาวที่แสนดีของพ่อ พ่อซึ่งเปรียบเสมือนดวงตะวันสำหรับเธอ ตราบจนกระทั่งความตายมาพรากพ่อไปจากเธอ ความตายที่ดูเหมือนมีเงื่อนงำและทิ้งปมปริศนาที่เธอไม่อาจยอมรับได้ เธอจึงพยายามทุกวิถีทางที่จะค้นหาความจริงเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของพ่อกลับคืนมา ทว่าความจริงที่เธอค้นพบนี้ กลับทำให้เธอได้เรียนรู้ว่า ตัวตนของคนเรานั้นมีหลายแง่หลายมุม ไม่ว่าจะเป็นพ่อของเธอเองหรือ “กรณ์” ชายหนุ่มที่ประพฤติตนดุจหนุ่มเสเพลและรักชีวิตอิสระเหนือสิ่งอื่นใด และ “กานต์” ชายผู้เปรียบเสมือนพี่ชายที่แสนดีและสมบูรณ์แบบที่สุดในทุกด้าน เหนือสิ่งอื่นใด เธอได้เรียนรู้ที่จะยอมรับความเป็นปุถุชนของมนุษย์ ยอมรับว่าคนเราทำผิดพลาดกันได้ และในโลกนี้ ไม่มีใครหรอกที่จะสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง
เรื่องราวของ “ใต้เงาตะวัน” ที่ไม่ได้มีแค่ความรัก แต่ยังมีปมปริศนาสุดซับซ้อนให้ได้ตามลุ้นกัน
เรื่องนี้เปิดมาที่บ้าน “เชิญอิสราชัย” ตระกูลผู้ดีที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง ยกเว้นลูกชายคนเล็กอย่าง กรณ์ (พี่หมาก ปริญ) ที่เป็นเหมือน “แกะดำ” ของบ้าน เพราะนิสัยห่ามๆ ไม่เหมือนใคร ทำให้ถูกพ่อแท้ๆ อย่าง คุณเกียรติ (พี่นก ฉัตรชัย) ส่งไปเรียนเมืองนอก แต่ความแสบก็ยังตามไปหลอกหลอน เพราะพี่แกดันไปเมายาจนเป็นเรื่องเป็นราว
ในขณะที่พี่ชายอย่าง กานต์ (พี่กั้ง ภพธร) คือลูกชายในฝันที่ใครๆ ก็ต้องอิจฉา แต่ชีวิตจริงก็ไม่ได้สวยหรู เพราะแบกรับความคาดหวังของพ่อไว้เต็มบ่า จนแทบไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งผิดกับ กรณ์ ที่ชีวิตโคตรจะชิล เพราะพ่อไม่คาดหวังอะไรแล้ว
จนกระทั่งวันหนึ่ง กรณ์ถูกเรียกตัวกลับบ้านด้วยฝีมือของ คุณฉาย (พี่ต้น ศานติ) มือขวาคนสนิทของพ่อเขา วันที่กลับมาดันเจอ รีน่า (โบว์ เมลดา) ลูกสาวของคุณฉาย ที่จากเด็กตัวเล็กๆ กลายเป็นสาวสวยสะพรั่งจนกรณ์หมั่นไส้ เพราะความเพอร์เฟกต์ของรีน่ายิ่งทำให้เขากลายเป็นคนห่วยแตกในสายตาคนในบ้านมากขึ้นไปอีก ทั้งคู่เลยเป็นไม้เบื่อไม้เมากันนับตั้งแต่นั้น
แต่เรื่องราวก็เริ่มพลิกผันแบบช็อกสุดขีด เมื่อคุณฉายเสียชีวิตอย่างกะทันหันที่ภูเก็ต ทั้งกรณ์และรีน่าต่างช็อก และยิ่งช็อกกว่านั้นคือผลชันสูตรจากตำรวจบอกว่า “ฆ่าตัวตาย” แถมยังมีการกล่าวหาว่าคุณฉาย “ยักยอกเงินบริษัท” อีกถึง 90 ล้านบาท
งานนี้รีน่าคนเดียวที่ปักใจเชื่อว่าพ่อถูกฆาตกรรม แต่กลับไม่มีใครเชื่อเธอเลย แม้กระทั่งคนในครอบครัวของเธอก็ยังทำใจยอมรับไม่ได้ รีน่าจึงตัดสินใจลาออกจากบริษัททั้งที่รู้ว่าเป็นการ “หักหน้า” ตระกูลเชิญอิสราชัยอย่างแรง จนกลายเป็น “แกะดำ” อีกตัว ที่ไม่มีใครอยากจะยุ่งด้วย
ในตอนที่ต้องเผชิญหน้ากับความโดดเดี่ยว กรณ์ที่เคยเป็นคู่กัด กลับกลายเป็นคนเดียวที่เข้าใจความรู้สึกของรีน่า เพราะเขาเองก็เคยถูกตราหน้าว่าเป็นแกะดำของบ้านมาก่อน กรณ์จึงตัดสินใจจับมือกับรีน่าเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับคดีการตายของคุณฉาย ที่ดูเหมือนจะเป็น “คดีฆาตกรรมอำพราง” มากกว่า “การฆ่าตัวตาย” อย่างที่ทุกคนเชื่อ
จากคู่กัดที่เคยไม่ชอบขี้หน้ากัน การเดินทางเพื่อค้นหาความจริงในครั้งนี้ จะก่อเกิดเป็นความรักที่ค่อยๆ เติบโตขึ้นมาในใจของทั้งคู่! แต่เรื่องราวทั้งหมดจะจบลงยังไง? ใครคือฆาตกรตัวจริง? แล้วความรักของแกะดำกับลูกสาวมือขวาจะลงเอยแบบแฮปปี้เอนดิ้งได้หรือไม่? บอกเลยว่าต้องไปตามลุ้นกันต่อในละครนะครับทุกคน
เบื้องหลังละครสุดฮิต ใต้เงาตะวัน ปี 2566 ละครเรื่องนี้ไม่ใช่แค่เรื่องราวที่เข้มข้น แต่ทีมงานที่สร้างสรรค์มาก็คือระดับเทพ พร้อมแล้วคว้าขนมมานั่งกิน แล้วไปดูกันว่าใครเป็นใครในทีมนี้
บทประพันธ์โดย ปิยะพร ศักดิ์เกษม

เริ่มที่ ปิยะพร ศักดิ์เกษม คนนี้คือตัวแม่แห่งวงการบทประพันธ์เลยนะทุกคน เธอคือคนที่รังสรรค์เรื่องราวของ ใต้เงาตะวัน ขึ้นมา บอกเลยว่าเรื่องนี้คือสุดยอด มีทั้งดราม่าครอบครัว ความรักสุดซึ้ง และปมปริศนาที่ทำให้เรานั่งไม่ติด ปิยะพรเค้าเก่งมากในการเขียนตัวละครที่มีมิติแบบสุดๆ เช่น รีน่า (โบว์-เมลดา) ที่ทั้งเปราะบางแต่แกร่ง หรือ กรณ์ (หมาก-ปริญ) ที่เป็นแกะดำแต่มีหัวใจทองคำ ต้องปรบมือให้ปิยะพรที่วางโครงเรื่องได้แบบ… ว้าว ดราม่าจัดเต็มแต่มีข้อคิดให้เราได้คิดตาม 👏
บทโทรทัศน์โดย ดนยา ทรัพย์ยิ่ง

ต่อมาเรามี ดนยา ทรัพย์ยิ่ง คนที่เอาเรื่องราวของปิยะพรมาแปลงเป็นบทโทรทัศน์ให้เราดูบนจอ บอกเลยว่างานนี้ไม่ง่ายนะ เพราะต้องเอาบทประพันธ์มาเล่าใหม่ให้เข้ากับสไตล์ละครทีวี ดนยาทำได้ปังมาก ฉากปะทะคารมระหว่างรีน่ากับกรณ์นี่คือเดือดสุดๆ ส่วนฉากหวานๆ ก็คือฟินจนอยากจิกหมอน เธอใส่ความเข้มข้นให้ทุกตอนแบบไม่ให้เรากดข้ามได้เลย แล้วที่ชอบสุดคือบทพูดที่คมคาย โดยเฉพาะประโยคที่ว่า “ความมืดขับไล่ความมืดไม่ได้ มีแต่แสงสว่างเท่านั้นที่ทำได้” อื้อหือ! ลึกซึ้งจนต้องจดไว้เลย 😍
กำกับการแสดงโดย โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์

มาถึงพี่ โอ๊ต วรวุฒิ นิยมทรัพย์ ผู้กำกับที่เป็นเหมือนกัปตันเรือของละครเรื่องนี้ โอ๊ตคือคนที่ทำให้ทุกฉากมีชีวิตชีวา ไม่ว่าจะเป็นฉากดราม่าที่รีน่าร้องไห้เสียใจ หรือฉากที่กรณ์โชว์ความเท่ปกป้องรีน่า งานภาพคือสวยปังทุกช็อต โดยเฉพาะฉากที่ถ่ายในต่างประเทศนี่คือตื่นตาตื่นใจมากกก โอ๊ตเค้าคุมโทนเรื่องได้ดีสุดๆ ทำให้เรารู้สึกเหมือนอยู่ในโลกของตัวละคร อารมณ์พุ่งทุกฉาก แล้วการกำกับนักแสดงก็คือเป๊ะ หมากกับโบว์เล่นได้อินจนเราน้ำตาไหลตาม ชื่นชมเลยยย 🎬
ดำเนินงานสร้างโดย นก จริยา แอนโฟเน

ต่อด้วย นก จริยา แอนโฟเน โปรดิวเซอร์ตัวแม่ที่เป็นหัวเรือใหญ่ในการปั้นละครเรื่องนี้ นกคือคนที่คอยจัดการทุกอย่างให้ลงตัว ตั้งแต่การคัดเลือกนักแสดง การวางแผนถ่ายทำ ไปจนถึงทำให้แน่ใจว่าโปรเจกต์นี้ปังเป๊ะ การที่ได้ทีมนักแสดงอย่างหมาก-ปริญ, โบว์-เมลดา, ฉัตรชัย เปล่งพานิช, และภพธร มาร่วมงานกันนี่คือสุดยอด นกเลือกคนได้เข้ากับบทมากๆ แล้วยังคุมงบ คุมเวลาให้ทุกอย่างออกมาดีแบบไม่มีสะดุด ต้องยกนิ้วให้เลย 🙌
ผลิตโดย บริษัท เมกเกอร์ เจ กรุ๊ป จำกัด
สุดท้ายคือ เมกเกอร์ เจ กรุ๊ป ค่ายที่อยู่เบื้องหลังการผลิตละครคุณภาพคับจอ ค่ายนี้เค้าขึ้นชื่อเรื่องการทำละครที่ทั้งสนุกและมีมาตรฐานสูงอยู่แล้ว ดูจากงานภาพ งานโปรดักชัน ดนตรีประกอบที่เข้ากับทุกฉาก คือรู้เลยว่าเมกเกอร์ เจ เค้าใส่ใจทุกรายละเอียด การที่ละครเรื่องนี้มีทั้งความดราม่า ความฟิน และงานภาพสวยๆ นี่คือฝีมือของค่ายนี้เลย ปังสมชื่อจริงๆ 🎥
บอกเลยว่าทีมงานชุดนี้คือสุดยอด ปิยะพรเขียนเรื่องได้ลึกซึ้ง ดนยาแปลงบทได้แซ่บ โอ๊ตกำกับได้ปัง นกคุมงานได้เป๊ะ แล้วเมกเกอร์ เจ ก็คือการันตีคุณภาพ ละคร ใต้เงาตะวัน เลยออกมาเป็นงานที่ครบรส มีทั้งลุ้น ดราม่า ซึ้ง และหวาน ดูแล้วคืออินสุดๆ อยากปรบมือให้ทีมงานทุกคนเลย 👏 ถ้าจะให้คะแนนทีมงานนี้ ต้องให้ 9/10 ไปเลยยย (หักนิดนึงเพราะบางตอนยืดไปหน่อย แต่โดยรวมคือปังมาก)
นักแสดง
→ ปริญ สุภารัตน์ รับบท กรณ์ เชิญอิสราชัย

กรณ์ คือลูกชายคนเล็กของตระกูลเชิญอิสราชัย หนุ่มสุดห่ามที่ถูกมองว่าเป็น แกะดำ ของบ้าน ด้วยความที่เขาเลือดร้อน ขวางโลก และชอบแหกกฎ ทำให้ เกียรติ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พ่อของเขาถึงกับส่งไปเรียนเมืองนอกเพราะรับมือไม่ไหว กรณ์นี่เหมือนระเบิดเวลาที่พร้อมระเบิดทุกเมื่อ แต่บอกเลยว่าเบื้องหลังความเถื่อนคือหัวใจที่มุ่งมั่นและซื่อสัตย์สุดๆ ในละคร กรณ์ต้องมาร่วมมือกับ รีน่า (โบว์-เมลดา) เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของ ฉาย พ่อของรีน่า และนี่แหละที่ทำให้เราได้เห็นตัวตนที่แท้จริงของเขา
คาแร็คเตอร์ของกรณ์คือแบบ… จากหนุ่มกวนๆ ที่ดูเหมือนไม่เอาอะไรเลย กลายเป็นคนที่พร้อมทุ่มสุดตัวเพื่อปกป้องคนที่รัก การพัฒนาของเขาคือปังมาก จากคนที่ทุกคนมองว่าไร้ค่า กลายเป็นฮีโร่ที่ทำให้ใจฟูสุดๆ การแสดงของหมากในบทนี้คือสุดยอด เล่นได้ทั้งกวน ทั้งเท่ และซึ้งจนอยากจิกหมอน
ฉายาของกรณ์ “แกะดำหัวใจทอง”
เพราะถึงเขาจะดูเป็นตัวปัญหาในสายตาครอบครัว แต่ลึกๆ แล้วกรณ์คือคนที่พร้อมยืนหยัดเพื่อความถูกต้องและคนที่เขารัก เขาอาจจะดูเถื่อนๆ แต่หัวใจนี่คืออบอุ่นและจริงใจสุดๆ บอกเลยว่าฉายานี้คือเป๊ะ
ข้อคิดจากกรณ์ อย่าตัดสินคนจากภายนอก
ข้อคิดที่ได้จากกรณ์คือ อย่าตัดสินคนจากเปลือกนอก ทุกคนมองว่าเขาเป็นแค่แกะดำที่ไม่เอาไหน แต่พอเรื่องราวคลายปม เราเห็นว่าเขามีเหตุผลของตัวเองในการทำอะไรที่ดูแหกคอก มันสอนให้เรามองคนให้ลึกกว่านั้น ทุกคนมีเรื่องราวและความดีที่ซ่อนอยู่ในตัว กรณ์ทำให้เราคิดได้ว่า บางทีคนที่ดูไม่สมบูรณ์แบบอาจจะมีอะไรเจ๋งๆ ซ่อนอยู่ก็ได้
→ เมลดา สุศรี รับบท ปารีณา หรือ รีน่า

รีน่า หรือ ปารีณา คือสาวสวยสุดเพอร์เฟกต์ที่มีชีวิตดี๊ดี มีครอบครัวอบอุ่น โดยเฉพาะ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) พ่อของเธอที่เปรียบเสมือนดวงตะวันในชีวิต แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อฉายเสียชีวิตแบบมีเงื่อนงำ รีน่าจึงต้องลุกขึ้นสู้เพื่อค้นหาความจริงว่าเกิดอะไรขึ้นกับพ่อของเธอ เธอต้องร่วมมือกับ กรณ์ (หมาก-ปริญ สุภารัตน์) หนุ่มแกะดำที่เริ่มจากไม่ถูกชะตากันเลย แต่การเดินทางครั้งนี้ทำให้รีน่าได้แสดงความเข้มแข็งและหัวใจที่ไม่ยอมแพ้
คาแร็คเตอร์ของรีน่าคือสาวที่ทั้งเปราะบางและแข็งแกร่งในเวลาเดียวกัน เธอเริ่มจากสาวที่เหมือนจะมีทุกอย่าง แต่เมื่อเจอจุดเปลี่ยนในชีวิต เธอก็กลายเป็นนักสู้ที่พร้อมเผชิญหน้ากับความจริง โบว์-เมลดา เล่นบทนี้ได้แบบตีบทแตกเลยนะ ฉากที่รีน่าร้องไห้เสียใจหรือตอนที่เธอยืนหยัดสู้เพื่อพ่อคือน้ำตาไหลตามเลย
ฉายาของรีน่า “สาวแกร่งหัวใจแสงตะวัน”
เพราะเธอคือคนที่ไม่ยอมให้ความมืดในชีวิตมาทำลายความหวังได้ แม้จะเจอความสูญเสียและความจริงที่เจ็บปวด แต่รีน่าก็ยังคงส่องแสงด้วยความมุ่งมั่นและความรักที่มีต่อครอบครัว ฉายานี้คือลงตัวสุดๆ
ข้อคิดจากรีน่า ความจริงอาจเจ็บปวด แต่ต้องกล้าเผชิญ
ข้อคิดที่ได้จากรีน่าคือ ความจริงอาจเจ็บปวด แต่การเผชิญหน้ากับมันคือหนทางสู่ความเข้มแข็ง รีน่าต้องเจอกับความจริงที่ว่าพ่อของเธออาจไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่คิด แต่แทนที่จะยอมแพ้ เธอเลือกที่จะสู้เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของพ่อ มันสอนให้เราเห็นว่าการยอมรับความจริงและก้าวต่อไปคือสิ่งที่ทำให้เราเติบโต
→ ภพธร สุนทรญาณกิจ รับบท กานต์ เชิญอิสราชัย

กานต์ คือลูกชายคนโตของตระกูลเชิญอิสราชัย ผู้ชายที่ดูเหมือนจะ เพอร์เฟกต์ สุดๆ เป็นสุภาพบุรุษ หล่อ ฉลาด และเป็นความหวังของตระกูลที่ เกียรติ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) พ่อของเขาฝากฝังไว้ให้ดูแลธุรกิจครอบครัว ในละคร กานต์คือคนที่คอยสนับสนุน รีน่า (โบว์-เมลดา) ในตอนที่เธอสูญเสีย ฉาย พ่อของเธอ และดูเหมือนจะเป็นพี่ชายที่แสนดี แต่… เดี๋ยวก่อนนะ เพราะกานต์มีด้านที่ซ่อนอยู่ เมื่อเรื่องราวดำเนินไป เราเริ่มเห็นว่าเขาแบกรับความกดดันจากครอบครัวและมีความลับที่ทำให้เราต้องอ้าปากค้าง
คาแร็คเตอร์ของกานต์คือแบบ… เริ่มจากผู้ชายที่ดูดีเลิศ แต่ค่อยๆ เผยด้านที่ไม่สมบูรณ์แบบ ทำให้เรารู้สึกทั้งเห็นใจและช็อกในเวลาเดียวกัน ภพธรเล่นบทนี้ได้แบบสุดยอดเลยนะ ฉากที่กานต์ต้องเผชิญหน้ากับความผิดพลาดของตัวเองคือทั้งลึกซึ้งและสะเทือนใจมาก
ฉายาของกานต์ “สุภาพบุรุษหน้ากากทอง”
เพราะเขาดูเหมือนเป็นคนที่สมบูรณ์แบบในสายตาคนอื่น แต่เบื้องหลังหน้ากากนั้นคือความกดดันและความลับที่เขาต้องแบกรับ ฉายานี้คือเป๊ะเลย เพราะมันสะท้อนทั้งความดีและด้านมืดของเขา
ข้อคิดจากกานต์ ความสมบูรณ์แบบอาจเป็นแค่ภาพลวง
ข้อคิดที่ได้จากกานต์คือ ความสมบูรณ์แบบอาจเป็นแค่ภาพลวงที่กดดันเรา กานต์พยายามเป็นลูกชายที่สมบูรณ์แบบเพื่อครอบครัว แต่สุดท้ายความกดดันนั้นทำให้เขาต้องซ่อนความจริงบางอย่างไว้ มันสอนให้เราเห็นว่าเราควรยอมรับตัวเองในแบบที่เป็น ไม่ต้องพยายามเป็นอะไรที่คนอื่นคาดหวัง เพราะการเป็นตัวเองคือสิ่งที่ทำให้เราเป็นอิสระ
→ ฉัตรชัย เปล่งพานิช รับบท เกียรติ เชิญอิสราชัย

เกียรติ คือหัวหน้าครอบครัวและประธานตระกูลเชิญอิสราชัย นักธุรกิจตัวท็อปที่ดูน่าเกรงขามและมีอำนาจเต็มมือ เขาคือพ่อของ กานต์ (ภพธร สุนทรญาณกิจ) และ กรณ์ (หมาก-ปริญ สุภารัตน์) แต่ความสัมพันธ์กับลูกๆ โดยเฉพาะกรณ์นี่คือตึงสุดๆ เพราะเกียรติมองว่ากรณ์เป็นแกะดำที่ทำให้ตระกูลเสียหน้า ในละคร เกียรติมีบทบาทสำคัญในปมปริศนาการตายของ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) ซึ่งทำให้เราเริ่มสงสัยว่าเขามีอะไรซ่อนอยู่รึเปล่า
คาแร็คเตอร์ของเกียรติคือคนที่ดูแข็งแกร่งและควบคุมทุกอย่างได้ แต่เมื่อเรื่องราวคลายปม เราเห็นด้านมืดที่ซ่อนอยู่ ทำให้รู้สึกทั้งเกรงกลัวและอยากรู้ว่าเขาจะลงเอยยังไง ฉัตรชัยเล่นบทนี้ได้แบบสุดยอดมาก ทุกสายตาและน้ำเสียงคือทรงพลัง ทำให้รู้สึกถึงความน่าเกรงขามของเกียรติได้เลย
ฉายาของเกียรติ “ราชาเงามืด”
เพราะเขาเหมือนราชาที่ควบคุมทุกอย่างในตระกูลเชิญอิสราชัย แต่เบื้องหลังอำนาจนั้นคือความลับและความมืดที่ค่อยๆ เผยออกมา ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนทั้งความยิ่งใหญ่และด้านที่ซ่อนอยู่ในตัวเขา
ข้อคิดจากเกียรติ อำนาจที่ไร้ความจริงใจนำไปสู่ความล่มสลาย
ข้อคิดที่ได้จากเกียรติคือ อำนาจที่ไร้ความจริงใจอาจนำไปสู่ความล่มสลาย เกียรติพยายามควบคุมทุกอย่างในครอบครัวและธุรกิจด้วยความเข้มงวด แต่การขาดความเข้าใจและความจริงใจต่อคนรอบข้างทำให้เขาต้องเผชิญผลลัพธ์ที่หนักหน่วง มันสอนให้เราเห็นว่าการใช้อำนาจโดยไม่คำนึงถึงความรู้สึกของผู้อื่นอาจนำไปสู่ความเสียหายในที่สุด
→ ศรุต วิจิตรานนท์ รับบท เกรียง เชิญอิสราชัย

เกรียง คือสมาชิกคนสำคัญของตระกูลเชิญอิสราชัย เป็นน้องชายของ เกียรติ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) และสามีของ วิลาวัณย์ (สโรชา วาทิตตพันธ์) รวมถึงเป็นพ่อของ กลิกา หรือ ก๋า (กุลฑีรา ยอดช่าง) ในละคร เกรียงเป็นตัวละครที่อยู่ในเงามืดของพี่ชายอย่างเกียรติ เขาไม่ค่อยได้เป็นจุดสนใจเท่ากับตัวละครหลักอย่าง กานต์ หรือ กรณ์ แต่มีบทบาทสำคัญในฐานะคนที่คอยสนับสนุนครอบครัวและบางครั้งก็เป็นตัวเชื่อมในความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตระกูล
คาแร็คเตอร์ของเกรียงคือคนที่ดูเงียบๆ สุขุม และพยายามรักษาความสมดุลในครอบครัว แม้ว่าเขาจะไม่ได้มีพลังอำนาจเท่าเกียรติ แต่ก็มีความสำคัญในฐานะคนที่คอยประคับประคองสถานการณ์ ศรุต วิจิตรานนท์ ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบเนียนมาก ทำให้เกรียงดูเป็นตัวละครที่มีความน่าเชื่อถือและอบอุ่นในแบบของเขา
ฉายาของเกรียง “เงาสงบแห่งตระกูล”
เพราะเขาเหมือนเงาที่คอยสนับสนุนครอบครัวอย่างเงียบๆ ไม่หวือหวา แต่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ทุกอย่างในตระกูลเชิญอิสราชัยไม่ล่มสลาย ฉายานี้สะท้อนความสุขุมและความมั่นคงของเขาได้ดีเลย
ข้อคิดจากเกรียง การสนับสนุนอย่างเงียบๆ มีพลังมากกว่าที่คิด
ข้อคิดที่ได้จากเกรียงคือ การสนับสนุนอย่างเงียบๆ มีพลังมากกว่าที่คิด เกรียงอาจไม่ใช่ตัวละครที่โดดเด่นหรือมีบทบาทใหญ่ แต่การที่เขาคอยเป็นกำลังใจและประสานความสัมพันธ์ในครอบครัวแสดงให้เห็นว่า บางครั้งการทำหน้าที่อย่างเงียบๆ ก็สามารถสร้างความแตกต่างได้ มันสอนให้เราเห็นคุณค่าของคนที่คอยอยู่เคียงข้าง แม้จะไม่ได้เป็นจุดสนใจ
→ กุลฑีรา ยอดช่าง รับบท กลิกา เชิญอิสราชัย หรือ ก๋า

ก๋า คือลูกสาวสุดเกรียนของ เกรียง (ศรุต วิจิตรานนท์) และ วิลาวัณย์ (สโรชา วาทิตตพันธ์) และเป็นลูกพี่ลูกน้องของ กรณ์ (หมาก-ปริญ) และ กานต์ (ภพธร สุนทรญาณกิจ) ในตระกูลเชิญอิสราชัย เธอคือสาวน้อยวัยรุ่นที่เปี่ยมไปด้วยพลัง มีความมั่นใจ และกล้าพูดกล้าทำ ไม่กลัวใครหน้าไหน ในละคร ก๋าคือคนที่มองเห็นด้านดีของกรณ์ และเป็นเหมือนเพื่อนซี้ที่คอยเชียร์และสนับสนุนเขา แถมยังแอบรู้ว่าเขามีใจให้ รีน่า (โบว์-เมลดา) อีกด้วย
คาแร็คเตอร์ของก๋าคือสาวน้อยที่ทั้งขี้เล่นและฉลาด เธอเหมือนลมพายุที่พัดเข้ามาเพิ่มความสนุกให้กับครอบครัวที่เต็มไปด้วยดราม่า กุลฑีราเล่นบทนี้ได้แบบปังสุดๆ ทำให้ก๋าดูเป็นตัวละครที่สดใสและน่ารักจนอยากมีน้องสาวแบบนี้เลย
ฉายาของก๋า “น้องสาวพายุจิ๋ว”
เพราะเธอเหมือนพายุลูกเล็กที่เต็มไปด้วยพลัง เกรียนๆ แซ่บๆ แต่ก็มีหัวใจที่อบอุ่นและคอยซัพพอร์ตคนรอบข้าง ฉายานี้คือลงตัวสุดๆ เพราะมันสะท้อนความป่วนและความน่ารักของก๋าได้ครบ
ข้อคิดจากก๋า ความจริงใจคือพลังที่เปลี่ยนใจคนได้
ข้อคิดที่ได้จากก๋าคือ ความจริงใจคือพลังที่เปลี่ยนใจคนได้ ก๋าเป็นคนเดียวในครอบครัวที่มองเห็นด้านดีของกรณ์ แม้ว่าทุกคนจะมองเขาเป็นแกะดำ เธอใช้ความจริงใจและความเชื่อมั่นในตัวพี่ชายเพื่อสนับสนุนเขา มันสอนให้เราเห็นว่าการมองคนด้วยใจที่เปิดกว้างและให้กำลังใจกันสามารถสร้างความแตกต่างได้จริงๆ
→ สโรชา วาทิตตพันธ์ รับบท วิลาวัณย์ เชิญอิสราชัย หรือ วิ

วิลาวัณย์ คือภรรยาของ เกรียง (ศรุต วิจิตรานนท์) และแม่ของ กลิกา หรือ ก๋า (กุลฑีรา ยอดช่าง) ในตระกูลเชิญอิสราชัย เธอเป็นผู้หญิงที่มีความสง่างาม อ่อนโยน แต่ก็แฝงไปด้วยความเข้มแข็งในฐานะแม่และสมาชิกของครอบครัวใหญ่ที่มีดราม่าไม่หยุดหย่อน ในละคร วิมักจะเป็นคนที่คอยประคองความสัมพันธ์ในครอบครัว โดยเฉพาะกับลูกสาวสุดเกรียนอย่างก๋า และยังมีบทบาทในการสนับสนุนสามีให้ยืนหยัดท่ามกลางความขัดแย้งในตระกูล
คาแร็คเตอร์ของวิคือคุณแม่ที่ทั้งอบอุ่นและหนักแน่น เธอไม่ได้เด่นในแบบที่หวือหวา แต่เป็นเหมือนเสาหลักที่คอยพยุงครอบครัวให้ผ่านพ้นวิกฤต สโรชา วาทิตตพันธ์ ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบเนียนสุดๆ ทำให้วิดูเป็นตัวละครที่ทั้งน่าเคารพและน่ารักในเวลาเดียวกัน
ฉายาของวิ “คุณแม่ใจแกร่ง”
เพราะเธอคือผู้หญิงที่ยืนหยัดเคียงข้างครอบครัวด้วยหัวใจที่แข็งแกร่ง แม้จะต้องเผชิญกับความตึงเครียดในตระกูลเชิญอิสราชัย เธอก็ยังคงความอ่อนโยนและความรักที่มีต่อลูกและสามีไว้ได้ ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันแสดงถึงความสมดุลระหว่างความเข้มแข็งและความอบอุ่นของเธอ
ข้อคิดจากวิ ความรักในครอบครัวคือพลังที่ยิ่งใหญ่
ข้อคิดที่ได้จากวิคือ ความรักในครอบครัวคือพลังที่ยิ่งใหญ่ วิลาวัณย์แสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะเจอสถานการณ์ยากลำบากแค่ไหน ความรักและความเข้าใจที่มอบให้ครอบครัวสามารถช่วยพยุงทุกคนให้ผ่านพ้นไปได้ มันสอนให้เราเห็นคุณค่าของการเป็นที่พึ่งให้คนที่เรารัก แม้ในยามที่ทุกอย่างดูวุ่นวาย
→ เจสสิก้า ภาสะพันธ์ุ รับบท จิ๊ด

จิ๊ด หรือชื่อเต็ม จีรณา เป็นเพื่อนสนิทของ กรณ์ (หมาก-ปริญ สุภารัตน์) ที่โผล่มาในช่วงที่เรื่องราวกำลังเข้มข้น เธอเป็นสาวมั่นที่มีความเปรี้ยวและความมั่นใจเต็มเปี่ยม ในละคร จิ๊ดปรากฏตัวตอนที่กรณ์และ รีน่า (โบว์-เมลดา สุศรี) เดินทางไปต่างประเทศเพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) ความสนิทสนมของจิ๊ดกับกรณ์ทำให้รีน่ารู้สึกหมั่นไส้และเกิดความเข้าใจผิดเล็กๆ ซึ่งเพิ่มความสนุกและดราม่าให้กับเรื่องราว
คาแร็คเตอร์ของจิ๊ดคือสาวที่มีพลังงานล้นเหลือ กล้าแสดงออก และมีเสน่ห์ในแบบที่ทำให้คนต้องหันมอง เธอเหมือนเป็นตัวแปรที่เข้ามากระตุ้นความรู้สึกของตัวละครหลักอย่างกรณ์และรีน่า เจสสิก้า ภาสะพันธุ์ ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบปังมาก ทำให้จิ๊ดดูเป็นตัวละครที่มีชีวิตชีวาและน่าจดจำ
ฉายาของจิ๊ด “สาวเปรี้ยวพลังล้น”
เพราะเธอคือสาวที่มาพร้อมความมั่นใจและพลังงานที่ทำให้ทุกฉากที่เธออยู่มีชีวิตชีวา แถมความสนิทกับกรณ์ยังทำให้เกิดโมเมนต์ที่แซ่บและน่าติดตาม ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนความเปรี้ยวและความโดดเด่นของเธอได้ครบ
ข้อคิดจากจิ๊ด ความมั่นใจคืออาวุธลับที่ทรงพลัง
ข้อคิดที่ได้จากจิ๊ดคือ ความมั่นใจคืออาวุธลับที่ทรงพลัง จิ๊ดแสดงให้เห็นว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน การมีความมั่นใจในตัวเองและกล้าแสดงออกสามารถทำให้เราดึงดูดความสนใจและสร้างผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ มันสอนให้เราเห็นว่าการเชื่อมั่นในตัวเองคือกุญแจสำคัญในการเผชิญหน้ากับทุกความท้าทาย
→ ดวงตา ตุงคะมณี รับบท กมลาสน์ เชิญอิสราชัย

กมลาสน์ คือพี่สาวคนโตของตระกูลเชิญอิสราชัย เป็นพี่สาวของ เกียรติ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) และ เกรียง (ศรุต วิจิตรานนท์) เธอคือผู้หญิงที่ทั้งสง่างามและเฉียบขาด มีบทบาทเหมือนผู้ปกครองที่คอยดูแลความสมดุลในครอบครัวที่มีดราม่าไม่หยุดหย่อน ในละคร กมลาสน์เป็นคนที่เห็นคุณค่าของความดีที่ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) ทำเพื่อบริษัท แม้ว่าจะมีเรื่องราวความผิดพลาดของเขาถูกเปิดเผย เธอพยายามปกป้องชื่อเสียงของครอบครัวและเป็นคนที่คอยไกล่เกลี่ยความขัดแย้ง
คาแร็คเตอร์ของกมลาสน์คือป้าใหญ่ที่มีความน่าเกรงขามแต่ก็แฝงด้วยความเมตตา เธอเหมือนเป็นกาวใจที่ช่วยยึดครอบครัวไว้ท่ามกลางความวุ่นวาย ดวงตา ตุงคะมณี ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบสุดยอดเลยนะ ทำให้กมลาสน์ดูเป็นตัวละครที่มีพลังและความอบอุ่นในเวลาเดียวกัน
ฉายาของกมลาสน์ “ป้าใหญ่ใจกว้าง”
เพราะเธอคือพี่สาวคนโตที่ทั้งเข้มแข็งและมีเมตตา คอยดูแลครอบครัวด้วยใจที่เปิดกว้าง แม้ในยามที่ทุกอย่างดูยุ่งเหยิง ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนทั้งความเป็นผู้นำและความใจดีของเธอ
ข้อคิดจากกมลาสน์ การให้อภัยคือพลังที่รักษาครอบครัว
ข้อคิดที่ได้จากกมลาสน์คือ การให้อภัยคือพลังที่รักษาครอบครัว เธอเลือกที่จะมองเห็นความดีของฉายและปกป้องชื่อเสียงของเขา แม้ว่าจะรู้ความผิดพลาดของเขา มันสอนให้เราเห็นว่าการให้อภัยและการมองข้ามข้อบกพร่องของคนในครอบครัวสามารถช่วยรักษาความสัมพันธ์ให้คงอยู่ได้
→ ศานติ สันติเวชชกุล รับบท ฉาย

ฉาย คือพ่อของ ปารีณา หรือ รีน่า (โบว์-เมลดา สุศรี) และเป็นมือขวาคนสำคัญของ เกียรติ (ฉัตรชัย เปล่งพานิช) ในตระกูลเชิญอิสราชัย เขาเป็นเหมือนดวงตะวันของครอบครัว เป็นที่รักและได้รับความเคารพจากทุกคน โดยเฉพาะรีน่าที่มองเขาเป็นแบบอย่าง แต่เรื่องราวกลับพลิกผันเมื่อฉายเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยปริศนาที่ทำให้รีน่าต้องออกตามหาความจริง การตายของฉายกลายเป็นจุดเริ่มต้นของดราม่าและความลับที่ค่อยๆ เผยออกมา ทำให้เราได้เห็นว่าแม้แต่คนที่ดูสมบูรณ์แบบอย่างฉายก็มีด้านที่ไม่สมบูรณ์
คาแร็คเตอร์ของฉายคือพ่อที่ทั้งอบอุ่นและน่าเกรงขาม แต่เมื่อเรื่องราวคลายปม เราเห็นว่าเขามีความซับซ้อนมากกว่าที่คิด ศานติ สันติเวชชกุล ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบสุดยอดเลยนะ ทำให้ฉายดูเป็นตัวละครที่มีพลังและน่าจดจำ แม้ว่าจะปรากฏตัวในช่วงต้นเรื่องเป็นส่วนใหญ่
ฉายาของฉาย “ดวงตะวันแห่งความลับ”
เพราะเขาเหมือนแสงสว่างที่ส่องนำทางให้รีน่าและครอบครัว แต่ก็มีด้านมืดและความลับที่ซ่อนอยู่ ซึ่งกลายเป็นปมสำคัญของเรื่อง ฉายานี้คือลงตัวสุดๆ เพราะมันสะท้อนทั้งความยิ่งใหญ่และความลึกลับของเขา
ข้อคิดจากฉาย ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ
ข้อคิดที่ได้จากฉายคือ ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่คนที่เรารักที่สุด การที่รีน่าค้นพบความจริงเกี่ยวกับพ่อของเธอสอนให้เราเห็นว่า แม้คนที่เรามองว่าเป็นฮีโร่ก็อาจมีข้อผิดพลาด มันทำให้เราเรียนรู้ที่จะยอมรับและรักคนในแบบที่เขาเป็น โดยไม่คาดหวังความสมบูรณ์แบบ
→ ขวัญฤดี กลมกล่อม รับบท รจนา

รจนา คือแม่ของ ปารีณา หรือ รีน่า (โบว์-เมลดา สุศรี) และภรรยาของ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) เธอเป็นผู้หญิงที่อบอุ่น อ่อนโยน และเป็นศูนย์กลางของครอบครัวที่เต็มไปด้วยความรัก แต่เมื่อฉายเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยปริศนาในละคร รจนาต้องเผชิญกับความสูญเสียครั้งใหญ่ที่ทำให้หัวใจของเธอแตกสลาย เธอพยายามทำใจและสนับสนุนรีน่าในการค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของสามี แม้ว่าตัวเองจะยังจมอยู่กับความโศกเศร้า
คาแร็คเตอร์ของรจนาคือคุณแม่ที่ทั้งเข้มแข็งและเปราะบาง เธอเป็นตัวแทนของความรักที่ไม่มีเงื่อนไขต่อครอบครัว ขวัญฤดี กลมกล่อม ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบสุดยอดเลยนะ ฉากที่รจนาร้องไห้หรือพยายามเข้มแข็งเพื่อลูกสาวคือทำให้เราน้ำตาคลอตามเลย
ฉายาของรจนา “คุณแม่หัวใจแสงจันทร์”
เพราะเธอเหมือนแสงจันทร์ที่ส่องสว่างให้ครอบครัวในยามมืดมิด แม้จะเจ็บปวดจากความสูญเสีย เธอก็ยังคงมอบความรักและกำลังใจให้รีน่า ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนความอ่อนโยนและความเข้มแข็งของเธอ
ข้อคิดจากรจนา ความรักของแม่คือพลังที่ยิ่งใหญ่
ข้อคิดที่ได้จากรจนาคือ ความรักของแม่คือพลังที่ยิ่งใหญ่ แม้ว่ารจนาจะต้องเผชิญกับความโศกเศร้าจากการสูญเสียสามี แต่เธอก็ยังคงเป็นที่พึ่งให้รีน่าและพยายามปกป้องครอบครัว มันสอนให้เราเห็นว่าความรักที่ไม่มีเงื่อนไขจากแม่สามารถเป็นแรงผลักดันให้เราก้าวผ่านความยากลำบากได้
→ นาตาชา จุลานนท์ รับบท มิกิ

มิกิ เป็นตัวละครที่ปรากฏตัวในช่วงที่เรื่องราวกำลังเข้มข้น เธอคือสาวสวยที่มีความมั่นใจและเสน่ห์แพรวพราว ในละคร เธอมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ เกรียง (ศรุต วิจิตรานนท์) ซึ่งทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัวเชิญอิสราชัย โดยเฉพาะกับ กลิกา หรือ ก๋า (กุลฑีรา ยอดช่าง) ลูกสาวของเกรียงที่ไม่พอใจพฤติกรรมของพ่อและมิกิสุดๆ มิกิเข้ามาเป็นเหมือนตัวจุดชนวนที่ทำให้ดราม่าครอบครัวยิ่งปะทุ โดยเฉพาะในงานเลี้ยงที่ก๋าโกรธพ่อจนทะเลาะกันกลางงาน
คาแร็คเตอร์ของมิกิคือสาวที่มีความเปรี้ยวและกล้าแสดงออก เธอไม่กลัวที่จะเป็นตัวของตัวเอง แม้ว่าจะทำให้คนอื่นไม่พอใจ นาตาชา จุลานนท์ ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบปังมาก ทำให้มิกิดูเป็นตัวละครที่ทั้งน่าหมั่นไส้และน่าสนใจในเวลาเดียวกัน
ฉายาของมิกิ “สาวแซ่บจุดเดือด”
เพราะเธอเหมือนระเบิดที่เข้ามาทำให้ครอบครัวเชิญอิสราชัยปั่นป่วน ด้วยความมั่นใจและสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร เธอสร้างโมเมนต์ที่ทำให้ทุกคนต้องจับตาดู ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนความแซ่บและพลังงานของเธอ
ข้อคิดจากมิกิ การเป็นตัวเองต้องรับผลที่ตามมา
ข้อคิดที่ได้จากมิกิคือ การเป็นตัวเองต้องพร้อมรับผลที่ตามมา มิกิเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่เธอต้องการ แต่การกระทำของเธอก็ทำให้เกิดความขัดแย้งในครอบครัว มันสอนให้เราเห็นว่า การยืนหยัดในสิ่งที่เราเป็นนั้นสำคัญ แต่ก็ต้องคำนึงถึงผลกระทบต่อคนรอบข้างด้วย
→ สุปราณี เจริญผล รับบท เจน อเล็กซานเดอร์

เจน อเล็กซานเดอร์ เป็นแม่ของ วิคตอเรีย หรือ วิกกี้ (กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์) และเป็นตัวละครที่เข้ามาเพิ่มความปังในเรื่องราวของตระกูลเชิญอิสราชัย เธอเป็นผู้หญิงที่มีความมั่นใจ สง่างาม และมีสไตล์ที่ไม่เหมือนใคร ในละคร เจนปรากฏตัวในฐานะตัวละครรับเชิญที่เชื่อมโยงกับปมลับในอดีตของครอบครัว โดยเฉพาะความสัมพันธ์กับ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) และปริศนาการตายของเขา เธอเป็นเหมือนตัวแปรที่ทำให้เรื่องราวยิ่งซับซ้อนและน่าติดตาม
คาแร็คเตอร์ของเจนคือคุณแม่ที่ทั้งสวยและเฉียบ เธอมีออร่าที่ทำให้ทุกคนต้องหันมอง แต่ก็แฝงด้วยความลึกลับที่ทำให้เราอยากรู้ว่าเธอซ่อนอะไรไว้ สุปราณี เจริญผล ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบปังสุดๆ ด้วยลุคที่ดูแพงและการแสดงที่ทำให้เจนดูมีมิติ ทั้งน่าเกรงขามและน่าค้นหา
ฉายาของเจน “คุณแม่ปริศนาแห่งความปัง”
เพราะเธอคือคุณแม่ที่ทั้งสวย เก๋ และมาพร้อมความลับที่ทำให้ทุกคนต้องจับตาดู ทุกครั้งที่เจนปรากฏตัว เธอเหมือนขโมยซีนด้วยออร่าที่ไม่ธรรมดา ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนทั้งความสง่าและความลึกลับของเธอ
ข้อคิดจากเจน อดีตอาจซ่อนความจริงที่เปลี่ยนทุกอย่าง
ข้อคิดที่ได้จากเจนคือ อดีตอาจซ่อนความจริงที่เปลี่ยนทุกอย่าง การปรากฏตัวของเจนในละครทำให้เราเห็นว่าเรื่องราวในอดีตที่ถูกซ่อนไว้สามารถส่งผลกระทบต่อปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อ มันสอนให้เราเห็นว่าการเผชิญหน้ากับความจริงในอดีตอาจเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ไขปมในชีวิต
→ กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ รับบท วิคตอเรีย อเล็กซานเดอร์ หรือ วิกกี้

วิกกี้ หรือ วิคตอเรีย อเล็กซานเดอร์ เป็นลูกสาวของ เจน อเล็กซานเดอร์ (สุปราณี เจริญผล) เธอเป็นสาวน้อยที่มีความมั่นใจและมีสไตล์เป็นของตัวเอง ในละคร วิกกี้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวที่เชื่อมโยงกับปมลับในอดีตของครอบครัวเชิญอิสราชัย โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) และการสืบสวนของ รีน่า (โบว์-เมลดา สุศรี) และ กรณ์ (หมาก-ปริญ สุภารัตน์) เธออาจจะไม่ได้เป็นตัวละครหลัก แต่การปรากฏตัวของวิกกี้ช่วยเพิ่มมิติให้กับเรื่องราว โดยเฉพาะในช่วงที่เรื่องราวพาเราไปสืบหาความจริงในต่างประเทศ
คาแร็คเตอร์ของวิกกี้คือสาวน้อยที่ทั้งน่ารักและมีความลับนิดๆ เธอมีพลังงานที่สดใสและมักจะนำความมีชีวิตชีวามาให้กับฉากที่เธออยู่ กรณ์นภัส เศรษฐรัตนพงศ์ เล่นบทนี้ได้แบบลงตัวสุดๆ ทำให้วิกกี้ดูเป็นตัวละครที่น่าจดจำและมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง
ฉายาของวิกกี้ “สาวน้อยปริศนาน่ารัก”
เพราะเธอคือสาวน้อยที่มีความน่ารัก สดใส แต่ก็แฝงด้วยความลับที่ทำให้เราอยากรู้ว่าเธอมีบทบาทอะไรในปมใหญ่ของเรื่อง ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนทั้งความน่ารักและความลึกลับของเธอ
ข้อคิดจากวิกกี้ ความสดใสสามารถเปลี่ยนบรรยากาศได้
ข้อคิดที่ได้จากวิกกี้คือ ความสดใสสามารถเปลี่ยนบรรยากาศได้ ถึงแม้วิกกี้จะไม่ได้เป็นตัวละครหลัก แต่การปรากฏตัวของเธอด้วยพลังงานบวกและความมั่นใจช่วยสร้างความสมดุลให้กับเรื่องราวที่เต็มไปด้วยดราม่า มันสอนให้เราเห็นว่าการนำพลังงานดีๆ เข้ามาในสถานการณ์ที่ตึงเครียดสามารถทำให้ทุกอย่างดูดีขึ้นได้
→ วริษฐ์ ทิพโกมุท รับบท พิษณุ

พิษณุ เป็นตัวละครที่โผล่มาในช่วงที่เรื่องราวกำลังเข้มข้น เขาเป็นหนุ่มที่มีความลึกลับและมีบทบาทสำคัญในปมดราม่าของตระกูลเชิญอิสราชัย ในละคร พิษณุมีความเกี่ยวข้องกับ กรณ์ (หมาก-ปริญ สุภารัตน์) และ รีน่า (โบว์-เมลดา สุศรี) ในการสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) เขาเป็นเหมือนตัวละครที่เข้ามาเพิ่มความตื่นเต้นและความไม่แน่นอนให้กับเรื่องราว ด้วยบุคลิกที่ดูนิ่งแต่แฝงไปด้วยความอันตราย
คาแร็คเตอร์ของพิษณุคือหนุ่มที่ทั้งเจ้าเล่ห์และมีเสน่ห์ในแบบที่ทำให้เราต้องระวังตัว เขาเหมือนลมที่พัดมาแล้วหายไป แต่ทิ้งรอยไว้ให้คนจดจำ ต๊ะ-วริษฐ์ ถ่ายทอดบทนี้ได้แบบปังมาก ทำให้พิษณุดูเป็นตัวละครที่ทั้งน่าค้นหาและน่ากลัวในเวลาเดียวกัน
ฉายาของพิษณุ “เงาลึกลับแห่งดราม่า”
เพราะเขาเหมือนเงาที่โผล่มาในช่วงเวลาสำคัญ นำความเปลี่ยนแปลงและความตื่นเต้นมาสู่เรื่องราว ฉายานี้คือเหมาะสุดๆ เพราะมันสะท้อนความลึกลับและความสำคัญของเขาในละคร
ข้อคิดจากพิษณุ ความลับอาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง
ข้อคิดที่ได้จากพิษณุคือ ความลับอาจนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลง การปรากฏตัวของพิษณุในละครทำให้เราเห็นว่าความลับที่ถูกซ่อนไว้อาจเปลี่ยนทิศทางของเรื่องราวได้อย่างไม่คาดคิด มันสอนให้เราเห็นว่าการเผชิญหน้ากับความจริง แม้จะยากลำบาก ก็อาจเป็นกุญแจสู่การแก้ไขปัญหา
→ ฑาริกา อินสุวรรณ์ รับบท เนตร

ตัวละครที่มาในบทบาทเลขานุการสุดแซ่บของตระกูลเชิญอิสราชัย เธอเป็นสาวที่มีความมั่นใจ ฉลาด และมีเล่ห์เหลี่ยมในการทำงาน เรียกได้ว่าเป็นคนที่รู้ทุกซอกทุกมุมของบริษัทเลยล่ะ เนตรมีนิสัยเจ้าแผนการ ชอบวางหมากในเกมธุรกิจ และบางครั้งก็ดูเหมือนจะมีวาระซ่อนเร้นบางอย่างที่ทำให้คนดูต้องลุ้นว่าเธอจะทำอะไรต่อไป ด้วยลุคที่ดูเป็นสาวทำงานเก่ง มีสไตล์ และสายตาคมๆ ที่สื่อถึงความลึกลับ เนตรเลยกลายเป็นตัวละครที่คนดูทั้งรักทั้งหมั่นไส้ในเวลาเดียวกัน จากบทสัมภาษณ์ในสื่อ บอกเลยว่าเนตรเป็นตัวละครที่ทำให้คนดูถึงกับอยาก “จิกขยุม” เพราะความแซ่บและความร้ายนิดๆ ที่มายด์ถ่ายทอดออกมาได้ปังสุดๆ
ฉายาของเนตร “เลขาแซ่บแห่งเงาตะวัน”
เพราะเนตรไม่ใช่แค่เลขานุการธรรมดา เธอคือคนที่รู้ทุกอย่าง ควบคุมทุกสถานการณ์ และมีออร่าความแซ่บที่ทำให้ทุกคนต้องจับตา ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตัวเป๊ะปัง หรือการวางตัวที่ดูมีชั้นเชิง เนตรคือตัวละครที่มาเพื่อขโมยซีนและทำให้เรื่องราวเข้มข้นขึ้นไปอีก
ข้อคิดจากตัวละครเนตร “ความฉลาดและความมั่นใจคืออาวุธที่ทรงพลัง แต่ต้องใช้ให้ถูกทาง”
เนตรสอนเราว่าการมีความมั่นใจในตัวเองและใช้ความฉลาดในการทำงานหรือแก้ปัญหานั้นเป็นสิ่งที่ดีมากๆ แต่ถ้าเราใช้ความสามารถเหล่านี้ในทางที่ไม่ถูกต้องหรือมีเจตนาแอบแฝง อาจจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่ดีนัก ตัวละครเนตรทำให้เราเห็นว่าในโลกของการทำงานและความสัมพันธ์ การเลือกใช้ความสามารถของตัวเองอย่างมีจริยธรรมจะช่วยให้เราไปได้ไกลและยั่งยืนกว่าการเล่นเกมที่อาจทำร้ายคนอื่น
→ จักรพันธ์ จันโอ รับบท ซาเล้ง
เขาเป็นตัวละครที่อยู่ในวงโคจรของตระกูลเชิญอิสราชัย ครอบครัวที่เต็มไปด้วยดราม่าและความลับ ซาเล้งไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่เป็นเหมือนลมใต้ปีกที่คอยเพิ่มความตื่นเต้นให้กับเรื่องราว ตัวตนของเขาเหมือนคนธรรมดาๆ ที่อยู่ในโลกของคนรวยและอำนาจ แต่ก็มีมุมที่ทำให้เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนจริงใจและมีอะไรให้ค้นหามากกว่าที่เห็น
จากข้อมูลที่ได้ ซาเล้งในละคร ใต้เงาตะวัน มีบทบาทที่อาจจะดูเป็นตัวละครข้างเคียง แต่เขาก็มีส่วนช่วยขับเคลื่อนเรื่องราวในบางฉาก โดยเฉพาะในแง่ของการเชื่อมโยงตัวละครอื่นๆ เขาเป็นคนที่ดูเหมือนจะรู้เรื่องราวในวงในบางอย่าง และอาจมีส่วนช่วยให้ตัวละครหลักอย่างกรณ์และรีน่าสืบหาความจริงเกี่ยวกับการตายของฉายได้ ซาเล้งมีคาแร็คเตอร์ที่ดูเป็นคนง่ายๆ แต่แฝงด้วยความซื่อสัตย์และความเป็นเพื่อนที่ดี ซึ่งทำให้คนดูรู้สึกเอ็นดู
ฉายา “เงียบแต่แซ่บ”
เพราะซาเล้งเนี่ย ถึงจะไม่ได้เป็นตัวเด่น แต่เขาก็มีโมเมนต์ที่แอบขโมยซีนได้แบบเงียบๆ นะทุกคน เหมือนคนที่ดูธรรมดาแต่พอถึงจังหวะสำคัญ เขาจะมีอะไรเด็ดๆ มาฝาก อาจจะเป็นคำพูดหรือการกระทำที่ทำให้คนดูต้องหันมามอง เรียกว่ามีความแซ่บแบบไม่ต้องตะโกนให้โลกรู้
ข้อคิด ความจริงใจคือพลังที่มองข้ามไม่ได้
จากตัวละครซาเล้ง เราได้ข้อคิดว่าไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ไหน ความจริงใจและการยืนหยัดในสิ่งที่ถูกต้องมันสำคัญมากๆ ซาเล้งอาจจะไม่ได้มีอำนาจหรือตำแหน่งใหญ่โตในตระกูลเชิญอิสราชัย แต่ความเป็นคนธรรมดาที่จริงใจของเขาทำให้เขาเป็นที่จดจำ และบางทีคนตัวเล็กๆ แบบนี้นี่แหละที่ช่วยเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่างในเรื่องได้ ข้อคิดนี้สอนให้เรารู้ว่า ต่อให้เราไม่ได้เป็นคนสำคัญในสายตาคนอื่น แต่ถ้าเรายังคงซื่อสัตย์และจริงใจ มันจะมีพลังที่ส่งผลกระทบได้ไม่แพ้ใครเลย
→ ภาณุเดช วัฒนสุชาติ รับบท วิลล์

ตัวละครที่มาในบทบาทลึกลับและมีอิทธิพลในวงการธุรกิจของตระกูลเชิญอิสราชัย เขาเป็นเหมือนตัวละครที่โผล่มาในช่วงเวลาสำคัญ คอยเชื่อมโยงปมต่างๆ ในเรื่อง โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับความลับของ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) และการสืบหาความจริงของ กรณ์ (หมาก-ปริญ สุภารัตน์) กับ รีน่า (โบว์-เมลดา สุศรี) วิลล์มีบุคลิกที่ดูนิ่ง สุขุม แต่แฝงด้วยความเฉียบแหลมและความรู้ที่ทำให้รู้สึกว่าเขารู้มากกว่าที่เขาแสดงออกมา
คาแร็คเตอร์ของวิลล์เหมือนเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเงามืดของเรื่องราว มีความเป็นนักวางแผนและรู้ทันทุกอย่าง พี่ดุ๊กเล่นบทนี้ได้แบบเนียนสุดๆ ด้วยประสบการณ์การแสดงที่ยาวนาน ทำให้วิลล์ดูเป็นตัวละครที่ทั้งน่าเกรงขามและน่าค้นหา เห็นแล้วรู้สึกว่าเขาต้องมีอะไรซ่อนอยู่ในแววตาแน่นอน
ฉายาของวิลล์ “เงาสุขุมแห่งปริศนา”
เพราะเขาเหมือนเงาที่คอยเคลื่อนไหวในความมืดของเรื่องราว ดูนิ่งๆ แต่มีพลังและความลับที่ทำให้ทุกคนต้องจับตาดู ฉายานี้คือลงตัวสุดๆ เพราะมันสะท้อนความลึกลับและความน่าเคารพของเขาได้ครบ
ข้อคิดจากวิลล์ ความรู้ทันคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
ข้อคิดที่ได้จากวิลล์คือ ความรู้ทันคือกุญแจสู่ความสำเร็จ วิลล์แสดงให้เห็นว่าการเข้าใจสถานการณ์และรู้ทันความเคลื่อนไหวรอบตัวสามารถทำให้เราควบคุมสถานการณ์ได้ แม้ในวงการที่เต็มไปด้วยความขัดแย้ง มันสอนให้เรารู้ว่าการมีสติและความเฉลียวฉลาดในการตัดสินใจจะช่วยให้เราเดินหน้าได้อย่างมั่นคง
ข้อคิดดีๆ จากละคร ใต้เงาตะวัน 2566
1. ความจริงอาจเจ็บปวด แต่ต้องกล้าเผชิญ
ในเรื่อง รีน่าต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าพ่อของเธอ ฉาย (ศานติ สันติเวชชกุล) อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบอย่างที่เธอเชื่อ การที่เธอเลือกสู้เพื่อค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของพ่อสอนให้เราเห็นว่า การหนีจากความจริงอาจทำให้เราจมอยู่กับความเจ็บปวด แต่การเผชิญหน้ากับมันด้วยความกล้าจะช่วยให้เราเติบโตและเข้มแข็งขึ้น ข้อคิดนี้คือแบบ… ถ้าเจอปัญหาในชีวิต อย่ากลัวที่จะมองมันตรงๆ เพราะมันจะช่วยให้เราเดินหน้าต่อได้
2. ความรักและความจริงใจคือแสงสว่างในความมืด
ชื่อเรื่อง ใต้เงาตะวัน และประโยคเด็ดที่ว่า “ความมืดขับไล่ความมืดไม่ได้ มีแต่แสงสว่างเท่านั้นที่ทำได้” คือหัวใจของละครเลย เรื่องราวของกรณ์และรีน่าที่พัฒนาจากความขัดแย้งสู่ความรักแสดงให้เห็นว่า ความรักและความจริงใจสามารถเยียวยาความเจ็บปวดได้ ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวหรือความสัมพันธ์ ข้อคิดนี้คือแบบ… ไม่ว่าโลกจะมืดแค่ไหน ถ้าเรายังมีความรักและความจริงใจ มันจะเป็นแสงนำทางให้เราเสมอ
3. ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ แม้แต่คนที่เรารัก
ตัวละครอย่างฉายและ กานต์ (ภพธร สุนทรญาณกิจ) ทำให้เราเห็นว่า แม้แต่คนที่ดูดีเลิศในสายตาคนอื่นก็มีข้อบกพร่อง รีน่าต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับว่า พ่อของเธออาจมีด้านที่ไม่สมบูรณ์ ข้อคิดนี้สอนให้เราเข้าใจว่า การรักใครสักคนคือการยอมรับทั้งข้อดีและข้อเสียของเขา และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์แข็งแกร่งขึ้น
4. การให้อภัยคือพลังที่รักษาครอบครัว
กมลาสน์ (ดวงตา ตุงคะมณี) และตัวละครอื่นๆ ในครอบครัวเชิญอิสราชัยแสดงให้เห็นว่า การให้อภัยสามารถรักษาความสัมพันธ์ได้ แม้ว่าจะมีความผิดพลาดหรือความลับที่เจ็บปวด เช่น การที่กมลาสน์เลือกปกป้องชื่อเสียงของฉาย ข้อคิดนี้คือแบบ… ถ้าเราอยากให้ครอบครัวหรือความสัมพันธ์ยั่งยืน การให้อภัยคือกุญแจสำคัญที่ทำให้ทุกอย่างดีขึ้น
5. ความจริงใจของคนตัวเล็กๆ มีพลังเปลี่ยนแปลง
ตัวละครอย่าง ก๋า (กุลฑีรา ยอดช่าง) หรือ ซาเล้ง (จักรพันธ์ จันโอ) แม้จะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่ความจริงใจและการสนับสนุนของพวกเขาก็สร้างความแตกต่างในเรื่องได้ ข้อคิดนี้สอนว่า ไม่ว่าเราจะอยู่ในบทบาทไหนในชีวิต ความจริงใจและการทำสิ่งเล็กๆ ด้วยใจสามารถส่งผลกระทบใหญ่ได้ ฟังแล้วรู้สึกมีพลังบวกเลยใช่มั้ย
ใต้เงาตะวัน คือละครที่ให้อะไรมากกว่าความสนุก เพราะข้อคิดพวกนี้สามารถเอาไปใช้ในชีวิตจริงได้เลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความกล้า ความรัก การให้อภัย หรือความจริงใจ