ละครพื้นบ้าน นางสิบสอง 2531 ละครพื้นบ้านไทย ที่ดัดแปลงจากนิทานพื้นบ้านของไทยที่มีรากฐานมาจากตำนาน นางสิบสอง หรือ พระรถเมรี ซึ่งเป็นเรื่องเล่าที่แพร่หลายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเนื้อเรื่องหลักมักเกี่ยวข้องกับการผจญภัย ความรัก และการต่อสู้กับอำนาจชั่วร้าย
เรื่องราวเริ่มต้นจากคู่สามีภรรยาที่ร่ำรวยแต่ไม่มีบุตร ด้วยความปรารถนาจะมีลูก พวกเขาไปบนบานต่อเทพเจ้าที่ต้นไทรใหญ่ หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาก็ตั้งครรภ์และให้กำเนิดบุตรสาวถึง 12 คน ซึ่งทั้งหมดงดงามและมีชื่อเสียงในหมู่บ้าน เรียกกันว่า “นางสิบสอง” อย่างไรก็ตาม ความสุขของครอบครัวต้องพังทลายลงเมื่อเกิดเหตุการณ์ร้าย เช่น การปล้นหรือภัยพิบัติ ทำให้ครอบครัวล้มละลาย พ่อของนางสิบสองที่เคยหวังจะมีบุตรชายรู้สึกผิดหวังและตัดสินใจทิ้งลูกสาวทั้ง 12 คนไว้ในป่าเพื่อเอาชีวิตรอดด้วยตัวเอง
ในป่า นางสิบสองต้องเผชิญกับความยากลำบาก แต่ด้วยความฉลาดและความสามัคคี โดยเฉพาะน้องสาวคนเล็ก (มักเรียกว่า “เป้า” หรือชื่ออื่นตามเวอร์ชัน) ที่นำพี่สาวทั้งหมดหาทางกลับบ้านได้ เช่น การใช้กิ่งไม้หรือเครื่องหมายนำทาง ระหว่างทาง พวกเธอได้พบกับยักษ์หรือนางมารร้าย (ตัวละครสำคัญในเรื่อง) ที่หลอกล่อหรือจับตัวนางสิบสองไปเพื่อจุดประสงค์ชั่วร้าย เช่น กินเนื้อหรือขโมยดวงตา
ต่อมา พระรถเสน (หรือชื่ออื่น เช่น โรทเสน) ซึ่งเป็นบุตรของนางสิบสองคนหนึ่ง (ในบางเวอร์ชันเกิดจากนางสิบสองกินผลไม้หรือแตงโมที่มีพลังวิเศษจนตั้งครรภ์) เติบโตขึ้นและกลายเป็นวีรบุรุษ เขาออกเดินทางเพื่อช่วยเหลือมารดาและป้าทั้ง 11 คนจากเงื้อมมือของยักษ์ ด้วยความกล้าหาญและไหวพริบ พระรถเสนสามารถเอาชนะยักษ์ได้ และนำนางสิบสองกลับสู่ชีวิตปกติ บางตอนอาจมีการแทรกเรื่องราวความรักหรือการต่อสู้กับศัตรูอื่นๆ เพื่อเพิ่มความน่าตื่นเต้น
ลักษณะเด่นของเวอร์ชัน 2531
ละคร นางสิบสอง ในปี 2531 เป็นละครพื้นบ้านที่ออกอากาศทางโทรทัศน์ไทย ช่อง 7 ซึ่งเน้นการเล่าเรื่องแบบเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยแง่คิดศีลธรรม เช่น ความกตัญญู ความสามัคคี และการต่อสู้กับความชั่วร้าย การแสดงมักใช้เครื่องแต่งกายแบบโบราณ ฉากป่า และเทคนิคพิเศษในยุคนั้นเพื่อสร้างบรรยากาศของนิทานพื้นบ้าน ตัวละครอย่างยักษ์หรือนางมารมักถูกนำเสนอในลักษณะที่น่ากลัวแต่มีสีสันเพื่อดึงดูดผู้ชม
ละครพื้นบ้าน นางสิบสอง ปี พ.ศ. 2531 เป็นละครที่ดัดแปลงจากนิทานพื้นบ้านไทย ซึ่งมีเนื้อหาที่เข้มข้นและเต็มไปด้วยการผจญภัย ดราม่า และแง่คิด ต่อไปนี้คือเนื้อเรื่องคร่าวๆ โดยอิงจากโครงเรื่องทั่วไปของ นางสิบสอง และบริบทของละครพื้นบ้านในยุคนั้น (อาจมีการปรับแต่งบางส่วนตามสไตล์การเล่าของเวอร์ชัน 2531)
จุดเริ่มต้นของโศกนาฏกรรม
เรื่องเริ่มจากครอบครัวพ่อค้าแม่ค้าที่ร่ำรวยแต่ไม่มีลูก หลังจากไปขอพรจากเทวต้นไทร ฝ่ายภรรยาก็ตั้งครรภ์และคลอดลูกสาวออกมาถึง 12 คน ตั้งชื่อตามลำดับ เช่น นางหนึ่ง, นางสอง, ไปจนถึงนางสิบสอง (บางตัวละครอาจมีชื่อเฉพาะ เช่น “นางเป้า” สำหรับน้องเล็ก) ลูกสาวทั้งหมดสวยงามและฉลาด แต่เมื่อครอบครัวเผชิญวิกฤต (เช่น ถูกโจรปล้นหรือพายุพัดบ้านพัง) พ่อที่หวังมีลูกชายรู้สึกผิดหวังและตัดสินใจพาลูกสาวทั้ง 12 ไปทิ้งในป่า โดยอ้างว่าไม่มีปัญญาเลี้ยงดู
การเอาชีวิตรอดในป่า
นางสิบสองถูกทิ้งในป่าลึก แต่ด้วยความสามัคคีและความเฉลียวฉลาดของน้องสาวคนเล็ก (นางเป้า) พวกเธอพยายามหาทางกลับบ้าน โดยนางเป้าจะทิ้งร่องรอย เช่น ก้อนหินหรือกิ่งไม้ไว้เป็นสัญญาณ ระหว่างทาง พวกเธอต้องเผชิญหน้ากับสัตว์ป่าและความหิวโหย แต่ยังช่วยเหลือกันอย่างไม่ย่อท้อ
การเผชิญหน้ากับยักษ์
จุดพลิกผันเกิดขึ้นเมื่อยักษิณี (หรือนางมาร) ผู้ชั่วร้ายในป่าพบเจอนางสิบสอง และหลอกล่อให้พวกเธอเข้าไปในถ้ำหรือปราสาทของมัน ยักษ์วางแผนจะกินนางสิบสองหรือใช้พวกเธอเป็นเครื่องสังเวย แต่ด้วยความฉลาดของนางเป้า เธอหาทางหนีและปกป้องพี่สาวได้ชั่วคราว อย่างไรก็ตาม ยักษ์จับนางสิบสองได้ในที่สุด และขังไว้ในที่ลับ
กำเนิดพระรถเสน
ในระหว่างที่ถูกขัง นางสิบสองคนหนึ่ง (มักเป็นนางเป้าหรือคนอื่นตามเวอร์ชัน) ได้รับผลไม้หรือแตงโมวิเศษจากเทพเจ้า (หรือบางทีอาจเป็นของที่ยักษ์ให้โดยไม่รู้ตัว) เมื่อกินเข้าไป เธอตั้งครรภ์อย่างลึกลับและคลอดลูกชายออกมา ชื่อว่า พระรถเสน เด็กชายนี้เติบโตอย่างรวดเร็วด้วยพลังพิเศษ และกลายเป็นความหวังของนางสิบสองในการหลุดพ้นจากยักษ์
การต่อสู้และชัยชนะ
พระรถเสน เมื่อโตขึ้น ได้รับการเลี้ยงดูจากนางสิบสองในที่คุมขัง เขาตัดสินใจออกเดินทางเพื่อต่อสู้กับยักษ์ โดยอาจได้รับอาวุธหรือคำแนะนำจากเทพเจ้าหรือฤๅษีที่พบระหว่างทาง ด้วยความกล้าหาญและไหวพริบ พระรถเสนสามารถฆ่ายักษ์ได้สำเร็จ (อาจมีฉากต่อสู้ที่ตื่นเต้น เช่น ใช้ดาบฟันหรือหลอกให้ยักษ์ตกลงเหว) และช่วยนางสิบสองทั้งหมดให้เป็นอิสระ
บทสรุป
หลังจากกำจัดยักษ์ พระรถเสนพานางสิบสองกลับไปยังหมู่บ้าน บางเวอร์ชันอาจมีการเผชิญหน้ากับพ่อที่เคยทิ้งพวกเธอ ซึ่งอาจจบด้วยการให้อภัยหรือการลงโทษตามบทเรียนศีลธรรม ครอบครัวกลับมารวมกันอีกครั้ง และใช้ชีวิตอย่างมีความสุข โดยพระรถเสนอาจกลายเป็นวีรบุรุษที่ปกครองเมืองต่อไป
บรรยากาศและจุดเด่นของเวอร์ชัน 2531
ละครเวอร์ชันนี้เน้นฉากดราม่าตระการตาในสไตล์ละครพื้นบ้านยุค 80s เช่น การใช้เครื่องแต่งกายสีฉูดฉาด ฉากป่าที่สร้างในสตูดิโอ และเทคนิคพิเศษแบบเรียบง่าย (เช่น ควันหรือแสงไฟ) เพื่อแสดงพลังของยักษ์หรือเทพเจ้า ตัวละครยักษ์มักถูกนำเสนอให้ทั้งน่ากลัวและตลกเล็กน้อยเพื่อให้เหมาะกับผู้ชมทุกวัย
ความตื่นเต้นและลุ้นระทึก ตั้งแต่ฉากที่นางสิบสองถูกทิ้งในป่าไปจนถึงการเผชิญหน้ากับยักษ์ ผู้ชมคงรู้สึกตื่นเต้นและลุ้นไปกับการเอาชีวิตรอดของพี่น้องทั้ง 12 คน โดยเฉพาะนางเป้าที่ฉลาดและกล้าหาญ ซึ่งเป็นตัวละครที่ทำให้คนดูเอาใจช่วยสุดๆ ฉากที่พระรถเสนต่อสู้กับยักษ์น่าจะเป็นไฮไลต์ที่ทำให้หัวใจเต้นแรง เพราะในยุคนั้น การใช้เทคนิคพิเศษแบบเรียบง่าย (เช่น ควันหรือแสงสี) กลับสร้างความรู้สึกมหัศจรรย์และน่าติดตามได้ดี
ความประทับใจในความสามัคคี เรื่องนี้เน้นความสัมพันธ์ของนางสิบสองที่ช่วยเหลือกันในยามยาก ทำให้ผู้ชมรู้สึกซาบซึ้งและอบอุ่นใจ โดยเฉพาะฉากที่น้องสาวคนเล็กนำพี่ๆ หาทางออกจากป่า หรือการที่ทั้งหมดร่วมมือกันต่อสู้กับยักษ์ ความรู้สึกนี้คงเหมือนได้เห็นครอบครัวที่รักกันจริงๆ ซึ่งเป็นแง่คิดที่ละครพื้นบ้านมักฝากไว้
ความสนุกและขบขันจากตัวร้าย ยักษ์หรือนางมารในละครยุค 2531 มักถูกนำเสนอในแบบที่ทั้งน่ากลัวและตลก เช่น การพูดจาข่มขู่ด้วยน้ำเสียงเว่อร์ๆ หรือท่าทางเกินจริงตามสไตล์ละครพื้นบ้าน ผู้ชมอาจรู้สึกสนุกและหัวเราะได้กับความเว่อร์วังของตัวละครเหล่านี้ ซึ่งเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ละครไม่หนักจนเกินไป
ความรู้สึกย้อนยุคและคิดถึง สำหรับคนที่ดูในตอนนั้น (หรือย้อนดูในภายหลัง) บรรยากาศของละคร เช่น ฉากป่าที่ถ่ายในสตูดิโอ เสื้อผ้าแบบโบราณ และดนตรีประกอบที่คุ้นหู คงให้ความรู้สึก nostalgic หรือคิดถึงวัยเด็ก การดู นางสิบสอง อาจเหมือนการย้อนกลับไปสัมผัสความเรียบง่ายและไร้เดียงสาของทีวีไทยในยุคเก่า
ความสะใจตอนจบ เมื่อพระรถเสนกำจัดยักษ์ได้ และพานางสิบสองกลับบ้าน ผู้ชมจะรู้สึกสะใจและโล่งใจที่ความยุติธรรมชนะ ความชั่วร้ายถูกปราบ ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จของละครพื้นบ้านที่ทำให้คนดูรู้สึกเติมเต็มและมีความสุขกับตอนจบ
นางสิบสอง ในปี 2531 จะเป็นประสบการณ์ที่ผสมผสานระหว่างความบันเทิงแบบพื้นบ้านและการเรียนรู้คุณค่าทางศีลธรรม ผู้ชมในยุคนั้นอาจนั่งล้อมวงหน้าทีวีกับครอบครัว ร้อง “ว้าย!” ตอนยักษ์โผล่ หรือเชียร์พระรถเสนตอนสู้ เป็นช่วงเวลาที่เรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยความทรงจำ
ละครพื้นบ้าน นางสิบสอง 2531
ละครพื้นบ้าน นางสิบสอง 2531
นางสิบสอง เป็นนิทานที่สืบต่อกันมาเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเด็กสิบสองคนที่ต้องผจญภัยในที่ต่าง ๆ เนื่องจาก นนท์และภรรยาของเขาชื่อ นางจันท์ ด้วยความที่ลูกเยอะฐานะทางบ้านจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง เงินทองที่เก็บไว้ก็หายไปหมดเนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน พ่อของนางสิบสองก็ได้คิดอุบายว่าจะนำลูก ๆ ทั้งสิบสองคนไปปล่อยป่า
โครงเรื่อง (นางสิบสอง)
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้วมีเศรษฐีคนหนึ่งชื่อ นนท์ และภรรยาของเขาชื่อ จันทรา ทั้งสองมีบุตรสาวถึง 12 คน ด้วยความที่ลูกเยอะ ฐานะทางบ้านจากที่เคยร่ำรวยจึงค่อย ๆ ตกต่ำลง เงินทองที่เก็บไว้ก็หายไปหมดเนื่องจากต้องเลี้ยงดูลูกสาวทั้งสิบสองคน อยู่มาวันหนึ่ง เศรษฐีนนท์ บิดาของนางสิบสองก็ได้คิดอุบายว่าจะนำบุตรสาวทั้งสิบสองคนไปปล่อยไว้ในป่า โดยหลอกลูกของตนว่าตนจะไปเยี่ยมญาติจะพาลูก ๆ ไปด้วย เมื่อมาถึงกลางป่า เขาก็บอกกับลูกว่าจะไปหาผลไม้มาให้ลูกๆกิน
เมื่อได้โอกาสเขาก็หนีไปโดยหวังว่าจะมีคนที่มีฐานะที่ดีกว่านี้มารับเเละเลี้ยงดู นางสิบสองรอบิดาของตนจนเหนื่อย โชคดีที่นางเภาน้องคนสุดท้องที่มีความฉลาดมากกว่าพวกพี่ ๆ ได้นำข้าวตากโรยตามทางที่เดินมา พวกนางทั้งสิบสองจึงกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
เมื่อบิดาและมารดาเห็นลูกของตนกลับมาได้ ก็ตกใจมากและได้คิดว่าจะนำลูกของตนไปปล่อยป่าอีกครั้ง และวันนั้นก็มาถึง เศรษฐีนนท์ บิดาของนางสิบสองได้นำลูกของตนไปปล่อยไว้กลางป่าอีก คราวนี้โชคร้ายนางเภาไม่ได้เอาข้าวตากมา ทำให้นางทั้งสิบสองติดอยู่ในป่า นางทั้งสิบสองได้อยู่ในป่าจนรุ่งเช้าของอีกวัน นางเภาได้บอกกับพี่ของตนว่าควรจะหาทางกลับบ้านใหม่ แต่เดินไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงสักที จนในที่สุดนางสิบสองก็หลงเดินเข้าไปในเขตเเดนของเมืองทานตะวัน ซึ่งเป็นเมืองของนางยักษ์สันตรา นางยักษ์สันตราพอได้เห็นนางทั้งสิบสองก็เกิดความรักและเอ็นดูเนื่องจากตนไม่มีลูกและสามีของตนก็ตายไปแล้ว นางยักษ์จึงเเปลงกายเป็นมนุษย์ และได้นำนางทั้งสิบสองมาเลี้ยงไว้ในวังโดยสั่งให้ทุกคนในเมืองทานตะวันแปลงกายเป็นมนุษย์ให้หมดเนื่องจากกลัวว่านางทั้งสิบสองจะหวาดกลัวและเกลียดตน เเละกำชับกับนางทั้งสิบสองว่าห้ามไปท้ายวังเด็ดขาด อยู่เสมอ
นางทั้งสิบสองใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างสุขสบายจนกระทั่งโตเป็นสาว เมื่อนางเภา น้องคนสุดท้อง อายุได้ราว 16 ปี เมื่อเติบใหญ่นางทั้งสิบสองก็สวยสง่า โดยเฉพาะนางเภาที่งามดั่งดอกบัวนั้นสวยที่สุด อยู่มาวันหนึ่งนางยักษ์สันตราได้บอกกับนางทั้งสิบสองคนว่าตนจะไปบำเพ็ญพรตในป่า จะไม่อยู่เป็นเวลา 3 วัน นางยักษ์สันตรายังกำชับกับนางทั้งสิบสองอีกว่าห้ามไปที่ท้ายวังเด็ดขาด พอพูดเสร็จนางยักษ์สันตราได้ออกจากเมืองไป นางเภาก็เกิดสงสัยขึ้นมาว่าเมืองนี้อาจจะเป็นเมืองยักษ์เพราะว่าตนนั้นไม่เคยเห็นสัตว์ตัวไหนในเมืองนี้เลยเเม้เเต่ครั้งเดียวและพี่ของตนก็ได้เจอกับกองกระดูกที่พวกยักษ์กินไว้ทางท้ายวังซึ่งนางสันตราได้สั่งห้ามไม่ให้ไปอีกด้วย นางเภาจึงพาพวกพี่หนีจากเมืองทานตะวัน จนกระทั่งนางสันตรากลับมาเเต่ไม่เห็นนางทั้งสิบสอง นางก็รู้สึกเสียใจเเละผิดหวังเป็นอย่างมาก ทำให้จิตใจที่เคยรักเเละเมตตาสงสาร กลับกลายเป็นความเเค้น นางยักษ์สันตราจึงออกไล่ตามนางทั้งสิบสอบแต่มองไม่เห็นนางทั้งสิบสองเพราะพระโพธิสัตว์มัญชุศรีคอยคุ้มครองนางทั้งสิบสองด้วยฤทธานุภาพ นางสันตราจึงกลับเมืองไปด้วยความอาฆาตแค้น นางทั้งสิบสองดีใจที่หนีจากนางยักษ์มาได้และก็เดินทางไปในกลางป่าอย่างไร้จุดหมาย
จนมาถึงทางตะวันออก ซึ่งมีเมืองที่สวยงาม โอ่อ่า เเละเจริญรุ่งเรือง ชื่อ “เมืองกุตลนคร” ซึ่งมีท้าวรถสิทธิ์ กษัตริย์ผู้รูปงามเเละเจ้าสำราญ เป็นผู้ปกครองนคร วันหนึ่งในขณะที่นางทั้งสิบสองได้หลงเข้ามาในป่าใกล้เมืองกุตลนคร ท้าวรถสิทธิ์ได้ออกไปล่าสัตว์ในป่า เผอิญท้าวรถสิทธิ์มาเจอนางทั้งสิบสองกำลังเล่นน้ำอยู่ในลำธารตามป่า เเละนางเภาที่กำลังเก็บผลไม้ป่าอยู่ เมื่อได้เห็นนางเภาที่รูปงามและพวกพี่ ๆ ของนาง ท้าวรถสิทธิ์ก็เกิดความรักใคร่ โดยรักนางเภามากที่สุด ท้าวรถสิทธิ์จึงได้รับนางทั้งสิบสองเป็นมเหสี เเละอภิเษกสมรสกับนางทั้งสิบสอง โดยเเต่งตั้งให้นางเภาเป็นมเหสีเอก ต่อมานางทั้งสิบสองคนก็ได้ตั้งครรภ์ เมืองกุตลนครก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองกันอย่างสุขสันต์ อีกด้านหนึ่งในขณะเดียวกันนั้นเอง นางยักษ์สันตราได้ใช้มนต์วิเศษของตนดูภาพพวกนางทั้งสิบสองผ่านทางกระจกอาถรรพ์ นางสันตราจึงได้เห็นและรู้ว่านางสิบสองอยู่ที่เมืองกุตลนครและได้เป็นมเหสีของท้าวรถสิทธิ์
นางยักษ์สันตราก็คิดคับเเค้นใจจึงได้ตามไปถึงเมืองกุตลนคร พร้อมกับทหารเอก คือ วิรุฬ และจำบัง นางยักษ์สันตราจึงได้เเปลงกายเป็นหญิงงาม นางยักษ์ทราบข่าวจากชาวบ้านมาว่าท้าวรถสิทธิ์กำลังทรงพระประชวรอยู่ นางยักษ์จึงคิดกลอุบายไปหาท่านอำมาตย์ เเละอ้างว่าตนเองเป็นหมอสามารถรักษาอาการประชวรของท้าวรถสิทธิ์ได้ อำมาตย์จึงพานางยักษ์สันตราเข้ามาในท้องพระโรงและได้พบกับท้าวรถสิทธิ์ นางจึงเป่ามนต์สะกดให้ท้าวรถสิทธิ์หลงใหลและแต่งตั้งให้นางยักษ์สันตราเป็นพระมเหสีเอกแทนนางทั้งสิบสอง
เมื่อนางสิบสองรู้ข่าวว่าท้าวรถสิทธิ์ พระสวามีของตนมีมเหสีใหม่จึงโมโหและอยากรู้ว่าเป็นใคร พอดีนางยักษ์สันตราผ่านมา นางสิบสองจึงได้รู้ว่าเป็นนางยักษ์สันตราก็ตกใจกลัว และร้องขอว่าอย่าทำอะไรตนเลย นางยักษ์สันตรารู้สึกโกรธเเค้นจึงเป่ามนต์สะกดให้ท้าวรถสิทธิ์เกลียดนางทั้งสิบสองและรับสั่งให้นางทั้งสิบสองไปขังไว้ในถ้ำ นางทั้งสิบสองต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในถ้ำขณะที่ท้องของนางก็เริ่มโตขึ้นทุกวัน ฝ่ายนางยักษ์สันตรายังไม่หยุดแค้นนางสิบสอง นางยักษ์สันตรา จึงออกอุบายว่าตนป่วยเป็นโรคประหลาดและได้เป่ามนต์ใส่หมอหลวงให้พูดว่าต้องใช้ลูกตานางทั้งสิบสองมาทำยาให้กินจึงจะหาย
พระรถสิทธิ์จึงรีบให้จัดการควักลูกตานางสิบสองมาถวายทันทีโดยนางยักษ์ได้สั่งให้วิรุฬและจำบัง สมุนเอกของตนรับหน้าที่นี้ เมื่อมาถึงถ้ำทั้งสองได้ควักลูกตานางสิบสองทันทีโดยเรียงจากพี่ไปน้อง ด้านนางค่อมผู้ซื่อสัตย์ต่อนางสิบสองได้อ้อนวอน ขอให้ท้าวรถสิทธิ์สั่งไม่ให้ควักลูกตานางสิบสองอยู่พักใหญ่ ด้วยมนต์ของนางยักษ์เสื่อม ทำให้ท้าวรถสิทธิ์รู้สึกสงสาร ก็ได้นำราชโองการมาให้วิรุฬและจำบังดูแต่ด้วยตนเองแก่แล้วและหลังก็ค่อมอีกด้วย จึงมาไม่ทันโดยวิรุฬจำบังได้ควักลูกตาไปทั้ง 11 คนแล้ว เว้นแต่นางเภาโดนควักไปเพียงข้างเดียวเพราะตนมาทันที่นางเภาพอดี วิรุฬจำบังจึงได้นำลูกตาของนางสิบสองใส่โถไปถวายให้นางสันตรา ฝ่ายท้าวรถสิทธิ์รู้สึกเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น นางสันตราจึงสะกดจิตให้ท้าวรถสิทธิ์หลงลืมนางทั้งสิบสองเเละเสวยสุขกับนางยักษ์เป็นเวลานานหลายปี
นางค่อมเอาแต่โมโหตัวเองที่มาไม่ทัน นี่ก็เป็นเพราะเวรกรรมของนางทั้งสิบสองที่ตอนเด็กได้ควักตาปลาออกมาเล่นแต่นางเภาควักออกมาเพียงข้างเดียว จึงไม่โดนควักลูกตาทั้ง 2 ข้าง นางทั้งสิบสองต้องทุกข์ทรมานเข้าอีกปวดทั้งตาและท้องแก่ที่ใกล้คลอดโดยหากบเขียดแถวนั้นมาย่างกินประทังชีวิตและข้าวที่นางค่อมคอยแอบนำมาถวาย
เวลาผ่านไปจนกระทั่งพวกนางคลอดลูกมาแต่ลูกของนางทั้ง 11 คนตายหมด เพราะพวกนางอดอยากจึงกินลูกตัวเองเหลือแต่นางเภาที่ให้กำเนิดพระโอรสและตั้งชื่อว่า รถเสน รถเสนเป็นเด็กฉลาดและรูปงามมากและเป็นหัวแก้วหัวแหวนของแม่และป้าทั้ง 11 คน
วันที่ออกอากาศ : ปี 2531
ผลิตโดย : บริษัท สามเศียร จำกัด , บริษัทดาราวิดีโอ จำกัด
บทประพันธ์ : จากนิยายรักอมตะพื้นบ้าน
บทละครโทรทัศน์ : พัชร
ประกอบเพลง : ประเสริฐ จุลเกตุ
คำร้อง : บุราณ
จากทำนอง : ไทยเดิมลาวแพน
เรียบเรียง: ธนิต เชิญพิพัฒนสกุล
กำกับการแสดง : สมชาย สังข์สวัสดิ์
ลิขสิทธิ์: บริษัทสามเศียร จำกัด
นักแสดงนำ : วัชรา สังข์สุวรรณ, สุรีย์พร เกียรตินาถ, น้ำอ้อย ไกรอาบ, ทัศนีย์ สีดาสมุทร์, เกษศริน พูลลาภ, ปรางเพ็ญ สุทธิพงค์, เสาวนีย์ เอื่อมละออ, ดวงฤดี พยัคฆะ, สุกัลญา แช่มชื่น, ดาริกา รัตนวงศ์, สายสุนีย์ วงศ์ศาวี, ลัดดาวรรณ์ สันธิ, ฉัตรมณีย์ เนตรศิริ, อำภา ภูษิต, ชาตรี พินโน, สินี หงษ์มานพ, เอกกวี ภัคดีวงศ์, ชาลินี ดารา