ละคร เพรงลับแล 2562 ละครแนวโรแมนติกดราม่าแฟนตาซีลี้ลับ ที่ผสมผสานเรื่องราวความรัก คำสัญญา และตำนานผีแม่ม่ายเข้ากับความลึกลับของ “เมืองลับแล” ดินแดนที่ซ่อนอยู่หลังม่านน้ำตก บทประพันธ์และบทโทรทัศน์โดย อาณาจินต์ กำกับโดย ภูมิภัทร์ สังวาลย์วรกุล และผลิตโดย บริษัท เกียรติระพี จำกัด ภายใต้การดูแลของผู้จัด เอ๊ะ อิศริยา สายสนั่น
เรื่องราวเริ่มต้นเมื่อ “นิรชา” ครูสาวที่ย้ายมาประจำการในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในภาคอีสาน หลังจากเธอมาถึง เกิดเหตุการณ์ประหลาดเมื่อผู้ชายในหมู่บ้านเริ่มเสียชีวิตด้วยอาการ “ไหลตาย” (หลับแล้วตายโดยไม่ทราบสาเหตุ) ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นฝีมือของ ผีแม่ม่าย ทำให้เกิดความหวาดกลัว ผู้ชายในหมู่บ้านถึงขั้นแต่งหน้าทาปากแดงเพื่อป้องกันตัว แต่ นิรชา ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับเหล่านี้
ในขณะเดียวกัน “ทศนนท์” วิศวกรหนุ่มที่รักธรรมชาติและการผจญภัย ถูกส่งตัวมาสำรวจเส้นทางตัดถนนไปยังน้ำตกใกล้หมู่บ้าน เขามาพร้อมทีมงานอย่าง พีรพร และ อนุชิต ชาวบ้านเตือนว่าบริเวณนั้นมีอาถรรพ์และเชื่อมโยงกับ “เมืองลับแล” ดินแดนลี้ลับที่ซ่อนอยู่หลังน้ำตก แต่ทศนนท์ไม่สนใจคำเตือนและมุ่งหน้าทำงานต่อ
เมื่อนิรชาและทศนนท์พบกันครั้งแรก ทั้งคู่ไม่ถูกชะตากัน นิรชาคิดว่าทศนนท์เป็นพวกเดียวกับ “ทรงกลด” นายหน้าที่พยายามกว้านซื้อที่ดินในหมู่บ้าน อย่างไรก็ตาม เรื่องราวเริ่มซับซ้อนเมื่อ “ปรางทิพย์” หญิงสาวลึกลับปรากฏตัวขึ้น เธอมีความผูกพันกับทศนนท์อย่างน่าประหลาด และบางคืนชาวบ้านได้ยินเสียงร้องโหยหวนจากบ้านของเธอ
ความลับของเมืองลับแล
แท้จริงแล้ว ปรางทิพย์ คือลูกสาวของเจ้าเมืองลับแล เธอเคยมีความรักกับ เทศ ชายหนุ่มจากโลกมนุษย์ในอดีต เทศสัญญาจะอยู่กับเธอตลอดไป แต่เขาหายตัวไปอย่างลึกลับ เมืองลับแลตกอยู่ภายใต้คำสาปเมื่อ สุบรรณเหรา ผู้คุมเมืองโกรธแค้นและฆ่าผู้ชายในเมืองจนหมด ทำให้เมืองนี้กลายเป็นเมืองแม่ม่ายที่มีแต่ผู้หญิง หลังพ้นคำสาป ปรางทิพย์ออกตามหาคนรัก และพบว่าทศนนท์มีใบหน้าเหมือนเทศทุกประการ แต่ทศนนท์จำเธอไม่ได้
ปรางทิพย์พยายามทำให้ทศนนท์นึกถึงอดีตเพื่อพาเขากลับไปยังเมืองลับแลและแก้คำสาป ขณะที่นิรชาเริ่มสงสัยในตัวปรางทิพย์และตามสืบเรื่องราวนี้ เธอและทศนนท์ค่อยๆ พัฒนาความสัมพันธ์จนกลายเป็นความรัก ท่ามกลางความขัดแย้งและปริศนาลี้ลับ
จุดพีคและบทสรุป
เมื่อความจริงเปิดเผย ทศนนท์และนิรชาต้องเผชิญหน้ากับอันตรายจากเมืองลับแล ปรางทิพย์ต้องตัดสินใจระหว่างความรักในอดีตและการปลดปล่อยตัวเองจากพันธนาการของคำสาป เรื่องราวจบลงด้วยการที่ทศนนท์และนิรชารู้ว่ารักกัน ขณะที่ปรางทิพย์ยอมรับความจริงและเลือกเดินทางตามหาเทศต่อไป โดยไม่รู้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่หรือไม่
ธีมหลักของละคร
ละครเน้นความรักที่ข้ามกาลเวลา ความโลภและผลกระทบของมัน รวมถึงการต่อสู้ระหว่างความเชื่อกับเหตุผล ผ่านบรรยากาศลึกลับของเมืองลับแลที่ถูกถ่ายทอดด้วยฉากและซีจีที่สวยงามตระการตา
ละคร “เพรงลับแล” (2562) มีเรื่องราวที่เต็มไปด้วยปริศนาและจุดพลิกผัน ต่อไปนี้คือเนื้อหาสำคัญของละครโดยไม่ละเอียดทุกตอน แต่จะเน้นจุดเด่นและตอนจบ เพื่อให้เห็นภาพรวมของเรื่องราว
การเริ่มต้นและปมปริศนา
นิรชา (ฝ้าย-เวฬุรีย์) ครูสาวที่ย้ายมาประจำการในหมู่บ้านห่างไกล เจอกับเหตุการณ์ประหลาดเมื่อผู้ชายในหมู่บ้านตายด้วยอาการ “ไหลตาย” ชาวบ้านโทษว่าเป็นฝีมือ ผีแม่ม่าย แต่เธอไม่เชื่อและพยายามหาคำตอบตามหลักเหตุผล
ทศนนท์ (สมาร์ท-กฤษฎา) วิศวกรหนุ่มที่มาสำรวจน้ำตกเพื่อตัดถนนใหม่ ถูกเตือนเรื่อง “เมืองลับแล” ดินแดนลี้ลับหลังน้ำตก แต่เขามองเป็นแค่เรื่องงมงาย
ปรางทิพย์ (น้ำตาล-ชลิตา) หญิงสาวปริศนาที่ปรากฏตัวพร้อมความลับ เธอมีใบหน้าสวยงามแต่แฝงด้วยความโศกเศร้า ชาวบ้านกลัวเธอและเชื่อว่าเธอเกี่ยวข้องกับการตายของผู้ชาย
ทั้งสามตัวละครนี้กลายเป็นจุดศูนย์กลางของเรื่อง โดยนิรชากับทศนนท์เริ่มไม่ลงรอยกัน แต่ค่อยๆ ผูกพัน ขณะที่ปรางทิพย์ดูเหมือนจะรู้จักทศนนท์มาก่อน
ความลับของปรางทิพย์และเมืองลับแล
ปรางทิพย์คือลูกสาวเจ้าเมืองลับแล ดินแดนที่ถูกคำสาปให้มีแต่ผู้หญิง หลังจาก สุบรรณเหรา ผู้คุมเมืองฆ่าผู้ชายทุกคนจากความแค้น เธอเคยรักกับ เทศ ชายหนุ่มจากโลกมนุษย์เมื่อร้อยปีก่อน แต่เขาหายไป ทำให้เธอออกตามหาเขานอกเมือง
ทศนนท์มีใบหน้าเหมือนเทศทุกประการ ปรางทิพย์เชื่อว่าเขาคือคนรักเก่าที่กลับชาติมาเกิด เธอพยายามพาเขากลับเมืองลับแลเพื่อแก้คำสาปและอยู่ด้วยกันตลอดไป
นิรชาค้นพบความจริงจากบันทึกเก่าและคำบอกเล่าของชาวบ้าน เธอเริ่มสงสัยว่าการตายของผู้ชายอาจเชื่อมโยงกับปรางทิพย์ และพยายามปกป้องทศนนท์
จุดพีคของเรื่อง
การเผชิญหน้ากับเมืองลับแล ทศนนท์ถูกปรางทิพย์ล่อลวงเข้าไปในเมืองลับแลผ่านม่านน้ำตก เขาเห็นภาพอดีตของตัวเองในร่างเทศ และเริ่มสับสนว่าตัวเองเป็นใครกันแน่ ความรักสามเส้า นิรชาตามไปช่วยทศนนท์ เธอสารภาพรักเขาและพยายามดึงเขากลับมา ขณะที่ปรางทิพย์ยื่นข้อเสนอให้ทศนนท์อยู่กับเธอในเมืองลับแลเพื่อความเป็นอมตะ
การเสียสละของปรางทิพย์ เมื่อเห็นว่าทศนนท์รักนิรชา และเขาไม่ใช่เทศจริงๆ (แค่หน้าตาคล้าย) ปรางทิพย์ตัดสินใจปล่อยเขาไป เธอเลือกเผชิญคำสาปต่อไปเพื่อให้ทศนนท์มีชีวิตอิสระในโลกมนุษย์
ทศนนท์และนิรชารอดออกมาจากเมืองลับแลได้สำเร็จ ทั้งคู่ตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน โดยทศนนท์เลิกงานวิศวกรและมาอยู่กับนิรชาในหมู่บ้านเพื่อพัฒนาชุมชนแทน ปรางทิพย์กลับไปยังเมืองลับแลเพียงลำพัง เธอร้องไห้ให้กับรักที่สูญเสีย แต่มีฉากทิ้งปมว่าเธออาจยังตามหาเทศต่อไป โดยไม่รู้ว่าเขาตายหรือเกิดใหม่ที่ไหน
ชาวบ้านเลิกกลัวผีแม่ม่ายเมื่อการตายหยุดลง เรื่องราวจบแบบปลายเปิดเล็กน้อยเกี่ยวกับชะตากรรมของเมืองลับแล
บทสรุปสำคัญ
ละครเน้นการต่อสู้ระหว่างรักเก่ากับรักใหม่ ความเสียสละ และการยอมรับความจริง ฉากเมืองลับแลและน้ำตกถูกถ่ายทอดอย่างสวยงาม ผสมผสานความลี้ลับและดราม่าได้ลงตัว ทศนนท์และนิรชาได้แฮปปี้เอ็นดิ้ง ขณะที่ปรางทิพย์กลายเป็นตัวละครที่น่าสงสารแต่สง่างามในความเสียสละ
จุดเด่น จุดด้อย และความรู้สึกโดยรวมจากมุมมองทั่วไปของผู้ชมและแฟนละคร
(จุดเด่น)
พล็อตเรื่องแปลกใหม่
ละครนำเสนอเรื่องราวที่ผสมผสานความลี้ลับของ “เมืองลับแล” เข้ากับตำนานผีแม่ม่ายและความรักข้ามภพได้อย่างน่าสนใจ ไม่ซ้ำแบบละครทั่วไปในช่วงนั้น แนวแฟนตาซี-ดราม่าที่มีกลิ่นอายท้องถิ่นอีสานทำให้รู้สึกแปลกตาและชวนติดตามการใช้ปริศนา เช่น การตายปริศนาของผู้ชายและความลับของปรางทิพย์ เป็นตัวขับเคลื่อนเรื่องได้ดีในช่วงแรก
งานภาพและโปรดักชัน
ฉากเมืองลับแลและน้ำตกถูกถ่ายทำอย่างสวยงาม ใช้ CGI เสริมให้ดูสมจริงและตื่นตา โดยเฉพาะฉากม่านน้ำตกที่เป็นทางเข้าสู่ดินแดนลี้ลับ ถือเป็นจุดขายที่ทำให้ละครดูมีมิติ บรรยากาศลึกลับและโทนสีของละครช่วยสร้างความรู้สึกอึมครึม เข้ากับธีมเรื่องได้ดี
การแสดงของนักแสดงหลัก
น้ำตาล-ชลิตา (ปรางทิพย์) รับบทได้โดดเด่นมาก ความสวยลึกลับและการแสดงสีหน้าเศร้าๆ ทำให้ตัวละครน่าจดจำ แฟนๆ ชื่นชมว่าเธอแบกเรื่องไว้เยอะ สมาร์ท-กฤษฎา (ทศนนท์) และ ฝ้าย-เวฬุรีย์ (นิรชา) มีเคมีที่ลงตัว แม้จะเริ่มจากความขัดแย้ง แต่พัฒนาการความรักดูน่ารักและสมเหตุสมผล
(จุดด้อย)
เนื้อเรื่องยืดเยื้อ
ด้วยความยาว 40 ตอน บางช่วงรู้สึกว่าละครเดินเรื่องช้าเกินไป โดยเฉพาะปมดราม่าระหว่างตัวละครหลักที่วนซ้ำ เช่น การเข้าใจผิดระหว่างนิรชากับทศนนท์ หรือการยื้อของปรางทิพย์ที่พยายามดึงทศนนท์กลับเมืองลับแล ตัวละครรองบางตัว เช่น ทีมงานของทศนนท์หรือชาวบ้าน ไม่ได้มีบทบาทสำคัญมาก ทำให้รู้สึกเหมือนถูกใส่เข้ามาเพื่อเติมเต็มเวลา
ความสมเหตุสมผล
บางจุดในเรื่องดูขาดตรรกะ เช่น การที่ปรางทิพย์ออกจากเมืองลับแลได้ง่ายเกินไป หรือการที่ทศนนท์ไม่สงสัยอะไรเลยเมื่อเจอเหตุการณ์ประหลาด ทำให้ผู้ชมบางคนรู้สึกว่าบทไม่แน่นพอ ปมคำสาปของเมืองลับแลถูกทิ้งไว้แบบคลุมเครือ ไม่ได้อธิบายชัดเจนว่าสรุปแล้วแก้ได้หรือไม่
การตัดจบ
ตอนจบถูกวิจารณ์ว่าจบแบบง่ายเกินไป ทศนนท์และนิรชาได้แฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ชะตากรรมของปรางทิพย์และเมืองลับแลดูค้างคา แม้จะตั้งใจให้เป็นปลายเปิด แต่หลายคนรู้สึกว่าไม่สมบูรณ์
คะแนน 7/10 (จาก sence9.com)
“ละคร เพรงลับแล” อารมณ์มีทั้งความตื่นเต้นจากปริศนาลี้ลับ ความประทับใจจากความรักและการเสียสละ และความสนุกจากงานภาพที่สวยงาม แต่ก็มีความรู้สึกขัดใจบ้างจากจังหวะที่ยืดเยื้อและปมที่ไม่เคลียร์ ถ้าชอบละครที่เน้นอารมณ์และความแปลกใหม่ จะรู้สึกเพลินและอินไปกับเรื่อง แต่ถ้าชอบอะไรที่กระชับและจบแบบชัดเจน อาจรู้สึกว่าเรื่องนี้ขาดอะไรไปนิดหน่อย
“ละคร เพรงลับแล” เป็นละครที่เหมาะกับคนชอบแนวลี้ลับผสมรักโรแมนติก มีจุดเด่นที่งานภาพและการแสดงของน้ำตาล-ชลิตา ที่ทำให้ตัวละครปรางทิพย์กลายเป็นไฮไลต์ของเรื่อง อย่างไรก็ตาม ความยืดเยื้อและปมที่ไม่เคลียร์ทำให้ละครอาจไม่ถึงขั้นสมบูรณ์แบบในสายตาคนที่ชอบเนื้อเรื่องแน่นๆ
โดยรวมแล้ว รู้สึกว่าเป็นละครที่ดูได้เพลินๆ เหมาะกับการเปิดดูตอนเย็นๆ เพื่อผ่อนคลาย และได้ซึมซับความสวยงามของตำนานที่เล่าผ่านมุมมองสมัยใหม่ ถ้าให้เปรียบเทียบ คงเหมือนกินอาหารจานอร่อยที่มีรสชาติหลากหลาย แต่จานนั้นอาจจะเยอะเกินไปหน่อยจนกินไม่หมด
สำหรับแฟนละครช่อง 8 หรือคนที่ชอบดูอะไรแปลกใหม่ ละครเรื่องนี้ถือว่าน่าดูและให้ความบันเทิงได้ในระดับหนึ่ง แต่ถ้าคาดหวังความลึกซึ้งหรือบทที่สมบูรณ์อาจผิดหวังเล็กน้อย
ตอนเริ่มเรื่อง บรรยากาศลึกลับของหมู่บ้านที่มีผู้ชายตายปริศนาด้วยอาการ “ไหลตาย” และตำนานผีแม่ม่าย ทำให้รู้สึกตื่นเต้นและอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ การที่ชาวบ้านแต่งหน้าทาปากแดงเพื่อป้องกันผีแม่ม่ายยังให้ความรู้สึกทั้งขำและแปลกใหม่ ชวนให้ติดตามต่อว่าเรื่องจะไปในทิศทางไหน
เมื่อถึงฉากที่เผยโฉมเมืองลับแลครั้งแรก ผ่านม่านน้ำตกและงาน CGI ที่สวยงาม รู้สึกทึ่งกับจินตนาการของเรื่องราว ดินแดนที่มีแต่ผู้หญิงและถูกคำสาปให้ความรู้สึกเหมือนหลุดเข้าไปในนิทานพื้นบ้านผสมแฟนตาซี ทำให้อยากรู้จักเมืองนี้มากขึ้น
ตัวละครปรางทิพย์ (น้ำตาล-ชลิตา) ทำให้รู้สึกทั้งสงสารและประทับใจ เธอรักเทศมากจนออกตามหาเขาข้ามภพ แต่เมื่อเจอทศนนท์ที่หน้าตาเหมือนคนรักเก่า ความพยายามของเธอที่อยากดึงเขากลับมาเมืองลับแลทั้งๆ ที่รู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดิม ทำให้รู้สึกเห็นใจ โดยเฉพาะฉากที่เธอยอมปล่อยเขาไปในตอนจบ รู้สึกน้ำตาคลอเบาๆ เพราะความเสียสละของเธอ
ความสัมพันธ์ของทศนนท์และนิรชาที่เริ่มจากไม่ถูกชะตา แต่ค่อยๆ พัฒนาเป็นความรัก ให้ความรู้สึกน่ารักและอบอุ่น ฉากที่นิรชาตามไปช่วยทศนนท์จากเมืองลับแล และทั้งคู่สารภาพรักกัน ทำให้รู้สึกฟินและดีใจที่ทั้งสองได้ลงเอยกัน
บางช่วงรู้สึกหงุดหงิดที่เรื่องเดินช้าเกินไป เช่น การเข้าใจผิดซ้ำๆ ระหว่างตัวละคร หรือฉากที่ปรางทิพย์พยายามยื้อทศนนท์นานเกินจำเป็น รู้สึกว่าถ้าตัดบางส่วนออก เรื่องอาจกระชับและสนุกกว่านี้
ตอนจบที่ทศนนท์และนิรชาได้แฮปปี้เอ็นดิ้งทำให้รู้สึกดี แต่ชะตากรรมของปรางทิพย์และเมืองลับแลที่ถูกทิ้งไว้แบบปลายเปิด ทำให้รู้สึกค้างคา อยากรู้ว่าเธอจะเจอเทศจริงๆ หรือเปล่า หรือคำสาปจะถูกแก้ได้ยังไง รู้สึกเหมือนเรื่องยังไม่จบสมบูรณ์
ละคร เพรงลับแล 2562
มนต์เสน่ห์แห่งแดนต้องห้าม ความลับที่ถูกปิดตาย เพรงลับแล เรื่องราวถึงตำนานของ เมืองลับแล ความรักและคำสัญญา ก่อเกิดเป็นเรื่องเล่าขานถึงตำนาน ผีแม่ม่าย ความโลภและความอยากรู้ของมนุษย์ต่อเมืองลับแล จะต้องถูกสังเวยด้วยชีวิต!
ตั้งแต่ นิรชา (ฝ้าย-เวฬุรีย์ ดิษยบุตร) เข้ามาเป็นครูในหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เกิดเหตุการณ์ประหลาดที่ผู้ชายหลายคนในหมู่บ้านหลับไปในลักษณะไหลตาย ทุกคนพากันหวาดกลัว ไม่กล้าออกจากบ้านในยามค่ำคืน ชายหลายคนแต่งหน้าทาปากแดง เพื่อป้องกันไม่ให้ผีแม่ม่ายมาเอาตัวไปนิรชาไม่เชื่อเรื่องผีแม่ม่าย และครั้งแรกที่นิรชาได้พบกับ ทศนนท์ (สมาร์ท-กฤษฎา พรเวโรจน์) ทั้งสองก็ไม่ถูกกันทันที เพราะนิรชาคิดว่าทศนนท์เป็นพวกเดียวกับทรงกลด (อู๋-นวพล ภูวดล) นายหน้าที่เข้ามากว้านซื้อที่แถวนั้น
ทศนนท์เป็นวิศวกรที่ถูกส่งมาสำรวจเส้นทางที่จะตัดถนนเพื่อเข้าสู่น้ำตกพร้อมกับทีมอีกสองคนคือ พีรพร และ อนุชิต แต่ชาวบ้านต่างพากันเตือนพวกเขาว่าอย่าเข้าไปใกล้บริเวณน้ำตก เพราะที่นั่นอันตราย วันดีคืนดี จะได้ยินเสียงมโหรีซึงพาทย์ลาดตะโพนดังแว่วมาจากเพิงผาแถวนั้น ก่อนที่จะพบศพชายหนุ่มนอนตายโดยไม่มีสาเหตุอยู่ที่ชายป่าใกล้น้ำตกในวันรุ่งขึ้น แต่ทศนนท์ไม่เชื่อ
การมาของ ปรางทิพย์ (น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์) หญิงสาวสวยลึกลับก็ทำให้ชาวบ้านเกิดความหวาดระแวง เพราะบางคืนจะมีเสียงร้องโหยหวนดังออกมาจากบ้านของปรางทิพย์ ทันทีที่ปรางทิพย์ได้พบกับทศนนท์ ก็เข้าตีสนิทเหมือนรู้จักกันมานาน จนทำให้คนในหมู่บ้านนินทา โดยเฉพาะ เนตรมายา (ณฉัตร-กวิยณัฎฐ์ แฮร์มันน์) เจ้าแม่ร่างทรงชื่อดังที่ชอบทศนนท์ เธอจึงใช้ความเชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์ตามจับผิดว่าปรางทิพย์ไม่ใช่มนุษย์
ปรางทิพย์มี บัวคำ (นุ่น-รมิดา ประภาสโนบล) เป็นแม่บ้านกึ่งคนสนิทที่อยู่ในบ้านเดียวกัน และไม่ค่อยออกจากบ้านไปไหนมาไหน และมีญาติเพียงคนเดียว คือ พิณทิพย์ (น้ำตาล-ชลิตา ส่วนเสน่ห์) ยายของเธอ ซึ่งเป็นหญิงชราหลังค่อมหน้าตาน่าเกลียดน่ากลัวเหมือนแม่มด พิณทิพย์มักจะมาปรากฏตัวอย่างลึกลับที่บ้านปรางทิพย์ก่อนคืนเดือนดับ
มินตา (ดาริณ แฮนเซน) แอบไปซุ่มดูหน้าบ้านปรางทิพย์ แต่กลับพบทศนนท์กลางทาง เหมือนกำลังละเมอ แท้จริงแล้วปรางทิพย์กับพิณทิพย์เป็นคนคนเดียวกัน เธอเป็นหญิงสาวจากเมืองลับแลที่มาตามหาคนรักที่จากไป เธอพยายามจะฟื้นความทรงจำบางอย่างของทศนนท์ให้คืนกลับมาเพื่อให้เขาสำนึกผิดและกลับไปแก้คำสาปของสุบรรณเหรา ผู้คุมเมืองลับแล ที่เกิดจากเขาเป็นต้นเหตุ
หมอปรัชญา (บอส-โตนนท์ วงศ์บุญ) นายแพทย์สาธารณสุขประจำอำเภอ พยายามหาสาเหตุและให้ความรู้กับชาวบ้าน ว่าการเสียชีวิตที่เรียกว่าไหลตายนั้น เกิดจากการขาดสารอาหารขณะที่ทำงานหนักและพักผ่อนไม่เพียงพอ ในขณะที่ จาริณี พยาบาลสาวที่หลงรักหมอปรัชญา ก็ช่วยห้ามปรามพ่อ คือผู้ใหญ่จรัล ไม่ให้พาชาวบ้านงมงาย ขณะเดียวกัน บุษบาลาวัณย์ (ดาว-พิมพ์ทอง วชิราคม) หญิงสาวเมืองลับแลอีกคนได้หลุดพ้นจากคำสาปที่เคยทำผิด จึงตัดสินใจออกมายังเมืองมนุษย์ และได้พบกับทรงกลด เธอสนใจทรงกลดทันที ในขณะที่ทรงกลดก็สนใจบุษบาลาวัณย์เช่นกัน
บุษบาลาวัณย์ตามเอาชีวิตของทศนนท์เพื่อจะนำเขาไปบูชายัญต่อสุบรรณเหรา เพราะแค้นปรางทิพย์ที่เคยทำให้เธอต้องคำสาปจนต้องพลัดพรากจาก คอน (อู๋-นวพล ภูวดล) ชายที่เธอเคยรัก ปรางทิพย์จึงต้องรีบช่วยให้ทศนนท์ระลึกชาติได้โดยเร็ว โดยเล่าเรื่องในอดีตที่เขาเคยเป็นเทศเมื่อชาติที่แล้ว และพาทศนนท์เข้าไปยังเมืองลับแลที่ปัจจุบันนี้เหลือแต่เพียงผู้หญิง เพราะเทศเป็นสาเหตุให้สุบรรณเหราพิโรธจนฆ่าผู้ชายจนตายหมดทั้งเมือง เมืองลับแลจึงกลายเป็นเมืองแม่ม่ายที่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้น
นิรชาแอบตามทศนนท์เข้าไปยังเมืองลับแลและถูกจับได้ ทศนนท์เห็นเข้าจึงรีบเข้าไปช่วยไว้ ปรางทิพย์โกรธคิดว่าเทศเปลี่ยนใจไปรักนิรชา จึงพยายามจับตัวทั้งสอง แต่ทศนนท์เข้าไปกันและให้นิรชาหนีไปก่อน ปรางทิพย์ไม่กล้าทำร้ายทศนนท์ ทศนนท์หนีออกมาได้ทีหลังแต่หมดสติไป นิรชาช่วยเขาและพาส่งโรงพยาบาล แต่นั่นกลับทำให้ชาวบ้านเข้าใจนิรชาผิดว่าเป็นผีแม่ม่ายที่จะเอาวิญญาณของทศนนท์ไปอีกคน ทศนนท์ช่วยอธิบาย แต่เขาก็พูดความจริงได้ไม่หมด เพราะจะกระทบถึงเมืองลับแลด้วย จึงถูกเข้าใจว่าเป็นเหยื่อที่ต้องมนต์เสน่ห์ผีแม่ม่าย ชาวบ้านพากันรุมประณามสาปแช่งนิรชาและไล่เธอออกจากหมู่บ้าน
ทศนนท์กับนิรชาจึงเห็นใจกัน ทศนนท์พยายามปกป้องนิรชาและสัญญาว่าจะยืนหยัดอยู่เคียงข้างเธอ นิรชาสืบรู้ว่าที่ชาวบ้านเข้าใจผิดเพราะทรงกลดเป็นคนใส่ไฟ เขาจึงพยายามต่อสู้และเปิดโปงทรงกลด และยังมีพฤติกรรมน่าสงสัยอีกหลายอย่าง จากการกว้านซื้อที่ดินของชาวบ้านที่กลายเป็นหญิงม่ายเพราะสามีไหลตาย ทรงกลดรู้ว่าเมืองลับแลมีจริงและมีสมบัติมากมาย จึงร่วมมือกับเนตรมายาหลอกให้บุษบาลาวัณย์พาเขาและพรรคพวกเข้าไปปล้นเมือง แต่ทุกคนก็ถูกสุบรรณเหราจับได้และฆ่า ทศนนท์กับนิรชาที่ตามไปช่วยปรางทิพย์ก็ถูกจับตัวไปเช่นกัน บุษบาลาวัณย์สำนึกผิด จึงยอมสละชีวิตช่วยทศนนท์กับนิรชาออกมา ทศนนท์กับนิรชารู้ตัวว่ารักกัน ปรางทิพย์ได้รับรู้ความจริงที่เจ็บปวดและเปลี่ยนใจจากทศนนท์ เธอต้องตามหาเทศต่อไป เทศจะยังมีชีวิตอยู่หรือได้ตายจากไปแล้ว และปรางทิพย์จะได้เจอเขาอีกหรือไม่
บทประพันธ์โดย : อาณาจินต์
บทโทรทัศน์โดย : อาณาจินต์
กำกับการแสดงโดย : ภูมิภัทร์ สังวาลย์วรกุล
นักแสดง
→ กฤษดา พรเวโรจน์ รับบท ทศนนท์/เทศ
สองตัวละครที่มีความเชื่อมโยงกันผ่านเรื่องราวข้ามภพ
(ทศนนท์)
ลักษณะนิสัย เป็นวิศวกรหนุ่มที่มีความมั่นใจในตัวเอง ฉลาด และรักการผจญภัย เขามีทัศนคติสมัยใหม่ ไม่เชื่อเรื่องงมงายหรือสิ่งลี้ลับ ชอบใช้เหตุผลมากกว่าความเชื่อ มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยน โดยเฉพาะเมื่อได้ใกล้ชิดกับ นิรชา เขาจะค่อยๆ เผยด้านที่อ่อนไหวและใส่ใจคนรอบข้างมากขึ้น
มีความดื้อรั้นและกล้าเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก เช่น การสำรวจน้ำตกทั้งที่ถูกเตือนถึงอาถรรพ์
ตอนแรกทศนนท์ดูเย็นชาและไม่สนใจคำเตือนของชาวบ้าน แต่เมื่อเจอเหตุการณ์ประหลาดและได้รู้จักนิรชา เขาค่อยๆ เปิดใจและเริ่มเห็นคุณค่าของความสัมพันธ์ เมื่อถูกดึงเข้าไปในเมืองลับแลและเผชิญหน้ากับ ปรางทิพย์ เขาสับสนกับความรู้สึกและภาพอดีตที่เห็น แต่สุดท้ายเลือกยึดมั่นในความรักที่มีต่อนิรชาในปัจจุบัน
จุดเด่น ความเป็นผู้นำและความกล้าหาญ เช่น ฉากที่เขาเข้าไปในเมืองลับแลเพื่อหาความจริง แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยง เคมีกับนิรชาที่เริ่มจากขัดแย้งแต่กลายเป็นรัก ทำให้ตัวละครดูมีมิติ
บทบาทในเรื่อง ทศนนท์เป็นตัวละครหลักที่เชื่อมโยงโลกมนุษย์กับเมืองลับแล เป็นจุดศูนย์กลางของความขัดแย้งระหว่างอดีต (ปรางทิพย์) และปัจจุบัน (นิรชา)
(เทศ)
ลักษณะนิสัย เป็นชายหนุ่มจากอดีต (ร้อยปีก่อน) ที่รัก ปรางทิพย์ อย่างสุดหัวใจ เขามีนิสัยโรแมนติก ซื่อสัตย์ และเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น สัญญากับปรางทิพย์ว่าจะอยู่ด้วยกันตลอดไป มีความกล้าและเสียสละ คาดว่าเขาเผชิญหน้ากับอันตรายบางอย่างในเมืองลับแลจนต้องจากปรางทิพย์ไป
เทศปรากฏในเรื่องผ่านภาพย้อนอดีตที่ทศนนท์เห็นเมื่อเข้าไปในเมืองลับแล เขาเป็นตัวแทนของความรักที่บริสุทธิ์และโศกนาฏกรรมที่ทิ้งบาดแผลให้ปรางทิพย์ ไม่มีพัฒนาการมากนัก เพราะเป็นตัวละครในอดีตที่เล่าผ่านความทรงจำ แต่มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของทศนนท์และปรางทิพย์ในปัจจุบัน
จุดเด่น ความรักที่ทุ่มเทให้ปรางทิพย์ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจทั้งเขาและเธอ ความคล้ายคลึงกับทศนนท์ทั้งหน้าตาและบางพฤติกรรม สร้างปมให้คนดูสงสัยว่าเขากับทศนนท์อาจมีความเชื่อมโยงลึกซึ้ง (แต่สุดท้ายเรื่องยืนยันว่าไม่ใช่คนเดียวกัน)
บทบาทในเรื่อง เทศเป็นเงาอดีตที่สะท้อนความเจ็บปวดของปรางทิพย์ และเป็นเหตุผลที่เธอพยายามดึงทศนนท์กลับไปเมืองลับแล เขาคือจุดเริ่มต้นของคำสาปและปริศนาในเรื่อง
การแสดงของกฤษฎา พรเวโรจน์ สมาร์ท ถ่ายทอด ทศนนท์ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ความมั่นใจและความเป็นผู้นำของตัวละครเด่นชัด โดยเฉพาะฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์ลี้ลับ เขาแสดงความสับสนและความกล้าออกมาได้ดี ในบท เทศ แม้จะปรากฏสั้นๆ ในฉากย้อนอดีต แต่สมาร์ทก็ใส่อารมณ์ความรักและความทุ่มเทได้น่าประทับใจ ทำให้ผู้ชมรู้สึกถึงความโศกเศร้าของความรักที่ไม่สมหวัง
การสลับบทบาทระหว่างสองตัวละครนี้ แสดงให้เห็นความสามารถในการปรับอารมณ์และบุคลิกให้แตกต่างกัน ทศนนท์จะดูทันสมัยและแข็งแกร่ง ขณะที่เทศจะดูอ่อนโยนและเปราะบางกว่า
ทศนนท์ ให้ความรู้สึกเหมือนพระเอกที่แข็งนอกอ่อนใน เป็นคนที่พึ่งพาได้ และการเติบโตของเขาจากคนที่ไม่เชื่ออะไรเลยมาเป็นคนที่ยอมรับความรักและความจริง ทำให้รู้สึกผูกพัน
เทศ เป็นตัวละครที่ชวนสงสารและน่าค้นหา แม้จะมีบทน้อย แต่กลับทิ้งความรู้สึกฝังใจ เพราะเขาคือต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด
ทั้งสองคาแร็กเตอร์นี้เสริมกันและกันได้ดี ทำให้ กฤษฎา พรเวโรจน์ เป็นหนึ่งในนักแสดงที่ถูกพูดถึงเยอะในละครเรื่องนี้
→ ชลิตา ส่วนเสน่ห์ รับบท ปรางค์ทิพย์/พิณทิพย์
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาวที่สวยงาม ลึกลับ และเต็มไปด้วยความโศกเศร้า เธอมีบุคลิกสง่างามแต่แฝงด้วยความเหงาและความสิ้นหวังจากการรอคอยคนรักมานานนับร้อยปี มีความจงรักภักดีและทุ่มเทให้กับความรักอย่างสุดหัวใจ เธอเชื่อว่า เทศ (คนรักในอดีต) จะกลับมาหาเธอตามคำสัญญา และยอมทำทุกอย่างเพื่อให้คำสัญญานั้นเป็นจริง
มีด้านที่ดื้อรั้นและยึดติดกับอดีต แม้จะรู้ว่าทศนนท์ไม่ใช่เทศ แต่ก็พยายามโน้มน้าวและพาเขากลับเมืองลับแล ซึ่งแสดงถึงความสิ้นหวังและความต้องการหลีกหนีคำสาป
ในช่วงแรก ปรางทิพย์ปรากฏตัวเป็นหญิงสาวลึกลับที่ชาวบ้านกลัว เธอเงียบขรึมและดูเหมือนมีพลังบางอย่างที่ควบคุมไม่ได้ (เช่น การที่ผู้ชายตายเมื่อเข้าใกล้เธอ) ทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นตัวร้าย เมื่อเรื่องดำเนินไป เผยว่าเธอคือลูกสาวเจ้าเมืองลับแลที่ถูกคำสาป เธอออกจากเมืองเพื่อตามหาเทศ และเมื่อเจอทศนนท์ที่มีหน้าตาคล้ายเขา เธอพยายามดึงเขากลับไปเพื่อแก้คำสาปและอยู่ด้วยกัน
จุดเปลี่ยนสำคัญคือตอนท้าย เมื่อเธอเห็นว่าทศนนท์รักนิรชาและไม่ใช่เทศจริงๆ ปรางทิพย์เลือกเสียสละ ปล่อยเขาไป และยอมรับชะตากรรมของตัวเอง กลับไปเผชิญคำสาปในเมืองลับแลเพียงลำพัง
จุดเด่น ความรักที่ยิ่งใหญ่ ความทุ่มเทให้เทศและการรอคอยข้ามกาลเวลาทำให้เธอเป็นตัวละครที่น่าสงสารและน่าจดจำ ผู้ชมรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่เธอต้องแบกรับ ความลึกลับและเสน่ห์การปรากฏตัวของเธอพร้อมเสียงร้องไห้โหยหวนในบางคืน หรือการที่เธอสามารถเดินทางข้ามมิติได้ เพิ่มความน่าค้นหาให้ตัวละคร
การเสียสละ ฉากที่เธอยอมปล่อยทศนนท์ให้กลับไปกับนิรชา แสดงถึงความเข้มแข็งและความรักที่ไม่เห็นแก่ตัว เป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมน้ำตาซึม
บทบาทในเรื่อง ปรางทิพย์เป็นตัวละครที่ขับเคลื่อนปมหลักของเรื่อง ทั้งคำสาปของเมืองลับแลและความรักสามเส้าที่เกิดขึ้น เธอเป็นทั้งตัวร้ายในสายตาชาวบ้านและเหยื่อของโชคชะตาในเวลาเดียวกัน เธอเป็นสะพานเชื่อมระหว่างอดีต (เทศ) และปัจจุบัน (ทศนนท์) และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรื่องราวดำเนินไปถึงจุดไคลแม็กซ์
การแสดงของชลิตา ส่วนเสน่ห์ น้ำตาล-ชลิตา ได้รับคำชื่นชมอย่างมากในบทนี้ เธอถ่ายทอดความสวยลึกลับและความโศกเศร้าของปรางทิพย์ได้อย่างลงตัว โดยเฉพาะฉากที่ต้องแสดงอารมณ์เสียใจหรือสิ้นหวัง เธอใช้สายตาและน้ำเสียงได้กินใจ
ความสง่างามตามธรรมชาติของน้ำตาลเข้ากับคาแร็กเตอร์ที่เป็นลูกสาวเจ้าเมืองลับแล ทำให้เธอดูมีออร่าและน่าเกรงขาม แม้ในฉากที่ต้องร้องไห้หรืออ่อนแอ เธอก็ยังคงความน่าสงสารแบบมีเสน่ห์ ฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับนิรชาและทศนนท์ เธอแสดงความขัดแย้งในใจได้ดี ทั้งความอยากครอบครองและความยอมปล่อย ทำให้ผู้ชมรู้สึกว่าปรางทิพย์ไม่ใช่แค่ตัวร้าย แต่เป็นตัวละครที่มีมิติ
ปรางทิพย์ เป็นตัวละครที่ชวนให้ทั้งรักทั้งสงสาร เธอเหมือนนางเอกในโศกนาฏกรรมที่ต้องแบกความเจ็บปวดจากอดีต ความพยายามของเธอที่อยากให้ทศนนท์จำเธอได้ ทำให้รู้สึกเห็นใจ แต่ก็เข้าใจว่าเธอต้องยอมรับความจริง การเสียสละในตอนจบทำให้รู้สึกประทับใจและยกให้เธอเป็นหนึ่งในตัวละครที่ทรงพลังที่สุดในเรื่อง แม้จะไม่ได้แฮปปี้เอ็นดิ้ง แต่ความเข้มแข็งของเธอก็ทิ้งรอยไว้ในใจผู้ชม
เสน่ห์ของน้ำตาลในบทนี้ทำให้ปรางทิพย์กลายเป็นตัวละครที่ถูกพูดถึงเยอะ และหลายคนรู้สึกว่าเธอคือหัวใจของ “เพรงลับแล” เลยทีเดียว
→ เวฬุรีย์ ดิษยบุตร รับบท นิรชา/เนียร์
ลักษณะนิสัย เป็นครูสาวที่มีความมุ่งมั่น ฉลาด และกล้าหาญ เธอมีทัศนคติที่ทันสมัยและเชื่อในเหตุผลมากกว่าความงมงาย ไม่ยอมรับคำอธิบายเรื่องผีแม่ม่ายแบบง่ายๆ มีความเมตตาและใจดี ชอบช่วยเหลือผู้อื่น โดยเฉพาะเมื่อเห็นชาวบ้านเดือดร้อนจากเหตุการณ์ประหลาด เธอพยายามหาความจริงเพื่อปกป้องทุกคน
มีด้านที่ดื้อรั้นและไม่ยอมแพ้ เมื่อเจออุปสรรค เธอจะสู้ต่อ แม้ต้องเผชิญหน้ากับสิ่งลี้ลับที่เกินความเข้าใจของเธอ
ตอนแรก นิรชาเป็นครูสาวที่เพิ่งย้ายมาประจำการในหมู่บ้านห่างไกล เธอรู้สึกแปลกใจและสงสัยกับเหตุการณ์ “ไหลตาย” ของผู้ชายในหมู่บ้าน แต่ไม่เชื่อว่าเป็นฝีมือผี เธอเริ่มสืบหาความจริงด้วยตัวเอง เมื่อเจอ ทศนนท์ เธอไม่ถูกชะตากับเขาเพราะคิดว่าเขาเป็นพวกนายทุนที่มากว้านซื้อที่ดิน แต่เมื่อได้ร่วมงานและเผชิญเหตุการณ์ลี้ลับด้วยกัน ความสัมพันธ์ค่อยๆ พัฒนาเป็นความรัก
จุดเปลี่ยนสำคัญคือเมื่อเธอตามทศนนท์เข้าไปในเมืองลับแลเพื่อช่วยเขา เธอแสดงความกล้าและความเสียสละ สารภาพรัก และกลายเป็นเหตุผลที่ทศนนท์เลือกอยู่กับโลกมนุษย์แทนการกลับไปกับปรางทิพย์
จุดเด่น ความกล้าหาญ นิรชาไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่ไม่รู้จัก เช่น การเข้าไปในเมืองลับแลเพื่อช่วยทศนนท์ แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยง ความฉลาด เธอใช้ความรู้และการสังเกตเพื่อคลายปมต่างๆ เช่น การค้นบันทึกเก่าเพื่อหาความจริงเกี่ยวกับเมืองลับแล
ความรักที่มั่นคง ความรักของเธอที่มีต่อทศนนท์เป็นพลังที่ทำให้เธอสู้ต่อ และเป็นจุดที่ทำให้ผู้ชมรู้สึกฟินในตอนจบ
บทบาทในเรื่อง นิรชาคือตัวแทนของโลกมนุษย์และความหวังของเรื่อง เธอเป็นคนที่ดึงทศนนท์กลับมาจากอดีต (ปรางทิพย์และเมืองลับแล) และเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้เรื่องจบแบบแฮปปี้เอ็นดิ้งสำหรับคู่ของเธอ เธอยังเป็นตัวละครที่สร้างความสมดุลให้เรื่องราว ด้วยการตั้งคำถามและหาคำตอบในสิ่งที่คนอื่นกลัว ทำให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเธอได้ง่าย
การแสดงของเวฬุรีย์ ดิษยบุตร ฝ้าย-เวฬุรีย์ ถ่ายทอดบทนิรชาได้อย่างน่ารักและน่าเชื่อถือ เธอแสดงความมุ่งมั่นและความกล้าของตัวละครออกมาได้ดี โดยเฉพาะฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับปรางทิพย์หรือเข้าไปในเมืองลับแล ความเป็นธรรมชาติของฝ้ายทำให้ตัวละครนิรชาดูสมจริง เหมือนครูสาวทั่วไปที่มีทั้งความเข้มแข็งและความอ่อนโยน ฉากที่เธอสารภาพรักทศนนท์แสดงถึงความจริงใจและอ่อนไหวได้น่าประทับใจ
เคมีกับ สมาร์ท-กฤษฎา (ทศนนท์) ลงตัวมาก การพัฒนาความสัมพันธ์จากไม่ชอบหน้ากลายเป็นรักกันดูเป็นขั้นเป็นตอน ไม่ฝืนจนเกินไป ทำให้ผู้ชมรู้สึกอินไปด้วย
นิรชา เป็นนางเอกที่ให้ความรู้สึกสดใสและเข้มแข็ง เธอไม่ใช่แค่ตัวละครที่รอให้พระเอกช่วย แต่กลับเป็นคนที่ลงมือทำและปกป้องคนที่เธอรัก ทำให้รู้สึกชื่นชมในความกล้าและความฉลาดของเธอ ความรักของเธอกับทศนนท์ให้ความรู้สึกอบอุ่นและสมหวัง เป็นจุดที่ชดเชยความโศกของปรางทิพย์ได้ดี ฉากที่เธอตามไปช่วยทศนนท์ในเมืองลับแลชวนลุ้นและรู้สึกว่าเธอคือฮีโร่ของเรื่องในแบบของเธอ
บางคนอาจรู้สึกว่าเธอเป็นนางเอกสูตรสำเร็จทั่วไป แต่ความตั้งใจและความจริงใจที่ฝ้ายถ่ายทอดออกมาทำให้เธอมีเสน่ห์และน่าจดจำในแบบของตัวเอง
→ กวิยณัฎฐ์ แฮร์มันน์ รับบท เนตรมายา
ลักษณะนิสัย เนตรมายาเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 28-30 ปี มีบุคลิกเซ็กซี่ ลึกลับ และน่าเกรงขาม เธอเป็นร่างทรงที่มีชื่อเสียงในหมู่บ้าน ด้วยความสามารถด้านไสยเวทย์และการพูดจาที่น่าเชื่อถือ มีความเจ้าเล่ห์ ละโมบ และเห็นแก่ตัว เธอมักใช้ความรู้ด้านเวทมนตร์เพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว และมีนิสัยชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวข้องกับคนที่เธอสนใจ
ชอบ ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) และแสดงออกถึงความหึงหวงเมื่อเห็นเขาสนิทกับ ปรางทิพย์ (รับบทโดย ชลิตา ส่วนเสน่ห์) ทำให้เธอพยายามจับผิดและขัดขวางปรางทิพย์ตลอดเวลา
ตอนแรก เนตรมายาปรากฏตัวในฐานะตัวละครที่ชาวบ้านนับถือ เธอใช้ภาพลักษณ์ของร่างทรงเพื่อสร้างอำนาจและความน่าเกรงขาม แต่เมื่อ ปรางทิพย์ เข้ามาในหมู่บ้านและดึงดูดความสนใจจากทศนนท์ เธอเริ่มรู้สึกถูกคุกคาม เธอใช้ความเชี่ยวชาญด้านไสยเวทย์เพื่อสืบหาความจริงเกี่ยวกับปรางทิพย์ และสงสัยว่าเธอไม่ใช่มนุษย์ ซึ่งทำให้เธอกลายเป็นตัวขับเคลื่อนปมลี้ลับบางส่วนในเรื่อง
อย่างไรก็ตาม เนตรมายาไม่ได้พัฒนาไปในทางบวก เธอยังคงยึดติดกับความต้องการส่วนตัวและความอิจฉา จนสุดท้ายกลายเป็นตัวละครที่ไม่ได้มีบทสรุปชัดเจนนักในตอนจบ (บทของเธอค่อนข้างเป็นตัวประกอบที่เสริมความเข้มข้นของเรื่อง)
จุดเด่น ความเซ็กซี่และลึกลับเนตรมายามักแต่งตัวแปลกตาและมีสไตล์ที่สะดุดตา เช่น ชุดดำหรือชุดที่มีกลิ่นอายไสยศาสตร์ ซึ่งสะท้อนบุคลิกที่ทั้งน่าดึงดูดและน่ากลัว ความเจ้าเล่ห์การที่เธอใช้เวทมนตร์และคำพูดเพื่อจัดการผู้อื่น ทำให้เธอเป็นตัวละครที่มีเล่ห์เหลี่ยมและชวนให้ระวังตัว
ความขัดแย้งความหึงหวงและการพยายามจับผิดปรางทิพย์สร้างความตึงเครียดในเรื่อง โดยเฉพาะในฉากที่เธอเผชิญหน้ากับตัวละครอื่น
บทบาทในเรื่อง เนตรมายาเป็นตัวละครรองที่เพิ่มความสนุกและความขัดแย้งในหมู่บ้าน เธอไม่ใช่ตัวร้ายหลัก แต่เป็นตัวแทนของความสงสัยและความหวาดระแวงของชาวบ้านต่อปรางทิพย์ เธอยังช่วยขยายปมลี้ลับ โดยเป็นคนแรกๆ ที่ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของปรางทิพย์ และพยายามเปิดโปงความลับของเมืองลับแลในแบบของเธอ
การแสดงของกวิยณัฎฐ์ แฮร์มันน์ ณฉัตร-กวิยณัฎฐ์ ได้รับคำชื่นชมจากการปรับลุคให้เข้ากับบทเนตรมายา เธอเปลี่ยนจากภาพลักษณ์สาวหวานที่เคยเป็นมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 มาเป็นตัวละครที่ดูเปรี้ยวและลึกลับได้อย่างน่าประทับใจเธอถ่ายทอดความเซ็กซี่และความเจ้าเล่ห์ของเนตรมายาออกมาได้ดี โดยเฉพาะการใช้สายตาและน้ำเสียงที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยม ฉากที่เธอเผชิญหน้ากับปรางทิพย์หรือพูดจาโน้มน้าวชาวบ้านแสดงถึงความมั่นใจและเสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์
การแต่งตัวและการแสดงท่าทางที่แปลกตา (เช่น การทำพิธีกรรมหรือการพูดด้วยน้ำเสียงลึกลับ) ทำให้ตัวละครนี้โดดเด่นและแตกต่างจากบทอื่นๆ ที่เธอเคยเล่น
เนตรมายา เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกสนุกและน่าติดตามในฐานะตัวป่วนของเรื่อง เธอเหมือนเป็นตัวแทนของความอยากรู้อยากเห็นและความอิจฉาริษยาในแบบมนุษย์ทั่วไป ทำให้ผู้ชมรู้สึกทั้งหมั่นไส้และขำกับพฤติกรรมของเธอ แม้จะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่เธอช่วยเพิ่มสีสันให้กับละคร โดยเฉพาะในฉากที่ต้องใช้ไสยเวทย์หรือเผชิญหน้ากับปรางทิพย์ ซึ่งทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นตัวละครที่ขาดไม่ได้ในบรรยากาศลี้ลับของเรื่อง
บางคนอาจรู้สึกว่าเธอเป็นตัวละครที่ค่อนข้างตื้น ไม่มีมิติลึกซึ้งเท่าตัวหลักอย่างปรางทิพย์หรือนิรชา แต่เสน่ห์ของณฉัตรทำให้เนตรมายายังคงน่าจดจำในแบบของตัวเอง
→ โตนนท์ วงศ์บุญ รับบท หมอปรัชญา
ลักษณะนิสัย เป็นหมอหนุ่มที่มีความรู้และทันสมัย อายุประมาณ 30 ต้นๆ มีบุคลิกสุภาพ อ่อนโยน และน่าเชื่อถือ เขาเป็นคนที่มีเหตุผลและพยายามหาคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ให้กับเหตุการณ์แปลกๆ ในหมู่บ้าน มีความเมตตาและเสียสละ ชอบช่วยเหลือชาวบ้านโดยไม่หวังผลตอบแทน และมักเป็นที่พึ่งของคนในชุมชนเมื่อเกิดปัญหา
มีด้านที่ลึกซึ้งและเก็บงำความรู้สึก เขาแอบชอบ นิรชา (รับบทโดย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร) แต่ไม่เคยแสดงออกชัดเจน เพราะเห็นว่าเธอสนิทกับ ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์)
ตอนแรก หมอปรัชญาเข้ามาในเรื่องในฐานะหมอประจำหมู่บ้านที่ต้องรับมือกับเหตุการณ์ “ไหลตาย” ของผู้ชายในหมู่บ้าน เขาสงสัยว่าไม่ใช่เรื่องเหนือธรรมชาติ แต่พยายามหาสาเหตุที่แท้จริง เมื่อได้รู้จักนิรชา เขาเริ่มแสดงความสนใจในตัวเธอผ่านการช่วยเหลือและให้คำแนะนำ เช่น การร่วมสืบหาความจริงเกี่ยวกับเมืองลับแล หรือการดูแลเธอเมื่อเจออันตราย
ตลอดเรื่อง เขาคงความเป็นผู้ช่วยที่ดีและไม่มีความขัดแย้งใหญ่โต สุดท้ายเขายอมรับว่านิรชากับทศนนท์รักกัน และเลือกถอยออกมาเพื่อสนับสนุนทั้งคู่จากระยะไกล
จุดเด่น ความน่าเชื่อถือ ในฐานะหมอ เขาเป็นตัวละครที่ดูมีเหตุผลและเป็นที่พึ่งของทั้งตัวละครอื่นและผู้ชม โดยเฉพาะเมื่อทุกคนตื่นตระหนกกับเรื่องผีแม่ม่าย ความรักที่เงียบงัน ความรู้สึกที่เขามีต่อนิรชาเป็นแบบรักข้างเดียวที่ไม่หวือหวาแต่ลึกซึ้ง ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจและชื่นชมในความเสียสละของเขา
ความรู้และทักษะ เขาใช้ความรู้ทางการแพทย์และการวิเคราะห์เพื่อช่วยคลายปมบางอย่าง เช่น การตรวจสอบสาเหตุการตายของชาวบ้าน ซึ่งเพิ่มความสมจริงให้เรื่อง
บทบาทในเรื่อง หมอปรัชญาเป็นตัวละครรองที่ช่วยสนับสนุนตัวละครหลักอย่างนิรชาและทศนนท์ เขาไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนเรื่องหลัก แต่เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้เรื่องราวมีความสมดุลระหว่างเหตุผลและความลี้ลับ เขายังเป็นตัวแทนของความหวังและความดีในหมู่บ้าน ท่ามกลางความโกลาหลจากเหตุการณ์ประหลาดและคำสาปของเมืองลับแล
การแสดงของโตนนท์ วงศ์บุญ ถ่ายทอดบทหมอปรัชญาได้อย่างนุ่มนวลและน่าเชื่อถือ เขาแสดงความเป็นคนที่มีความรู้และใจเย็นออกมาได้ดี โดยเฉพาะฉากที่ต้องอธิบายเรื่องทางการแพทย์หรือปลอบใจชาวบ้าน ความอ่อนโยนและสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกต่อนิรชาทำให้ตัวละครนี้มีมิติ แม้จะเป็นรักข้างเดียว แต่เขาไม่ทำให้รู้สึกดราม่าจนเกินงาม กลับดูเป็นผู้ชายที่อบอุ่นและเข้าใจสถานการณ์
การแสดงของโตนนท์ในบทนี้ไม่หวือหวา แต่เหมาะกับคาแร็กเตอร์ที่เป็นคนนิ่งๆ และมีเหตุผล ซึ่งช่วยเสริมให้ตัวละครอื่นเด่นขึ้นโดยไม่แย่งซีน
หมอปรัชญา เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและน่าสงสารในเวลาเดียวกัน เขาเหมือนเป็นเพื่อนที่ดีที่คอยอยู่เคียงข้าง แต่ต้องเก็บความรู้สึกไว้เงียบๆ ทำให้รู้สึกอยากเอาใจช่วยให้เขาได้สมหวังบ้าง ความเป็นคนมีเหตุผลของเขาช่วยให้เรื่องที่เต็มไปด้วยความลี้ลับดูสมจริงขึ้น และทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นจุดยึดเหนี่ยวของหมู่บ้านในยามวิกฤต
แม้บทของเขาจะไม่เด่นเท่าตัวหลักอย่างทศนนท์หรือปรางทิพย์ แต่ความดีและความเสียสละของเขาทำให้รู้สึกประทับใจ และบางคนอาจรู้สึกว่าเขาคือ “พระรอง” ที่น่าเห็นใจที่สุดในเรื่อง
→ นวพล ภูวดล รับบท ทรงกลด/คอน
ลักษณะนิสัย เป็นนายหน้าที่ดินที่มีความทะเยอทะยาน ฉลาดแกมโกง และเห็นแก่ตัว อายุประมาณ 30 ปลายๆ เขามีบุคลิกมั่นใจในตัวเอง พูดจาคล่องแคล่ว และรู้จักใช้คำพูดโน้มน้าวคน มีความโลภและเจ้าเล่ห์ เขามุ่งหวังผลประโยชน์ส่วนตัวจากการซื้อที่ดินในหมู่บ้านเพื่อพัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว โดยไม่สนใจผลกระทบต่อชาวบ้านหรือความศักดิ์สิทธิ์ของสถานที่
มีด้านที่ขี้ขลาดและหวาดกลัว เมื่อเจอเหตุการณ์ลี้ลับหรือสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ เขาจะเสียศูนย์และเผยด้านที่อ่อนแอออกมา
ตอนแรก ทรงกลดเข้ามาในเรื่องในฐานะนายหน้าที่พยายามกว้านซื้อที่ดินรอบน้ำตกและหมู่บ้าน เขาใช้วิธีการทั้งหว่านล้อมและข่มขู่ชาวบ้านให้ยอมขายที่ดิน ทำให้ นิรชา (รับบทโดย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร) เข้าใจผิดว่า ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) เป็นพวกเดียวกับเขา
เมื่อเหตุการณ์ “ไหลตาย” เกิดขึ้นและมีข่าวลือเรื่องผีแม่ม่าย เขาเริ่มหวาดกลัวแต่ยังฝืนทำตามแผน เพราะเห็นโอกาสทำกำไรจากความลี้ลับของเมืองลับแล ตลอดเรื่อง เขาคงความเป็นตัวร้ายรองที่สร้างความขัดแย้งในหมู่บ้าน แต่ไม่มีพัฒนาการไปในทางบวก สุดท้ายเมื่อแผนของเขาล้มเหลว บทของเขาก็ค่อยๆ จางหายไปจากเรื่อง
จุดเด่น ความเจ้าเล่ห์ ทรงกลดเป็นตัวละครที่ใช้เล่ห์เหลี่ยมและคำพูดเพื่อผลักดันเป้าหมายของตัวเอง เช่น การหลอกล่อชาวบ้านให้ขายที่ดินในราคาถูก เขาเป็นตัวจุดชนวนให้เกิดความเข้าใจผิดระหว่างนิรชาและทศนนท์ในช่วงแรก และเป็นตัวแทนของความโลภที่ตัดกันกับความบริสุทธิ์ของตัวละครอื่น
ความขี้ขลาด แม้จะดูมั่นใจ แต่เมื่อเจอเหตุการณ์เหนือธรรมชาติ เขาจะแสดงด้านที่หวาดกลัวออกมา ซึ่งเพิ่มมิติให้ตัวละครไม่เป็นแค่ตัวร้ายแบบสุดโหด
บทบาทในเรื่อง ทรงกลดเป็นตัวร้ายรองที่ช่วยสร้างความตึงเครียดในโลกมนุษย์ เขาไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปมลี้ลับของเมืองลับแล แต่เป็นตัวแทนของความโลภและความเห็นแก่ตัวที่ขัดแย้งกับความดีของตัวละครหลัก เขายังเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างนิรชาและทศนนท์ เพราะความเข้าใจผิดในตอนแรกทำให้ทั้งคู่ต้องเผชิญหน้ากันบ่อยขึ้น
การแสดงของนวพล ภูวดล อู๋-นวพล ถ่ายทอดบททรงกลดได้อย่างสมจริงและน่าหมั่นไส้ เขาแสดงความเจ้าเล่ห์และความมั่นใจของตัวละครออกมาได้ดี โดยเฉพาะฉากที่ต้องพูดจาหว่านล้อมหรือข่มขู่ชาวบ้าน สายตาและน้ำเสียงที่ดูมีเล่ห์เหลี่ยมช่วยให้ทรงกลดดูเป็นตัวร้ายที่น่ารำคาญแต่ไม่ถึงขั้นน่ากลัวเกินไป ซึ่งเหมาะกับบทตัวร้ายรองที่ไม่ได้มีพลังเหนือธรรมชาติ
ฉากที่เขาแสดงความกลัวเมื่อเจอเหตุการณ์ลี้ลับ (เช่น เสียงร้องโหยหวนหรือการตายปริศนา) ทำให้ผู้ชมขำและรู้สึกสะใจเล็กๆ ที่เห็นตัวละครนี้เสียท่า
ทรงกลด เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกทั้งน่ารำคาญและน่าสนุกในเวลาเดียวกัน เขาเหมือนตัวป่วนที่ทำให้เรื่องวุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้ร้ายกาจถึงขั้นเป็นวายร้ายใหญ่ ทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นแค่ “ตัวประกอบที่แย่” มากกว่าจะน่ากลัว ความโลภและความขี้ขลาดของเขาทำให้รู้สึกสะใจเมื่อแผนของเขาล้มเหลว และการแสดงของอู๋ช่วยให้ตัวละครนี้มีสีสัน แม้จะไม่ใช่ตัวหลักที่ขับเคลื่อนเรื่อง
บางคนอาจรู้สึกว่าเขาคือตัวละครที่ “ขาดมิติ” เพราะไม่มีอะไรลึกซึ้งนอกจากความเห็นแก่ตัว แต่ในแง่ของละครแนวนี้ เขาก็ทำหน้าที่สร้างความขัดแย้งได้ดีตามบทที่ได้รับ
→ พิมพ์ทอง วชิราคม รับบท บุษบาลาวัณย์
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาวจากเมืองลับแลที่มีความสวยงามและลึกลับ อายุดูเหมือนอยู่ในวัย 20 ปลายๆ แต่แท้จริงแล้วอาจมีอายุมากกว่านั้นเนื่องจากคำสาปของเมืองที่ทำให้ผู้อยู่อาศัยไม่แก่ชรา มีบุคลิกเย็นชา สงบเสงี่ยม และเก็บงำความรู้สึก เธอพูดน้อยแต่คำพูดมักมีความหมายลึกซึ้ง แฝงด้วยความโศกเศร้าและความสิ้นหวังจากชีวิตที่ถูกผูกมัดในเมืองลับแล
มีความจงรักภักดีต่อ ปรางทิพย์ (รับบทโดย ชลิตา ส่วนเสน่ห์) และเมืองลับแล เธอทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหรือคนสนิทของปรางทิพย์ คอยสนับสนุนและปกป้องเจ้าเมืองตามคำสั่ง
ตอนแรก บุษบาลาวัณย์ปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในสตรีของเมืองลับแลที่ต้อนรับ ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) เมื่อเขาเข้ามาในดินแดนลี้ลับ เธอดูเหมือนเป็นแค่ตัวประกอบที่ช่วยสร้างบรรยากาศของเมือง เมื่อเรื่องดำเนินไป เธอเริ่มมีบทบาทมากขึ้น โดยเฉพาะการช่วยปรางทิพย์ในภารกิจพาทศนนท์กลับมาเพื่อแก้คำสาป เธอแสดงถึงความภักดีและความเสียสละ แม้จะรู้ว่าตัวเองอาจไม่มีวันหลุดพ้นจากเมืองนี้
ในตอนท้าย เมื่อปรางทิพย์ตัดสินใจปล่อยทศนนท์ไป บุษบาลาวัณย์ยังคงอยู่เคียงข้างปรางทิพย์ และกลับไปใช้ชีวิตในเมืองลับแลต่อไปโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตัวเอง
จุดเด่น ความลึกลับ การปรากฏตัวของเธอในชุดโบราณและท่าทางที่เย็นชา ทำให้เธอดูเป็นตัวละครที่มาจากอีกโลกหนึ่ง ซึ่งเข้ากับธีมของเมืองลับแล ความภักดี ความสัมพันธ์กับปรางทิพย์แสดงให้เห็นว่าเธอเป็นคนที่ยอมเสียสละเพื่อผู้อื่น แม้ตัวเองจะไม่ได้ประโยชน์อะไร
ความโศกนาฏกรรม ชีวิตของเธอที่ถูกขังอยู่ในเมืองลับแลตลอดกาล ทำให้รู้สึกถึงความน่าสงสารและความไร้ทางออกของตัวละครนี้
บทบาทในเรื่อง บุษบาลาวัณย์เป็นตัวละครรองที่ช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของเมืองลับแลให้สมบูรณ์ เธอเป็นตัวแทนของผู้อยู่อาศัยที่ต้องรับชะตากรรมจากคำสาป และช่วยขยายปมของปรางทิพย์ให้เด่นชัดขึ้น เธอไม่ได้มีส่วนขับเคลื่อนเรื่องโดยตรง แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมเข้าใจความโหดร้ายของคำสาปและความสิ้นหวังของเมืองลับแล
การแสดงของพิมพ์ทอง วชิราคม พิ้งค์กี้-พิมพ์ทอง ถ่ายทอดบทบุษบาลาวัณย์ได้อย่างน่าประทับใจ เธอใช้ความสวยและเสน่ห์ตามธรรมชาติของตัวเองให้เข้ากับตัวละครที่มีกลิ่นอายโบราณและลึกลับ การแสดงออกทางสายตาและท่าทางที่เย็นชาแต่แฝงความโศกเศร้าทำให้ตัวละครนี้มีมิติ แม้จะพูดน้อย แต่ผู้ชมรู้สึกถึงความรู้สึกที่ซ่อนอยู่ในใจของเธอ
ชุดและการแต่งหน้าที่เน้นความเป็นสาวโบราณของเมืองลับแล ผสมกับการแสดงที่เนิบช้าของพิ้งค์กี้ ช่วยสร้างภาพจำให้บุษบาลาวัณย์ดูแตกต่างจากตัวละครในโลกมนุษย์
บุษบาลาวัณย์ เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกสงบแต่โศกนาฏกรรม เธอเหมือนเงาที่คอยสนับสนุนปรางทิพย์ และทำให้รู้สึกถึงความน่าสงสารของคนที่ติดอยู่ในเมืองลับแลโดยไม่มีทางเลือก แม้บทของเธอจะไม่เด่นเท่าตัวหลัก แต่การปรากฏตัวของเธอช่วยเพิ่มความลึกให้กับเรื่องราว และทำให้รู้สึกว่าเมืองลับแลไม่ได้มีแค่ปรางทิพย์คนเดียวที่แบกรับความเจ็บปวด
บางคนอาจรู้สึกว่าเธอเป็นตัวละครที่ถูกลืมง่าย เพราะไม่มีปมส่วนตัวที่ชัดเจน แต่สำหรับคนที่ชอบตัวละครที่มีความลึกซึ้งเงียบๆ เธอก็เป็นอีกหนึ่งตัวละครที่น่าจดจำในแบบของตัวเอง
→ รมิดา ประภาสโนบล รับบท บัวคำพิลาศ
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาวชาวบ้าน อายุประมาณ 20 ปลายๆ ถึง 30 ต้นๆ มีบุคลิกเรียบง่าย ซื่อตรง และเป็นมิตร เธอเป็นคนพื้นบ้านที่มีความเชื่อในสิ่งลี้ลับและผีสางตามประเพณีท้องถิ่น มีความขี้กลัวและตื่นตระหนกง่าย โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุการณ์ “ไหลตาย” ในหมู่บ้าน เธอมักเป็นคนที่แสดงความหวาดกลัวและเล่าเรื่องผีแม่ม่ายให้คนอื่นฟัง
มีด้านที่อบอุ่นและเป็นกันเอง เธอสนิทกับ นิรชา (รับบทโดย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร) และมักคอยให้ข้อมูลหรือช่วยเหลือในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
ตอนแรก บัวคำพิลาศปรากฏตัวในฐานะชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ชีวิตปกติ แต่เมื่อผู้ชายในหมู่บ้านเริ่มตายปริศนา เธอกลายเป็นหนึ่งในคนที่ตื่นตระหนกและเชื่อว่าเป็นฝีมือของผีแม่ม่าย เธอมีส่วนช่วยนิรชาในการสืบหาความจริง โดยอาจเล่าตำนานหรือเรื่องเล่าของหมู่บ้านให้ฟัง ซึ่งช่วยเชื่อมโยงไปถึงปมของเมืองลับแล
ตลอดเรื่อง เธอไม่ได้มีพัฒนาการที่ชัดเจนมากนัก ยังคงเป็นตัวละครที่สะท้อนความรู้สึกของชาวบ้านทั่วไป และจบเรื่องในฐานะผู้รอดชีวิตที่ยังคงใช้ชีวิตในหมู่บ้านต่อไป
จุดเด่น ความเป็นตัวแทนชาวบ้าน บัวคำพิลาศเป็นตัวละครที่สะท้อนความเชื่อและความกลัวของคนในชุมชน เธอช่วยสร้างบรรยากาศของหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวง ความน่ารักและเป็นมิตรบุคลิกที่เรียบง่ายและการพูดจาแบบชาวบ้านทำให้เธอดูเป็นตัวละครที่เข้าถึงง่ายและน่ารักในแบบของเธอ
บทสนทนาที่มีสีสัน คำพูดของเธอมักมีกลิ่นอายท้องถิ่นและความตลกขบขันเล็กๆ ซึ่งช่วยคลายความตึงเครียดของเรื่องได้บ้าง
บทบาทในเรื่อง บัวคำพิลาศเป็นตัวละครรองที่ช่วยเสริมเรื่องราวในส่วนของโลกมนุษย์ เธอไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนปมหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หมู่บ้านมีชีวิตและสมจริง เธอยังเป็นตัวเชื่อมเล็กๆ ระหว่างนิรชากับชาวบ้าน ช่วยให้คนดูเข้าใจบริบทของชุมชนและความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับเมืองลับแล
การแสดงของรมิดา ประภาสโนบล มิ้นท์-รมิดา ถ่ายทอดบทบัวคำพิลาศได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธอแสดงความเป็นสาวบ้านๆ ที่ขี้กลัวแต่ก็มีความจริงใจออกมาได้ดี ทำให้ตัวละครนี้ดูสมจริงและน่าเอ็นดู การใช้สำเนียงท้องถิ่น และท่าทางที่ตื่นตระหนกในฉากที่เจอเหตุการณ์แปลกๆ ช่วยเพิ่มเสน่ห์ให้ตัวละครนี้ แม้จะเป็นบทเล็กแต่ก็ไม่จืดชืด
ความน่ารักและความสดใสของมิ้นท์ทำให้บัวคำพิลาศเป็นตัวละครที่ดูมีชีวิตชีวา แม้จะไม่ได้มีบทเด่นเท่าตัวหลัก
บัวคำพิลาศ เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนบ้านที่คุ้นเคย เธอเป็นคนธรรมดาที่ต้องเผชิญกับเรื่องไม่ธรรมดา ทำให้รู้สึกเห็นใจและขำกับความขี้กลัวของเธอในบางฉาก แม้จะไม่ใช่ตัวละครที่เด่นหรือมีปมส่วนตัวลึกซึ้ง แต่เธอก็ช่วยเติมเต็มบรรยากาศของหมู่บ้านให้สมบูรณ์ และเป็นตัวละครที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายท่ามกลางความลี้ลับของเรื่อง
บางคนอาจมองว่าเธอเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่มีอะไรพิเศษ แต่สำหรับคนที่ชอบตัวละครเล็กๆ ที่มีสีสัน เธอก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ “เพรงลับแล” มีความหลากหลาย
→ ฌอร์ลชัญ วรรณปกาสิต รับบท มัลลิกานารี/มาลี
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาวจากเมืองลับแล อายุในเรื่องดูเหมือน 22-25 ปี (แต่จริงๆ อาจมีอายุมากกว่านั้นเนื่องจากคำสาปที่ทำให้ไม่แก่) มีความสวยสะดุดตาแบบจัดจ้านและมีเสน่ห์เย้ายวนที่ดึงดูดสายตา มีบุคลิกมั่นใจ กล้าแสดงออก และมีความทะเยอทะยาน เธอแอบหลงรัก เทศ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) ซึ่งเป็นคนรักของ ปรางทิพย์ (รับบทโดย ชลิตา ส่วนเสน่ห์) ทำให้เธอมีความรู้สึกอิจฉาและอยากเอาชนะปรางทิพย์
อย่างไรก็ตาม เธอมีด้านที่สำนึกผิดและพัฒนาความเข้าใจในภายหลัง แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่คนร้ายโดยสมบูรณ์ แต่มีหัวใจที่ซับซ้อน
ตอนแรก มาลีปรากฏตัวในฐานะเพื่อนหรือคนสนิทของปรางทิพย์ในเมืองลับแล เธอดูเป็นสาวที่มีเสน่ห์และมีบทบาทช่วยเหลือปรางทิพย์ในบางครั้ง แต่แอบซ่อนความรู้สึกหลงรักเทศไว้ในใจ ความประทับใจในความรักที่เทศมีต่อปรางทิพย์จุดประกายความปรารถนาในตัวเธอ เธออยากพิสูจน์ตัวเองและครอบครองหัวใจของเขา ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่อาจสร้างความขัดแย้งเล็กๆ ในเมืองลับแล
ในช่วงท้ายเรื่อง เมื่อเธอเห็นความเสียสละของปรางทิพย์และตระหนักถึงความผิดพลาดของตัวเอง มาลีเปลี่ยนใจและเลือกที่จะช่วยปรางทิพย์ในการล้างคำสาป แม้จะไม่ได้มีบทสรุปชัดเจนว่าเธอทำสำเร็จหรือไม่
จุดเด่น เสน่ห์ที่เย้ายวน ความสวยแบบจัดจ้านและท่าทางที่มีเสน่ห์ทำให้เธอโดดเด่นในหมู่สตรีของเมืองลับแล เป็นตัวละครที่สะดุดตาทั้งในแง่รูปลักษณ์และการกระทำ ความขัดแย้งในใจ ความรักที่เธอมีต่อเทศและความอิจฉาปรางทิพย์สร้างมิติให้ตัวละคร เธอไม่ใช่แค่ตัวประกอบธรรมดา แต่มีปมส่วนตัวที่ชวนให้ติดตาม
การไถ่บาป การสำนึกผิดและการพยายามช่วยปรางทิพย์ในตอนท้ายแสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในตัวเธอ ทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นใจและชื่นชม
บทบาทในเรื่อง มาลีเป็นตัวละครรองในเมืองลับแลที่ช่วยขยายปมความรักของปรางทิพย์และเทศให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เธอเป็นตัวแทนของความปรารถนาและความอิจฉาที่เกิดจากความรัก เธอยังช่วยเพิ่มความตึงเครียดในเมืองลับแล และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ชมเห็นด้านที่หลากหลายของผู้อยู่อาศัยในดินแดนต้องห้ามนี้
การแสดงของฌอร์ลชัญ วรรณปกาสิต ปุ๊กปิ๊ก-ฌอร์ลชัญ ถ่ายทอดบทมัลลิกานารี (มาลี) ได้อย่างมีเสน่ห์และน่าจดจำ เธอใช้ความสวยและความมั่นใจของตัวเองในการแสดงออกถึงความเย้ายวนของตัวละครได้ดี การแสดงสีหน้าและท่าทางที่แสดงถึงความอิจฉาและความหลงรักเทศทำได้อย่างเป็นธรรมชาติ โดยเฉพาะฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับปรางทิพย์ เธอแสดงความรู้สึกซับซ้อนในใจออกมาได้ชัดเจน
ในฉากที่มาลีสำนึกผิดและหันมาช่วยปรางทิพย์ ปุ๊กปิ๊กใส่อารมณ์ความเสียใจและการไถ่ตัวได้น่าประทับใจ ทำให้ตัวละครนี้ไม่ใช่แค่สาวสวยที่มีแต่ด้านลบ แต่มีพัฒนาการที่น่าสนใจ
มัลลิกานารี (มาลี) เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกทั้งน่าหลงใหลและน่าสงสาร เธอเหมือนดอกไม้ที่สวยแต่มีหนาม ด้วยความทะเยอทะยานในความรักที่ทำให้เธอเดินทางผิด แต่สุดท้ายก็กลับตัวได้ ความอิจฉาและความพยายามเอาชนะปรางทิพย์ทำให้รู้สึกหมั่นไส้ในตอนแรก แต่เมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของเธอในตอนท้าย ก็รู้สึกชื่นชมและอยากให้เธอมีบทสรุปที่ดีกว่านี้
การแสดงของปุ๊กปิ๊กช่วยยกระดับตัวละครนี้ให้เด่นขึ้น แม้จะไม่ใช่ตัวหลัก แต่มาลีก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เมืองลับแลมีสีสันและน่าจดจำ
→ พิมจันทร์ พิชยะสูตร รับบท จาริณี/จ๋า
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาววัยทำงาน อายุประมาณ 25-30 ปี มีบุคลิกสดใส ร่าเริง และเป็นมิตร เธอเป็นคนที่มองโลกในแง่ดีและมักพูดจาในเชิงให้กำลังใจคนรอบข้าง มีความอยากรู้อยากเห็นและช่างสังเกต เธอสนใจเรื่องราวลี้ลับของหมู่บ้านและน้ำตก แต่ไม่ถึงขั้นกลัวจนเกินไป มักแสดงความตื่นเต้นมากกว่าความหวาดกลัว
มีความซื่อตรงและไม่เจ้าเล่ห์ เธอเป็นคนที่พูดอะไรตามใจคิด และมักเป็นตัวละครที่ช่วยคลายความตึงเครียดในทีมสำรวจด้วยความเฮฮาของเธอ
ตอนแรก จาริณีปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในทีมงานของ ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) ที่มาสำรวจเส้นทางตัดถนนใกล้น้ำตก เธอเป็นคนที่คอยช่วยงานและพูดคุยกับทีม ทำให้บรรยากาศดูผ่อนคลาย เมื่อได้ยินเรื่องเล่าถึงเมืองลับแลและผีแม่ม่ายจากชาวบ้าน เธอเริ่มสนใจและพยายามถามข้อมูลเพิ่มเติมจาก นิรชา (รับบทโดย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร) หรือคนในหมู่บ้าน ซึ่งช่วยเชื่อมโยงบางปมในเรื่อง
ตลอดเรื่อง เธอไม่ได้มีพัฒนาการที่ลึกซึ้งมากนัก ยังคงเป็นตัวละครที่รักษาความสดใสและเป็นผู้ช่วยในทีมสำรวจ สุดท้ายเธอก็รอดพ้นจากเหตุการณ์ลี้ลับและกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ
จุดเด่นความสดใส บุคลิกที่ร่าเริงและการพูดจาที่เป็นกันเองทำให้เธอเป็นตัวละครที่ช่วยลดความหนักของเรื่อง โดยเฉพาะในฉากที่เต็มไปด้วยความตึงเครียดจากเหตุการณ์ลี้ลับ ความอยากรู้ ความสนใจในเรื่องเมืองลับแลทำให้เธอเป็นตัวละครที่ช่วยถามคำถามที่ผู้ชมอาจสงสัย ซึ่งช่วยให้เรื่องราวดำเนินไปได้
ความเป็นทีม เธอเป็นคนที่ทำงานร่วมกับทศนนท์และทีมสำรวจได้ดี แสดงถึงความเป็นเพื่อนร่วมงานที่น่ารักและน่าไว้วางใจ
บทบาทในเรื่อง จาริณีเป็นตัวละครรองที่อยู่ในฝั่งโลกมนุษย์ เธอช่วยเสริมสร้างภาพลักษณ์ของทีมสำรวจให้สมบูรณ์ และเป็นตัวเชื่อมเล็กๆ ระหว่างทศนนท์กับบริบทของหมู่บ้าน เธอไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนปมหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องราวมีสีสันและสมจริง โดยเฉพาะในฉากที่ทีมสำรวจต้องเผชิญกับความลี้ลับของน้ำตกและเมืองลับแล
การแสดงของพิมจันทร์ พิชยะสูตร น้อง-พิมจันทร์ ถ่ายทอดบทจาริณี (จ๋า) ได้อย่างน่ารักและเป็นธรรมชาติ เธอแสดงความสดใสและความเป็นมิตรของตัวละครออกมาได้ดี ทำให้จ๋าดูเป็นคนที่เข้าถึงง่ายและชวนให้รู้สึกดี การพูดจาที่มีพลังและท่าทางที่กระฉับกระเฉงช่วยให้ตัวละครนี้มีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในฉากที่ต้องทำงานร่วมกับทีมหรือแสดงความตื่นเต้นเมื่อเจอเรื่องแปลกๆ
แม้จะเป็นบทเล็ก แต่การแสดงของน้องทำให้จาริณีเป็นตัวละครที่ไม่จืดชืด และช่วยเติมเต็มบรรยากาศของทีมสำรวจได้อย่างลงตัว
จาริณี (จ๋า) เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนร่วมงานที่น่ารักและสดใส เธอเป็นคนที่ทำให้รู้สึกผ่อนคลายในยามที่เรื่องราวเริ่มหนักหน่วง และเป็นตัวละครที่ดูไม่มีพิษมีภัย ความอยากรู้และความร่าเริงของเธอทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นตัวแทนของคนทั่วไปที่อยากสำรวจเรื่องลี้ลับโดยไม่กลัวเกินไป ซึ่งช่วยให้ผู้ชมรู้สึกเชื่อมโยงกับเธอได้บ้าง
แม้จะไม่ใช่ตัวละครที่เด่นหรือมีปมส่วนตัวที่น่าติดตาม แต่เธอก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีในฐานะตัวประกอบที่เพิ่มความมีชีวิตให้กับเรื่องราว
→ ดาริน แฮนเซน รับบท มินตา
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาววัย 24-26 ปี มีบุคลิกรักสวยรักงาม ทะเยอทะยาน และขี้อิจฉา เธอใส่ใจกับรูปลักษณ์ภายนอกมาก ชอบแต่งตัวเซ็กซี่ แต่งหน้าเข้ม และมักปรากฏตัวในลุคที่สะดุดตา ช่างพูดช่างเจรจาและขี้นินทา เธอเป็นคนที่ชอบยุ่งเรื่องของคนอื่น และมักพูดจาในเชิงเสียดสีหรือเผยความลับของคนรอบตัว
มีด้านที่เห็นแก่ตัวและเจ้าเล่ห์ เธอเป็นเมียของ ถนอม (รับบทโดย จาตุรงค์ โกลิมาศ) แต่แอบมีความสัมพันธ์ลับๆ กับ จาว (ตัวละครรองในเรื่อง) ซึ่งสะท้อนถึงความไม่ซื่อสัตย์และความทะเยอทะยานที่อยากได้มากกว่าที่มี
ตอนแรก มินตาปรากฏตัวในฐานะภรรยาของถนอม เธอดูเป็นสาวสวยที่ชอบอวดโฉมและนินทาชาวบ้าน โดยเฉพาะเมื่อ ปรางทิพย์ (รับบทโดย ชลิตา ส่วนเสน่ห์) เข้ามาในหมู่บ้าน เธอเริ่มสงสัยและอิจฉาความลึกลับของปรางทิพย์ เธอแอบไปสอดแนมที่บ้านของปรางทิพย์ และบังเอิญเจอ ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) เดินเหมือนคนละเมอ ซึ่งทำให้เธอยิ่งอยากรู้ความลับของปรางทิพย์มากขึ้น
ความสัมพันธ์ลับของเธอกับจาวนำไปสู่โศกนาฏกรรม เมื่อจาวถูกเลือกให้เป็นเครื่องบูชายัญแก่ สุบรรณเหรา ผู้คุมเมืองลับแล ซึ่งอาจเกิดจากการที่มินตายุยงหรือเผยความลับบางอย่าง สุดท้ายเธอไม่ได้มีบทสรุปชัดเจนในเรื่อง แต่ยังคงเป็นตัวละครที่สร้างผลกระทบในหมู่บ้าน
จุดเด่น ความเซ็กซี่และสะดุดตา การแต่งตัวและบุคลิกของมินตาทำให้เธอเป็นตัวละครที่ดึงดูดสายตา และแสดงถึงความมั่นใจในตัวเอง ความขี้อิจฉา ความรู้สึกอิจฉาและการนินทาของเธอเป็นจุดที่ทำให้เกิดความขัดแย้งเล็กๆ ในหมู่บ้าน และช่วยขับเน้นความลึกลับของปรางทิพย์
ความซับซ้อน แม้จะดูเป็นตัวละครที่ตื้นเขินในแง่ความรักสวยรักงาม แต่การกระทำของเธอ เช่น การเป็นชู้และการสอดแนม แสดงถึงความเจ้าเล่ห์ที่ซ่อนอยู่
บทบาทในเรื่อง มินตาเป็นตัวละครรองที่อยู่ในฝั่งโลกมนุษย์ เธอช่วยเพิ่มความวุ่นวายและความตึงเครียดในหมู่บ้านผ่านการนินทาและการกระทำที่เห็นแก่ตัว เธอเป็นตัวเชื่อมที่เผยให้เห็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนของตัวละครอื่น เช่น ความลับของปรางทิพย์ และผลกระทบจากความโลภของมนุษย์ที่อาจเชื่อมโยงกับคำสาปของเมืองลับแล
การแสดงของดาริน แฮนเซน กวาง-ดาริน ถ่ายทอดบทมินตาได้อย่างมีเสน่ห์และน่าจดจำ เธอใช้ความสวยแบบลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก และความมั่นใจของตัวเองในการแสดงออกถึงความเซ็กซี่และความทะเยอทะยานของมินตาได้ดี การพูดจาที่รวดเร็วและน้ำเสียงที่แฝงความประชดประชันทำให้ตัวละครนี้ดูมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะฉากที่เธอนินทาหรือสอดแนม ซึ่งแสดงถึงความขี้อิจฉาและความอยากรู้อยากเห็นได้ชัดเจน
แม้จะเป็นบทรอง แต่ดารินทำให้มินตาเป็นตัวละครที่ผู้ชมจำได้ ด้วยลุคที่จัดจ้านและการแสดงที่ไม่เกรงกลัวที่จะ “ร้าย” ในแบบของตัวเอง
มินตา เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกทั้งน่ารำคาญและน่าสนุก เธอเหมือนสาวบ้านๆ ที่รักสวยรักงามแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยม ทำให้รู้สึกหมั่นไส้ในความขี้อิจฉาและการยุ่งเรื่องชาวบ้าน การกระทำของเธอที่นำไปสู่โศกนาฏกรรมของจาวทำให้รู้สึกว่าเธอเป็นตัวละครที่สร้างผลกระทบโดยไม่รู้ตัว ซึ่งเพิ่มความน่าสงสารให้กับตัวละครนี้ในแง่ที่เธออาจไม่ตระหนักถึงผลของการกระทำ
แฟนๆ บางคนอาจเห็นเธอเป็นตัวละครที่ “ร้ายแบบน่ารัก” เพราะความเจ้าเล่ห์ของเธอไม่ได้รุนแรงถึงขั้นตัวร้ายหลัก แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้เรื่องวุ่นวายและน่าติดตาม
→ กำปั้น บาซู รับบท สุริยเดชา
ลักษณะนิสัย เป็นชายหนุ่มจากเมืองลับแล อายุในเรื่องดูประมาณ 30 ต้นๆ มีบุคลิกเข้มแข็ง ดุดัน และน่าเกรงขาม เขามีความเป็นผู้นำและแสดงถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องเมืองลับแลจากภัยคุกคามภายนอก มีความจงรักภักดีต่อเมืองและ สุบรรณเหรา ผู้คุมเมืองลับแล (ตัวละครที่เป็นผู้ควบคุมคำสาป) เขาทำหน้าที่เป็นนักรบหรือผู้พิทักษ์ที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยในเมือง
มีด้านที่เย็นชาและเด็ดขาด เขาไม่ลังเลที่จะใช้ความรุนแรงหรือกำจัดผู้ที่เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเมืองลับแล โดยเฉพาะคนจากโลกมนุษย์ที่พยายามบุกรุกหรือล่วงรู้ความลับ
ตอนแรก สุริยเดชาปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในผู้พิทักษ์ของเมืองลับแล เขาเผชิญหน้ากับ ทศนนท์ (รับบทโดย กฤษฎา พรเวโรจน์) และทีมสำรวจที่เข้ามาใกล้น้ำตก ซึ่งเขาเห็นว่าเป็นภัยคุกคามต่อความลับของเมือง เขามีบทบาทในการขัดขวางไม่ให้คนนอกเข้าไปถึงเมืองลับแล และอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือก “เครื่องสังเวย” (เช่น ผู้ชายที่ถูกฆ่าเพื่อรักษาคำสาป) ซึ่งแสดงถึงความโหดเหี้ยมที่มาจากความภักดี
ตลอดเรื่อง เขาคงความเป็นตัวละครที่ยึดมั่นในหน้าที่ โดยไม่มีพัฒนาการที่เปลี่ยนแปลงนิสัยมากนัก สุดท้ายเมื่อ ปรางทิพย์ (รับบทโดย ชลิตา ส่วนเสน่ห์) ตัดสินใจปล่อยทศนนท์ไป เขายังคงอยู่ในเมืองลับแลเพื่อทำหน้าที่ต่อไป
จุดเด่น ความเข้มแข็งรูปลักษณ์และท่าทางที่ดุดันของเขาทำให้รู้สึกว่าเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและน่าเกรงขาม เหมาะกับบทบาทผู้พิทักษ์เมือง ความลึกลับการที่เขาเป็นคนของเมืองลับแลทำให้เขามีกลิ่นอายของความลี้ลับและความน่าสะพรึงกลัว ซึ่งเข้ากับธีมของเรื่อง
ความขัดแย้งเขาเป็นตัวละครที่สร้างความตึงเครียดให้กับฝั่งโลกมนุษย์ โดยเฉพาะในฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับทศนนท์และ นิรชา (รับบทโดย เวฬุรีย์ ดิษยบุตร)
บทบาทในเรื่อง สุริยเดชาเป็นตัวละครรองที่อยู่ในฝั่งเมืองลับแล เขาเสริมสร้างภาพของเมืองนี้ให้ดูน่ากลัวและเป็นดินแดนที่ป้องกันตัวเองจากคนนอก เขาเป็นตัวแทนของอำนาจและความโหดร้ายที่เกิดจากคำสาปของเมืองลับแล และช่วยขับเน้นความขัดแย้งระหว่างโลกมนุษย์กับโลกแห่งคำสาป
การแสดงของกำปั้น บาซู (กวินพนธ์ พาณิชย์พงส์) ถ่ายทอดบทสุริยเดชาได้อย่างมีพลัง เขาใช้รูปร่างที่สูงใหญ่และใบหน้าที่คมเข้มของตัวเองในการแสดงถึงความน่าเกรงขามของตัวละครนี้ได้ดี การแสดงท่าทางที่ดุดันและน้ำเสียงที่เข้มแข็งช่วยให้สุริยเดชาดูเป็นนักรบที่สมจริง โดยเฉพาะในฉากที่ต้องเผชิญหน้ากับตัวละครจากโลกมนุษย์
แม้จะไม่ใช่ตัวละครหลัก แต่กำปั้นใส่ความทุ่มเทในบทนี้ ทำให้สุริยเดชาเป็นตัวละครที่ผู้ชมจำได้ในฐานะหนึ่งในผู้พิทักษ์ที่โหดเหี้ยมของเมืองลับแล
สุริยเดชา เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกน่าเกรงขามและเย็นชา เขาเหมือนเป็นกำแพงที่ขวางกั้นระหว่างโลกมนุษย์กับเมืองลับแล ทำให้รู้สึกถึงความตึงเครียดทุกครั้งที่ปรากฏตัว ความภักดีและความเด็ดขาดของเขาทำให้รู้สึกว่าเขาเป็นตัวละครที่ยึดมั่นในหน้าที่ แม้จะดูโหดร้าย แต่ก็เข้าใจได้ว่าเขาทำเพื่อปกป้องบ้านเกิดของตัวเอง
บางคนอาจมองว่าเขาเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่มีมิติลึกซึ้ง แต่การแสดงของกำปั้นช่วยให้ตัวละครนี้มีพลังและน่าจดจำในแบบของตัวเอง โดยเฉพาะในฉากที่ต้องใช้ความดุดัน
→ จาตุรงค์ โกลิมาศ รับบท ถนอม
ลักษณะนิสัย เป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 40-50 ปี มีบุคลิกขี้กลัว ขี้ขลาด และตลกขบขันตามสไตล์ของตัวละครที่จตุรงค์มักเล่น เขาเป็นคนที่พูดจาโผงผางและมักทำอะไรโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง มีความซื่อสัตย์ในแบบของเขา แต่ก็ขี้เกรงใจและไม่กล้าขัดใจใคร โดยเฉพาะ มินตา (รับบทโดย ดาริน แฮนเซน) ภรรยาของเขาที่ทั้งสวยและเจ้าเล่ห์
รักเมียมาก แต่ไม่รู้ว่ามินตามีชู้กับ จาว (ตัวละครรองในเรื่อง) ทำให้เขาดูเป็นตัวละครที่น่าสงสารและน่าขำในเวลาเดียวกัน
ตอนแรก ถนอมปรากฏตัวในฐานะชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่ายในหมู่บ้าน เขามักเป็นคนที่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ “ไหลตาย” และเชื่อเรื่องผีแม่ม่ายเต็มที่ โดยพยายามปกป้องตัวเองด้วยวิธีแปลกๆ เช่น แต่งหน้าทาปากแดงตามความเชื่อของชาวบ้าน
เขามีส่วนร่วมในฉากตลกๆ เช่น การวิ่งหนีเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ หรือการถูกมินตาดุ ซึ่งช่วยคลายความตึงเครียดของเรื่อง ตลอดเรื่อง เขาไม่มีการพัฒนาที่ลึกซึ้งมากนัก ยังคงเป็นตัวละครที่สร้างเสียงหัวเราะและสะท้อนความกลัวของชาวบ้าน สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์ลี้ลับคลี่คลาย เขาก็ยังคงใช้ชีวิตต่อไปโดยไม่รู้ความลับของมินตา
จุดเด่น ความตลก บุคลิกขี้กลัวและการแสดงท่าทางโอเวอร์ของถนอมทำให้เขาเป็นตัวละครที่สร้างความบันเทิง โดยเฉพาะในฉากที่ต้องรับมือกับความลี้ลับ ความน่าสงสาร การที่เขาไม่รู้ว่ามินตามีชู้ทำให้รู้สึกเห็นใจเขาในฐานะสามีที่ซื่อๆ แต่ถูกเมียหลอก
ความเป็นตัวแทนชาวบ้าน เขาเป็นหนึ่งในตัวละครที่สะท้อนความเชื่อและวิถีชีวิตของคนในหมู่บ้านได้ดี โดยเฉพาะความกลัวผีและการพยายามเอาตัวรอด
บทบาทในเรื่อง ถนอมเป็นตัวละครรองที่อยู่ในฝั่งโลกมนุษย์ เขาช่วยเพิ่มอารมณ์ขันและความสมจริงให้กับหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัวจากเหตุการณ์ประหลาด เขายังเป็นตัวเชื่อมที่ทำให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมินตากับจาว ซึ่งนำไปสู่ผลกระทบในเรื่อง เช่น การที่จาวถูกเลือกเป็นเครื่องสังเวยของเมืองลับแล
การแสดงของจาตุรงค์ โกลิมาศ ถ่ายทอดบทถนอมได้อย่างลงตัวตามสไตล์การแสดงตลกที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา เขาใช้ท่าทางที่เกินจริงและน้ำเสียงที่ขี้กลัวในการสร้างความขบขันให้กับตัวละครนี้ การแสดงสีหน้าตื่นตระหนกและการพูดจาแบบโผงผางทำให้ถนอมเป็นตัวละครที่ดูมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะฉากที่เขาต้องรับมือกับเรื่องผีหรือถูกมินตาดุ
แม้จะเป็นบทเล็ก แต่จตุรงค์ใส่ความเป็นตัวเองลงไป ทำให้ถนอมกลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมจำได้และช่วยเติมเต็มความสนุกให้กับละคร
ถนอม เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกขบขันและผ่อนคลาย เขาเหมือนลุงบ้านๆ ที่ขี้กลัวแต่ก็น่ารักในแบบของเขา ทำให้รู้สึกอยากหัวเราะทุกครั้งที่เห็นเขาตื่นตระหนกหรือทำอะไรเปิ่นๆ ความไม่รู้เรื่องของเขาที่ถูกมินตาหลอกทำให้รู้สึกทั้งสงสารและขำ เขาเป็นตัวละครที่ดูไร้เดียงสาในแง่ความสัมพันธ์ แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เรื่องมีสีสัน
แฟนๆ บางคนอาจมองว่าเขาเป็นแค่ตัวตลกที่ไม่มีอะไรลึกซึ้ง แต่สำหรับคนที่ชอบความบันเทิงแบบเบาสมอง ถนอมคือตัวละครที่ทำหน้าที่ได้ดีเยี่ยมในแง่ของการคลายเครียด
→ ธงธง มกจ๊ก รับบท เสถียร
ลักษณะนิสัย เป็นชายวัยกลางคน อายุประมาณ 40-50 ปี มีบุคลิกขี้กลัว ขี้ขลาด และตลกตามสไตล์ตัวละครที่ธงธงมักแสดง เขาเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมาและมักทำอะไรแบบไม่คิดมาก มีความเชื่อในสิ่งลี้ลับเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องผีแม่ม่าย เขาเป็นหนึ่งในชาวบ้านที่ตื่นตระหนกกับเหตุการณ์ “ไหลตาย” และพยายามป้องกันตัวเองด้วยวิธีแปลกๆ เช่น การแต่งหน้าทาปากแดง
มีด้านที่ซื่อๆ และเป็นมิตร เขาไม่เจ้าเล่ห์หรือคิดร้ายกับใคร มักเป็นตัวละครที่คอยสนับสนุนหรือตามน้ำไปกับคนอื่นในหมู่บ้าน
ตอนแรก เสถียรปรากฏตัวในฐานะชาวบ้านธรรมดาที่ใช้ชีวิตเรียบง่าย แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ประหลาดในหมู่บ้าน เขากลายเป็นหนึ่งในคนที่ตื่นกลัวและพูดถึงผีแม่ม่ายบ่อยๆ เขามักมีส่วนร่วมในฉากตลก เช่น การวิ่งหนีเมื่อได้ยินเสียงแปลกๆ หรือการช่วย ถนอม (รับบทโดย จาตุรงค์ โกลิมาศ) ทำอะไรเปิ่นๆ ซึ่งช่วยเพิ่มอารมณ์ขันให้กับเรื่อง
ตลอดเรื่อง เขาไม่มีการพัฒนาที่ลึกซึ้ง คงความเป็นตัวละครที่ขี้กลัวและตลก สุดท้ายเมื่อเหตุการณ์คลี่คลาย เขาก็ยังคงเป็นชาวบ้านที่ใช้ชีวิตต่อไปตามปกติ
จุดเด่น ความขบขัน บุคลิกขี้กลัวและการแสดงท่าทางที่เกินจริงของเสถียรทำให้เขาเป็นตัวละครที่สร้างเสียงหัวเราะ โดยเฉพาะในฉากที่ต้องรับมือกับความลี้ลับ ความเป็นชาวบ้าน เขาเป็นตัวแทนของคนธรรมดาในหมู่บ้านที่เชื่อในผีและพยายามเอาตัวรอด ซึ่งช่วยให้ผู้ชมเห็นภาพชีวิตของชุมชนได้ชัดเจน
ความน่ารักในความซื่อ แม้จะขี้กลัว แต่ความจริงใจและความไม่เจ้าเล่ห์ของเขาทำให้รู้สึกเอ็นดู
บทบาทในเรื่อง เสถียรเป็นตัวละครรองที่อยู่ในฝั่งโลกมนุษย์ เขาช่วยเพิ่มอารมณ์ขันและสะท้อนความหวาดกลัวของชาวบ้านที่มีต่อเหตุการณ์ “ไหลตาย” และเมืองลับแล เขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้หมู่บ้านดูมีชีวิตชีวา และช่วยเติมเต็มฉากที่ต้องการความตลกเพื่อคลายความตึงเครียดจากปมลี้ลับของเรื่อง
การแสดงของธงธง มกจ๊ก ธงธง มกจ๊ก ถ่ายทอดบทเสถียรได้อย่างสมบูรณ์แบบตามสไตล์การแสดงตลกที่เป็นเอกลักษณ์ของเขา เขาใช้ท่าทางที่เกินจริงและน้ำเสียงที่ตื่นตระหนกในการสร้างความขบขันให้กับตัวละครนี้ การแสดงสีหน้าที่หวาดกลัวและการพูดจาแบบชาวบ้านทำให้เสถียรดูสมจริงและน่ารักในแบบของเขา โดยเฉพาะฉากที่เขาต้องวิ่งหนีหรือแสดงความกลัวผี
แม้จะเป็นบทเล็ก แต่ธงธงใส่ความเป็นตัวเองลงไปอย่างเต็มที่ ทำให้เสถียรกลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมจำได้และช่วยเพิ่มความสนุกให้กับละคร
เสถียร เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกขบขันและผ่อนคลาย เขาเหมือนเพื่อนบ้านขี้กลัวที่มักทำอะไรน่าขำ ทำให้รู้สึกอยากหัวเราะทุกครั้งที่เห็นเขาตื่นตระหนกหรือพูดอะไรตลกๆ ความซื่อและความเป็นคนธรรมดาของเขาทำให้รู้สึกเอ็นดู เขาเป็นตัวละครที่ไม่มีพิษมีภัยและช่วยให้เรื่องที่เต็มไปด้วยความลี้ลับดูเบาลง
แฟนๆ บางคนอาจมองว่าเขาเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่มีมิติ แต่สำหรับคนที่ชอบความตลกแบบบ้านๆ เสถียรคือตัวละครที่ทำหน้าที่ได้ดีในการสร้างรอยยิ้ม
→ ลาล่า อาร์สยาม รับบท สุดสวย
ลักษณะนิสัย เป็นหญิงสาววัย 30 ต้นๆ มีบุคลิกเฮฮา ร่าเริง และเป็นกันเอง เธอเป็นคนที่พูดจาตรงไปตรงมา ชอบแซวคนอื่น และมักเป็นตัวชงมุกในกลุ่มชาวบ้าน มีความมั่นใจในตัวเองสูง ชอบแต่งตัวจัดจ้านและดูแลตัวเองให้สวยสมชื่อ “สุดสวย” แม้จะเป็นสาวบ้านนอก แต่เธอก็มีเสน่ห์ในแบบของเธอ
ขี้กลัวผีเหมือนชาวบ้านทั่วไป แต่ก็มักซ่อนความกลัวด้วยการพูดตลกหรือทำท่าทางขบขันเพื่อกลบเกลื่อน ทำให้เธอดูเป็นตัวละครที่ทั้งน่ารักและน่าขำ
ตอนแรก สุดสวยปรากฏตัวในฐานะหนึ่งในชาวบ้านที่ใช้ชีวิตปกติในหมู่บ้าน เธอมักพูดถึงความสวยของตัวเองและแซวคนอื่นอย่างสนุกสนาน เมื่อเกิดเหตุการณ์ “ไหลตาย” และมีข่าวลือเรื่องผีแม่ม่าย เธอเป็นหนึ่งในคนที่ตื่นตระหนก แต่ก็พยายามทำตัวกล้าโดยการพูดจาให้กำลังใจตัวเองและคนรอบข้างในแบบตลกๆ
จุดเด่น ความเฮฮาบุคลิกที่ร่าเริงและการพูดจาแซวๆ ทำให้เธอเป็นตัวละครที่ช่วยคลายความตึงเครียดจากปมลี้ลับของเรื่อง ความมั่นใจ:การที่เธอภูมิใจในความสวยของตัวเอง (ตามชื่อ) และชอบโชว์ความมั่นใจ ทำให้เธอมีเสน่ห์แบบสาวบ้านนอกที่ไม่เหมือนใคร
ความเป็นธรรมชาติเธอเป็นตัวละครที่ดูสมจริงในฐานะชาวบ้านทั่วไป มีทั้งความกลัวผีและความสนุกสนานที่เข้ากับบริบทของหมู่บ้าน
บทบาทในเรื่อง สุดสวยเป็นตัวละครรองที่อยู่ในฝั่งโลกมนุษย์ เธอช่วยเพิ่มอารมณ์ขันและทำให้หมู่บ้านดูมีชีวิตชีวา โดยเฉพาะในฉากที่ชาวบ้านรวมตัวกันพูดถึงผีหรือเหตุการณ์ประหลาด เธอไม่ใช่ตัวขับเคลื่อนปมหลัก แต่เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยสร้างบรรยากาศของชุมชน และอาจมีบทบาทเล็กๆ ในการเล่าข่าวลือหรือแซวตัวละครอื่น
การแสดงของลาล่า อาร์สยาม ถ่ายทอดบทสุดสวยได้อย่างลงตัวตามสไตล์ของเธอที่เป็นนักร้องลูกทุ่งที่มีบุคลิกสนุกสนานและเป็นกันเอง เธอนำความสดใสและความเฮฮาของตัวเองมาใส่ในตัวละครนี้ได้ดี การพูดจาด้วยสำเนียงลูกทุ่งและท่าทางที่ขี้เล่นทำให้สุดสวยดูเป็นสาวบ้านนอกที่น่ารักและสมจริง โดยเฉพาะฉากที่เธอแซวคนอื่นหรือแสดงความกลัวผีแบบเกินจริง
แม้จะเป็นบทเล็ก แต่ลาล่าใส่พลังและความเป็นตัวเองลงไปเต็มที่ ทำให้สุดสวยกลายเป็นตัวละครที่ผู้ชมจำได้และช่วยเพิ่มความสนุกให้กับละคร
สุดสวย เป็นตัวละครที่ให้ความรู้สึกสนุกและผ่อนคลาย เธอเหมือนเพื่อนสาวที่ชอบแซวและทำให้คนรอบข้างหัวเราะได้ แม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ความมั่นใจและความตลกของเธอทำให้รู้สึกเอ็นดู เธอเป็นตัวละครที่ดูไม่มีพิษมีภัยและช่วยให้เรื่องที่เต็มไปด้วยความลี้ลับมีช่วงที่เบาสมองบ้าง
แฟนๆ บางคนอาจมองว่าเธอเป็นแค่ตัวประกอบที่ไม่มีอะไรเด่น แต่สำหรับคนที่ชอบความบันเทิงแบบลูกทุ่ง สุดสวยคือตัวละครที่ทำหน้าที่สร้างรอยยิ้มได้ดีเยี่ยม